เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงเวลานี้ รุ่นเยาว์มากความสามารถกว่า 40 คนก็ได้เข้ามาในห้องโถงฟ้ากระจ่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ขณะนี้มีผู้คนมากกว่า 80 คนมารวมตัวกันภายในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและมีชีวิตชีวา

 

ที่นั่งหลายที่ที่อยู่ใกล้กับที่นั่งหลักก็คือตำแหน่งของ 10 อัจฉริยะรุ่นเยาว์ซึ่งยังคงว่างเปล่าอยู่

 

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังมาจากประตู

รุ่นเยาว์หลายคนหันศีรษะไปที่ประตู และเมื่อพวกเขาได้เห็นรุ่นเยาว์สองคนกำลังเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็แสดงความหวาดกลัวออกมา

 

ผู้ที่มาเป็นชายหนุ่มสองคนที่ท่าทางดูดีและทั้งคู่มีอายุประมาณ 18 ปี

 

ชายหนุ่มถือกระบี่ในชุดดำชื่อว่า เว่ยหลิงเฟิง

บุคคลผู้นี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของมณฑลฉิง เขามีอายุเพียง 18 ปีและมีพื้นฐานการบ่มเพาะในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 5  เคล็ดวิชากระบี่มือเดียวของเขายังเป็นที่น่าหลงใหลอีกด้วย

 

ในขณะเดียวกันเขาก็ยังเป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะของรัฐนภากระจ่าง, รุ่นเยาว์มากความสามารถในยุคนี้

 

ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งมาในชุดคลุมขาวถือกระบี่ขนนกสีขาว ชื่อของเขาคือเจียงไป๋อวี้

 

บุคคลผู้นี้คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของมณฑลโย่ว เขามีอายุเพียง 19 ปีและมีความแข็งแกร่งของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 5 เช่นกัน เขาได้รับการขนานนามจากผู้คนในรัฐนภากระจ่างว่า มือกระบี่ขนนกโปรยปราย

 

ความแข็งแกร่งของเว่ยหลิงเฟิงและเจียงไป๋อวี้นั้นแทบจะเท่าเทียมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นก็ดีมากและไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้งจนแทบจะตัวติดกัน

 

นอกจากนี้พวกเขายังชอบสวมเสื้อคลุมสีดำและสีขาวตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเหล่ารุ่นเยาว์เรียกว่าวีรบุรุษคู่ดำขาว

 

วีรบุรุษคู่ดำขาวก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ การแสดงออกและรูปลักษณ์ที่สงบนิ่งเหมือนเช่นเคยก็เผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งและสันโดษ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้เห็นจี้เทียนซิงที่มุมห้อง สีหน้าอันจองหองเฉยชาของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป  พวกเขาตกตะลึงจากนั้นมุมปากก็ยกขึ้นอย่างเย้ยหยัน หลังจากมองหน้าของจี้เทียนซิงแล้ว พวกเขาก็ไปที่ที่นั่งตำแหน่งแรก

 

ในขณะที่ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบเกี่ยวกับวีรบุรุษคู่ดำขาวก็มีอีกเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตู

 

ผู้มาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีและสวมชุดสีดำ

คนผู้นี้รูปร่างผอมบาง ดวงตาคู่นั้นของเขาเรียวเล็กมีขนาดเล็กเท่ากับถั่วเขียว และมีรอยบากจากของมีคมที่แก้มด้านขวาซึ่งทำให้เขาดูดุร้าย

 

แต่ก็ไม่มีผู้ใดในห้องโถงใหญ่กล้าที่จะดูหมิ่น มีเพียงการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความกลัว เพราะเขาคือเจียนหวู่เซิง มือกระบี่ผู้ดุร้าย เย็นชาหยิ่งยโส ไร้ความปรานีและไร้ยางอาย

 

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือบุคคลผู้นี้มีความแข็งแกร่งของเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 6 และเคล็ดวิชากระบี่แกะสลักของเขานั้นก็มีไว้เพียงเพื่อการฆ่าเท่านั้น !

 

เขาเคยถูกกดดันจากอัจฉริยะภาพของจี้เทียนซิงมาก่อน  ดังนั้นในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ของรัฐนภากระจ่างยุคนี้ เขาได้เพียงอันดับที่สองเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้มันแตกต่างกัน หลังจากจี้เทียนซิงสูญเสียพลังกลายเป็นขยะไร้ค่า ทุกคนก็อยากจะรอดูว่าเจียนหวู่เซิงจะสามารถสะกดข่มทุกคนในคืนนี้และได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่

 

เจียนหวู่เซิงที่เดินเข้ามาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขาเดินผ่านผู้คนโดยไม่สนใจผู้ใดใครอื่นและเดินลงไปนั่งที่นั่งด้านขวา

 

หลังจากผ่านไประยะหนึ่งก็บังเกิดความอลหม่านขึ้นที่หน้าประตูอีกครั้ง

ทุกคนหันศีรษะไปมองและได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งในชุดสีขาวสวยงามและกำลังเคลื่อนกายเข้ามา  นางก็คือหลิงหยุนเฟยนั่นเอง

 

เมื่อได้ยลโฉมหญิงสาวในชุดกระโปรงขาววัย16 ปี ชายหนุ่มหลายคนก็แสดงสีหน้าชื่นชมและเผยแววตาอยากจะครอบครอง

 

ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากกับการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดกระโปรงขาวนางนี้และหันไปกระซิบกระซาบกันอย่างลับๆ

 

“หลิงหยุนเฟย ! เป็นแม่นางหลิงหยุนเฟยนั่นเอง !”

