สมณะสามรูปที่สวมใส่จีวรเรียบง่ายมาจากวัดกั่วเฉิง เหล่าผู้บำเพ็ญพรตมอบที่นั่งที่ดีที่สุดให้พวกเขา
“คืนนี้ช่างคึกคักจริงๆ” มีคนกล่าวยิ้มๆ
เดิมจำนวนของผู้บำเพ็ญพรตก็มีอยู่ไม่มาก จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้พบผู้บำเพ็ญพรตสักคนในเวลาปกติ ที่ผ่านมาแม้นจะจุดกองไฟเอาไว้ทั้งคืนก็หาได้มีใครมาไม่ ไหนเลยจะมีคนมารวมตัวกันมากมายเหมือนอย่างเช่นวันนี้
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นเพราะงานชุมนุมแสวงมรรคาที่สำนักจงโจวกำลังจะจัดขึ้น ไม่ว่าจะได้รับเชิญหรือไม่ ผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนก็ยังเดินทางมาเพื่อชมความคึกคักในงาน
เรื่องที่ทุกคนพูดคุยกันย่อมต้องเป็นเรื่องนี้เช่นกัน ประเด็นที่ทุกคนสนใจมากที่สุดก็คือสุดท้ายยันต์เซียนวัฒนะจะตกเป็นของใคร
พวกเขาไม่เคยคิดที่จะแย่งชิงยันต์เซียนวัฒนะแผ่นนั้น แต่เพียงแค่พูดถึงมันก็ทำให้พวกเขามีความสุข คล้ายว่าการทำแบบนี้ก็สามารถทำให้พวกเขาสัมผัสกับพลังเซียนได้เล็กน้อยเช่นกัน
ชื่อของผู้บำเพ็ญพรตอัจฉริยะหลายๆ คนถูกเอ่ยขึ้นมาภายใต้แสงไฟอย่างต่อเนื่อง
“ซีอี้อวิ๋นแข็งแกร่งมากจริงๆ…”
มีคนกล่าวว่า “เขาเป็นศิษย์ของปู้ชิวเซียวที่เป็นเจ้าแห่งเรือนอี้เหมา ร่ำเรียนมายี่สิบกว่าปี ว่ากันว่าเขาได้รับการยอมรับจากอาวุธวิเศษแห่งเรือนอี้เหมา คล้ายกับหมิงหวังผู้นั้น”
“ได้ยินว่าคนผู้นั้นแห่งสำนักเสวียนหลิงก็ไม่เลวเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คุณหนูเต๋อ นางทุกวันสนใจแต่เที่ยวเล่น สภาวะคืบหน้าช้ามาก”
“ครั้งนี้สำนักชิงซานเป็นใครที่ไป? กั้วหนานซานหรือว่าโหยวซือลั่ว?”
“เจ้านี่อยู่หลังเขาจริงๆ หรือเจ้าไม่ได้ยินเรื่องที่เจ้าล่าเยวี่ยจะเข้าร่วมงานชุมนุม?”
“ข่าวของเจ้าเองก็ไม่เร็วเหมือนกัน…กระทั่งเรื่องที่จัวหรูซุ่ยเอาชนะเจ้าล่าเยวี่ยได้ก็ยังไม่รู้”
“เจ้าว่าอะไรนะ? จัวหรูซุ่ย? เจ้าสัตว์ประหลาดที่พอเข้าไปในสำนักก็เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียรน่ะหรือ?”
ภายในวัดร้างมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา เปลวไฟวูบไหวไม่นิ่ง
ผู้คนพากันพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างตื่นเต้น
มีคนผู้หนึ่งสวมหมวกลี่เม่า นั่งแอบอยู่ในมุมมืดมุมหนึ่ง ไม่มีใครสังเกตเห็น
คนผู้นี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรต่อสิ่งที่เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพูดคุยกันก่อนหน้านี้เลย จนกระทั่งเมื่อได้ยินว่าเจ้าล่าเยวี่ยพ่ายให้แก่จัวหรูซุ่ย หมวกลี่เม่าถึงได้ขยับขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนนั้นจัวหรูซุ่ยบอกว่าศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงอยากจะขอคำชี้แนะจากศิษย์ของปรมาจารย์จิ่งหยาง พวกเจ้าดูความโอหังอันนี้สิ เขาไม่ได้มองเจ้าล่าเยวี่ยอยู่ในสายตาเลย”
ผู้บำเพ็ญพรตที่ข่าวสารแม่นยำผู้นั้นกล่าวว่า “หลังเขาชนะแล้วก็ยิ่งโอหังมากกว่านั้นอีก เขาชี้หน้าเจ้าล่าเยวี่ยแล้วกล่าวว่า อย่างเจ้าน่ะหรือจะมาเป็นผู้สืบทอดของปรมาจารย์อา?”