“สวรรค์ ! แม่นางหยุนเฟยยังคงงดงามเหมือนเช่นเคย !”

“แม่นางหยุนเฟยมิได้มีเพียงพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เท่านั้น แต่ยังมีความสามารถโดยธรรมชาติที่สูงล้ำมาก  นอกจากนี้ความงามของนางก็ช่างมิอาจทำให้ผู้คนละสายตาไปได้  นางนับได้ว่าเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก !”

“ฮึๆ แม่นางหยุนเฟยก็มาด้วย ข้าเดาว่านางคงไม่ทราบว่าวันนี้จี้เทียนซิงก็เข้ามาร่วมงานด้วย  สงสัยข้าจะได้ชมการแสดงอันบรรเจิดในไม่ช้า”

 

หลิงหยุนเฟยที่เดินชดช้อยผ่านประตูเข้ามาในห้องโถงใหญ่ มีผู้คนมากหลายทักทายนางตลอดทางไม่ขาดสาย

 

นางทักทายทุกคนด้วยมารยาทอันอ่อนช้อยงดงามและนั่งลงในตำแหน่งทางซ้ายข้างเจ้าภาพ

 

ตั้งแต่ที่นางเดินผ่านประตูห้องโถงมา สายตาของนางไม่ได้เหลียวมองไปยังมุมห้องและดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

 

ในที่สุดที่นั่งทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ก็ถูกเติมจนเต็ม และกล่าวได้ว่าบรรดารุ่นเยาว์มากความสามารถที่ถูกเชิญมาก็อยู่กันครบแล้ว

 

ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มผอมบางที่มีใบหน้าหล่อเหลาก็เดินลงมาจากชั้นสอง

 

รูปหน้าของเขาหล่อเหลาหมดจดและขาวนวล กระบี่ที่แนบข้างเอวของเขารวมไปถึงกลิ่นอายรอบตัวเปล่งประกายสูงส่ง  แต่ท่าทางของเขากลับดูนุ่มนวลคล้ายอิสตรีเล็กน้อย

 

ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และยืนอยู่ในที่นั่งแรก ทุกคนในห้องโถงต่างก็ผุดลุกขึ้นและโค้งคำนับทักทาย

 

“คารวะองค์ชายน้อย !”

“คารวะราชาลั่วหยาน !”

 

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มหน้าสวยผู้นี้คือเจ้าของวังวิญญาณเพลิง และเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงหลงเหมิน  องค์ชายน้อยจี้หลิง !

 

จี้หลิงยกมือขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า ทุกท่านมิต้องมากมารยาทแล้ว  จากนั้นดวงตาอันหลักแหลมเฉลียวฉลาดของเขาก็กวาดไปทั่วทุกผู้คนในงาน

 

เมื่อเขาได้เห็นจี้เทียนซิงที่มุมห้อง เขาก็มีท่าทางแปลกใจและดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม เขากลบอาการทั้งหมดในพริบตาและทำตัวตามปกติ ยิ้มทักทายและพูดคุยกับทุกคน “พวกท่านทุกคนต่างก็เป็นเสาหลักและความหวังในอนาคตของประเทศเรา การที่พวกท่านทุกคนได้มาร่วมงานในวันนี้นับเป็นเกียรติของเราแล้ว”

“งานเลี้ยงคืนนี้ยังคงปฏิบัติกันเหมือนเดิมทุกปี  เราเชิญทุกท่านให้มารวมกันนี่ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดและชี้แนะนำทักษะ เพื่อก้าวหน้าไปด้วยกัน”

 

จี้หลิงยิ้มและพูดกับแขกเหรื่อทุกคน จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกคนได้พูดคุยเรียนรู้กันอย่างอิสระแล้วเดินจากไป

 

เขาเดินตรงไปที่ชั้นสองจากนั้นก็เข้าไปในห้องที่หรูหราห้องหนึ่ง

 

เมื่อได้เห็นองค์ชายจี้หลิงปลีกตัวจากไป ผู้คนในห้องโถงใหญ่นั้นก็เริ่มวางตัวได้ง่ายขึ้น

ทุกคนเริ่มจับกลุ่มพูดกันคุยด้วยเสียงหัวเราะ แต่ส่วนใหญ่ก็เพียงเอ่ยปากชมเชยกันและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คุยกันเรื่องวิชายุทธ์

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน สายตาก็ไม่แคล้วแอบมองไปที่จี้เทียนซิงที่นั่งอย่างสันโดษมุมห้องเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่ม

 

แต่จี้เทียนซิงก็ยังคงวางตัวเหมือนเดิม เขาเพียงนั่งขัดสมาธิหลับตาบนโต๊ะเตี้ย

 

จุดประสงค์ที่ชายหนุ่มมาร่วมงานเลี้ยงหลงเหมินในค่ำคืนนี้ก็เพื่อรอพบคนของนิกายหนุนสวรรค์เท่านั้น  นอกจากนั้นเขาไม่ได้สนใจผู้อื่นหรือสิ่งของที่รุ่นเยาว์นำมาอวดกัน

 

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ท่านไม่สนใจผู้อื่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะละเว้นท่าน !

 

ชายหนุ่มผู้มีท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงสวมเสื้อกั๊กขนสัตว์และกางเกงขาสั้นผุดลุกขึ้นในทันที มุมปากแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันและเดินตรงไปหาจี้เทียนซิง

 

เขาเดินก้าวยาวๆมาถึงเบื้องหน้าจี้เทียนซิงที่กำลังนั่งหลับตา และกล่าวอย่างวางก้ามว่า “จี้เทียนซิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลายเป็นขยะในชนชั้นปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 ในชั่วข้ามคืนและถูกตระกูลหลิงถอนหมั้น เรื่องนี้เป็นความจริงใช่หรือไม่ ?”

 

ชายหนุ่มสวมเสื้อขนสัตว์เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เขาจงใจพูดด้วยเสียงดังผิดปกติโดยมีเจตนาเพื่อให้ทุกคนในห้องโถงใหญ่สามารถได้ยินคำพูดของเขา

 

ทันใดนั้นเองบรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็เงียบลง และดวงตาทุกคู่ก็รวมกันจับจ้องไปที่ตัวของจี้เทียนซิง

 

ทุกคนรู้ว่าเรื่องน่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้น

 

จี้เทียนซิงค่อยๆเปิดตาขึ้นอย่างเฉื่อยชาและมองไปที่อีกฝ่ายพลางกล่าวว่า

“ใช่  แล้วไง ?”

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจี้เทียนซิงจะยังคงสงบนิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูโดยเจตนาของชายหนุ่มเสื้อขนสัตว์  นอกจากนี้ยังตอบไปตามตรงอีกด้วย

 

ชายหนุ่มเสื้อขนสัตว์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบโต้และเผยรอยยิ้มจนเห็นฟันสีเหลือง  “โอ๊ะ โอ๋  ถ้าเช่นนั้นขยะในชนชั้นปรับแต่งกายาขั้นที่ 3 อย่างเจ้ามีคุณสมบัติอะไรถึงมาเข้าร่วมงานเลี้ยงหลงเหมินขององค์ชายจี้หลง ?”

“เหล่ารุ่นเยาว์หนุ่มสาวทุกคนที่มาได้งานเลี้ยงคืนนี้ล้วนแต่ได้รับคำเชิญจากองค์ชาย   ว่าแต่ เจ้ามีบัตรเชิญหรือไม่ ?”

 

จี้เทียนซิงตอบอย่างเฉยชาว่า “ข้าไม่มีบัตรเชิญ”

 

ทันใดนั้นเองชายหนุ่มเสื้อขนสัตว์ก็แสดงสีหน้าเหยียดหยาม และหัวเราะเย้ยหยัน

“ฮ่าๆๆ  พวกเจ้าทุกคนได้ยินหรือไม่ ? หมอนี่หน้าด้านเข้าร่วมงานขององค์ชายโดยไม่ได้รับเชิญ !”

“จี้เทียนซิง เจ้าจงออกไปจากหอฟ้ากระจ่างเดี๋ยวนี้ ! ที่นี่เป็นงานเลี้ยงหลงเหมินอันสูงส่ง มีเพียงอัจฉริยะรุ่นเยาว์มากความสามารถเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้  เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมานั่งในนี้ !”

 

จี้เทียนซิงยังไม่แสดงอาการใดๆออกมา ชายหนุ่มเพียงเลิกคิ้วและกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“อัจฉริยะรุ่นเยาว์ ? อย่างเจ้า ?”

 

“ทำไม ? เจ้าคิดว่าข้าไร้คุณสมบัติงั้นหรือ !?” ชายหนุ่มกำยำสวมเสื้อขนสัตว์กำหมัดแน่นขึ้นและแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

 

“ถึงแม้ว่าข้าหวู่จางจะอยู่ในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8 แต่ก็นับว่าเหนือชั้นกว่าเจ้า  มันเหลือเฟือที่จะสั่งสอนขยะ !”

“จี้เทียนซิง ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือกเท่านั้น เจ้าจะคลานออกไปเองหรือให้ข้าอัดเจ้าให้น่วมแล้วโยนเจ้าออกไป !?”