มีคนยิ้มดูถูกพลางกล่าว “เจ้าโกหกต่อไปเถอะ เพียงแค่ดูก็รู้ว่าไม่มีความรู้ เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ เป็นอาจารย์อาของจัวหรูซุ่ย ต่อให้เขาจะอวดดีแค่ไหน แต่พูดจาแบบนี้ ทำแบบนี้ หรือเขาไม่กลัวจะถูกท่านกฎแห่งกระบี่ลงโทษ?”
ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเองก็ฟังคนอื่นเล่ามาเหมือนกัน ต่อให้รายละเอียดคลาดเคลื่อนไป…ต่อให้ไม่มีการชี้หน้า…แต่ยังไงความหมายก็ต่างกันไม่มาก”
มีคนกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นจัวหรูซุ่ยหรือเจ้าล่าเยวี่ยก็ล้วนแต่ไร้ความหมาย งานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามีการกำหนดตัวผู้ชนะเอาไว้แล้ว”
“สหายท่านนี้หมายความว่าอย่างไร?” มีคนกล่าวถาม
“ทั้งท่านและข้าต่างก็รู้ว่ากฎครั้งนี้คือแต่ละสำนักสามารถส่งคนเข้าร่วมได้แค่หนึ่งคน เช่นนั้นเหตุใดสำนักจงโจวกลับไม่ต้องทำตามกฎนี้? ไม่ว่าจะเป็นถงเหยียนไป๋เจ่าก็ล้วนแต่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจัวหรูซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ย ได้ยินว่าครั้งนี้ยังมีคนลึกลับอยู่อีกคนหนึ่งด้วย หลายคนสู้กับคนเดียว เจ้าว่าใครจะชนะ”
คนผู้นั้นส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “หากมีการกำหนดตัวผู้ชนะไว้จริง เหตุใดสำนักจงโจวถึงไม่เก็บยันต์เซียนเอาไว้ใช้เอง ทำไมต้องมาทำอะไรวุ่นวายเช่นนี้ด้วย? อย่าได้เอาความคิดอันอ่อนด้อยของพวกเราไปคาดเดาเลย สำนักจงโจวสามารถกลายเป็นผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะได้ เช่นนั้นก็ย่อมมีเหตุผลของพวกเขาอยู่ เป็นสำนักชิงซานมากกว่าที่ด้อยกว่าสำนักจงโจวมาโดยตลอด แต่กลับไม่ยอมที่จะคบหากับสำนักเล็กๆ อย่างพวกเรา โอหังเป็นอย่างมาก”
ทุกคนคิดถึงนิสัยในเวลาปกติของสำนักชิงซาน พบว่าเป็นจริงดังว่า จึงพากันส่ายศีรษะ
มีคนกล่าวว่า “ชิงซานโอหังย่อมต้องเป็นเพราะมีสิทธิ์โอหัง เพราะพวกเขาแข็งแกร่งจริงๆ”
“ตอนนี้สำนักชิงซานมีทะลวงสวรรค์สองคน ยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลอีกหลายคน เกรงว่าความแข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าสำนักจงโจวไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เหตุใดชื่อเสียงบารมีกลับยังไม่อาจอยู่เหนือสำนักจงโจวได้?”
“นั่นย่อมต้องเป็นเพราะสำนักจงโจวมีเซียนไป๋”
“ชิงซานก็มีนักพรตจิ่งหยางมิใช่หรือ?”
“ยันต์เซียนที่เซียนไป๋ทิ้งเอาไว้ปกป้องโลกมนุษย์ นักพรตจิ่งหยางไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้เลย”
คนผู้นั้นมองไปรอบด้านพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ว่ากันว่าไม่เพียงแต่จะไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้ให้ แต่ยังเอาของวิเศษของชิงซานไปตั้งหลายอย่างด้วย ได้ยินว่าในชิงซานก็มีหลายคนที่ไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ว่าในอดีตเวลาชิงซานมีเรื่อง นักพรตจิ่งหยางก็ไม่เคยสนใจอะไรเลย แล้วเขาจะมาคิดถึงเรื่องที่จะทิ้งอะไรเอาไว้ให้ชิงซานได้อย่างไร”
สมณะทั้งสามรูปนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
สมณะรูปหนึ่งก้มหน้า มองไม่เห็นใบหน้า
สมณะชรารูปหนึ่งหลับตาพักผ่อน
สมณะที่ค่อนข้างหนุ่มผู้นั้นพอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้จะทนไม่ได้ สุดท้ายจึงสะกิดสมณะชราเล็กน้อย
สมณะชราลืมตาขึ้นมา มองเขายิ้มๆ พลางกล่าวว่า “อยากจะพูดก็พูดเถอะ”
สมณะหนุ่มรูปนั้นเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม สูดหายใจลึกๆ มองดูผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้น ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้านี่โง่เขลาจริงๆ!”
ทุกคนตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าไต้ซือวัดกั่วเฉิงรูปนี้เป็นอะไร?
สมณะหนุ่มลุกขึ้นยืน มองดูคนผู้นั้นพลางกล่าว “เจ้าบอกว่านักพรตจิ่งหยางเอาของวิเศษของชิงซานไป แต่เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าเดิมของวิเศษเหล่านั้นมันก็เป็นของนักพรตอยู่แล้ว? แล้วเจ้ายังบอกอีกว่าเวลาชิงซานเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านนักพรตไม่เคยสนใจเลย แต่เจ้าได้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าในตอนที่ใครจะคิดร้ายกับชิงซาน หรือเขาผู้นั้นจะไม่คิดถึงท่านนักพรต?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตอนแรกผู้คนต่างรู้สึกว่าเหลวไหล แต่หลังจากนั้นกลับได้สติขึ้นมา คำพูดช่วงแรกของสมณะหนุ่มนั้นยังสามารถโต้แย้งได้ แต่คำพูดช่วงหลัง….
ในช่วงเวลาสองร้อยปีก่อนนักพรตจิ่งหยางจะบรรลุกลายเป็นเซียน เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ชิงซาน แทบจะไม่เคยเจอกับวิกฤติอันตรายใดๆ เลยก็ว่าได้
เพราะอะไร? เพราะนักพรตจิ่งหยางคือคนที่มีสภาวะสูงที่สุดในแผ่นดินเฉาเทียน
ถึงแม้เขาจะเก็บตัวอยู่ในยอดเขาเสินม่อมาเป็นเวลายาวนาน ไม่เคยสนใจเรื่องในโลกภายนอก แต่เขาก็ยังเป็นผู้ที่มีสภาวะสูงสุดผู้นั้น
ขอเพียงเขาอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนชิงซาน
หลักเหตุผลนี้เรียบง่าย แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตบนโลกหรือหลายๆ คนในชิงซานกลับไม่เคยคิดเข้าใจมาก่อน
หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะคิดเรื่องนี้
นี่คือเรื่องจริง ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจ
ภายในวัดร้างเงียบสงัด
ไม่มีใครสังเกตเห็นในมุมที่อยู่ในเงามืด คนที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นั้นได้จากไปแล้ว
คนผู้นั้นเข้ามาในป่า ยืนอยู่บนยอดไม้ นิ้วมือขยับเล็กน้อย กิ่งไม้จำนวนนับไม่ถ้วนร่วงตกลงไปด้านล่างอย่างไร้ซุ่มเสียง ประกอบกันเป็นแท่นสี่เหลี่ยมแท่นหนึ่ง
เขาหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมาวางไว้บนแท่น ถอดหมวกลี่เม่าออก จากนั้นนอนลงไป
ลมในคืนนี้แรงเป็นพิเศษ ส่งเสียงหวีดหวิว พัดพาเมฆออกไปจนหมด แสงดาวเปล่งประกายระยิบระยับ
แสงดาวตกกระทบลงบนใบหน้า ยังคงงดงาม ไม่มีอารมณ์ใดๆ
คำพูดที่คนเหล่านั้นพูดในวัดร้างไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่ออารมณ์ของเขา
ลมบนภูเขาพัดแรงขึ้นเรื่องๆ กิ่งไม้ไหวเอนเบาๆ แท่นไม้ไม่มีทีท่าว่าจะพังถล่มลงมา แต่เก้าอี้ไม้ไผ่กลับส่งเสียงครึกๆ
จิ๋งจิ่วคิดในใจ ต้องเอาไปซ่อมอีกแล้ว ไม่รู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยปลูกไม้ไผ่เอาไว้ในวัดกั่วเฉิงหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะได้ส่งไปให้เขาซ่อม
สายลมยามค่ำคืนส่งเสียงหวีดหวิว ต้นไม้ใหญ่ไหวเอนเบาๆ หมู่ดาวและภูเขาที่อยู่ในดวงตาล้ายกำลังเคลื่อนไหว ดูเลื่อนลอย
หากอยากจะวาดภาพนี้ขึ้นมา จำเป็นต้องใช้จิตรกรที่มีฝีมือดีอย่างมาก
นี่ทำให้เขาคิดถึงพระที่ก้มหน้าอยู่ในวัดร้างรูปนั้น
คืนนี้มีเหอจานอยู่
จากนั้นเขามองไปทางชิงซานที่อยู่ไกลออกไป
ยันต์เซียนวัฒนะมีแรงดึงดูดอย่างมาก
เขาคำนวณเรื่องที่จัวหรูซุ่ยจะออกจากการเก็บตัวเอาไว้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะแพ้เขา
ตอนนั้นเขาได้เคยบอกกับนางเอาไว้หลายครั้งแล้วว่าจะแพ้ไม่ได้
ทำไมถึงแพ้ได้ล่ะ?