บทที่ 264 ทั้งสองตำหนักประสบปัญหา

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 264 ทั้งสองตำหนักประสบปัญหา
ภายในรถม้าจวินฉูฉู่กล่าวว่า “อาศัยอยู่แต่ภายนอกมักไม่ใช่ทางออกที่ดี หม่อมฉันต้องการให้พระชายารองกลับจวนท่านอ๋องตวนเพคะ”

หนานกงเยี่ยนลังเลเล็กน้อยและมองไปที่จวินฉูฉู่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเป็นเวลานาน “เรื่องนี้เกรงว่าต้องถามเสด็จแม่ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปถาม”

“ท่านอ๋อง เมื่อคลอดลูกแล้ว ท่านอ๋องก็ไม่ต้องการให้ฉูฉู่เป็นพระชายาแล้วใช่ไหมเพคะ?” จวินฉูฉู่รู้สึกว่าตั้งแต่ที่อวิ๋นหลัวฉวนออกจากจวนท่านอ๋องตวนไป หนานกงเยี่ยนก็ได้ทรยศต่อนาง ไม่เช่นนั้นเด็กคนนั้นจะมาได้อย่างไร?

ฉะนั้นนางจึงเกลียดแค้น!

“ตำแหน่งพระชายายังเป็นของเจ้าเสมอ ข้าจะพยายามปกป้องเจ้าไว้ เพียงแต่ช่วงนี้เสด็จแม่ไม่ยินยอมที่จะฟังข้าเลย ข้าจึงไม่สามารถพูดอะไรมากได้”

จวินฉูฉู่หัวเราะ นี่นับว่าเป็นการตอบคำถามหรือ?

เมื่อรถม้าเดินทางมาถึงจวนท่านอ๋องตวน ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก

เมื่อลงจากรถม้า จวินฉูฉู่กลับเข้าไปยังเรือนที่นางพักอาศัย และหนานกงเยี่ยนจึงเดินตามไป

เมื่อทั้งสองกลับไปถึงห้องนอนก็ไม่มีอะไรที่จะพูด

จวินฉูฉู่เข้าไปอาบน้ำและหนานกงเยี่ยนเพียงแค่นั่งอยู่เช่นนั้น เมื่อออกจากถังอาบน้ำ จวินฉูฉู่สวมชุดยาวเกือบจะโปร่งใสและเดินไปตรงหน้าของท่านอ๋องตวน เมื่อนางนั่งลง นางกะพริบตาราวกับผ้าไหมระยิบระยับ

มือของท่านอ๋องตวนขยับ ไม่ใช่ว่าเขาเมินเฉย แต่ภายในใจของเขามีหินก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้และไม่สามารถปล่อยวางลงได้

“ท่านอ๋อง ท่านไม่ชอบฉูฉู่แล้วหรือเพคะ?” จวินฉูฉู่ยังคงไม่เข้าใจ อวิ๋นหลัวฉวนมีความน่าหลงใหลตรงไหนกัน ถึงทำให้จิตใจของหนานกงเยี่ยนถูกดึงไปได้

และยิ่งน่าโมโหไปกว่านั้น พวกเขาไปคบหากันได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

หนานกงเยี่ยนหรี่ตาลงและยื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าของจวินฉูฉู่ “ข้าชอบ เพียงแต่ว่าช่วงนี้มีเรื่องเข้ามามากมายเหลือเกิน ข้ามีใจแต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง”

หนานกงเยี่ยนเช็ดน้ำตาให้นาง “เรื่องพระชายารองเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะข้าดื่มมากไปจึงทำให้ทำเรื่องที่ผิดขึ้น”

หนานกงเยี่ยนต้องการอธิบาย เขาต้องการให้จวินฉูฉู่รู้ว่าเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนางเป็นบ่อเกิดของเรื่อง หากไม่ใช่เป็นเพราะนางไปกระทำอนาจารต่อหนานกงเย่และถูกฉกชิงตั๋วเงินไปหกหมื่นตำลึง นางต้องการทำร้ายตงเอ๋อร์ ฝนตกหนักหากไม่เปิดประตู เรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น

แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าสงสารของจวินฉูฉู่ หนานกงเยี่ยนก็พูดไม่ออก

ไม่ต้องการพูดถึงอีก

จวินฉูฉู่ไม่เชื่อเรื่องที่หนานกงเยี่ยนพูด แต่นางเริ่มทำการจูบหนานกงเยี่ยน “ท่านอ๋อง เราดีกันเถอะนะเพคะ ฉูฉู่รู้แล้วว่าผิด ต่อไปหม่อมฉันจะทำตัวดีต่อพระชายารองอวิ๋น เพียงหวังว่านางจะไม่ไล่หม่อมฉันออกไปเพคะ”

หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “ดีกันเถอะ ข้าก็เหนื่อยมากแล้ว มีข้าอยู่ ข้าจะไม่ให้ใครไล่เจ้าออกไปไหนได้”

เว้นเสียแต่ว่าเจ้าต้องการไปด้วยตัวเอง คำนี้หนานกงเยี่ยนไม่ได้พูดออกไป

หนานกงเยี่ยนลุกขึ้นและกล่าวว่า “วันนี้ธุรกิจภายนอกเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย ข้าต้องออกไปจัดการ ฉูฉู่รอข้าอยู่ที่นี่”

เมื่อพูดจบหนานกงเยี่ยนก็เดินจากไป จวินฉูฉู่มองไปที่หนานกงเยี่ยนที่กำลังเดินออกไปอย่างรวดเร็วและกุมมือแน่น

หนานกงเยี่ยนท่านเมินเฉยต่อข้า!

ในเวลานี้ ฉีเฟยอวิ๋นกำลังพักผ่อนอยู่ในรถม้า และภายนอกของรถม้าก็มีเสียงแมลงและนกร้อง

หนานกงเย่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับฉีเฟยอวิ๋น เขาจึงพาเธอออกไปท่องเที่ยวนอกเมืองหลวงไม่ไกลนัก แต่ก็สามารถหาแหล่งป่าไม้ได้และรถม้าสามารถเดินทางเข้าไปได้

นานทีที่ฉีเฟยอวิ๋นจะรู้สึกสงบได้เช่นนี้ และในขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่นั้น หนานกงเย่ที่อยู่ในรถม้าก็ลืมตาขึ้นตา รถม้าแกว่งไปมาเล็กน้อย และฉีเฟยอวิ๋นก็ตื่นขึ้น

หนานกงเย่ส่งสัญญาณไม่ให้ขยับและเปิดม่านของรถม้า ทันใดนั้นนกพิราบสีขาวก็บินเข้ามา

หูของเจ้าจิ้งจอกหางสั้นก็ขยับไปมาและจ้องมองไปที่นกพิราบขาวเตรียมตัวที่จะเขมือบ!

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าจิ้งจอกหางสั้นไว้และกดหัวของมันเอาไว้ “มันไม่ได้เอาไว้สำหรับให้เจ้ากินนะ”

เจ้าจิ้งจอกหางสั้นจึงกลับเข้าไปหมอบนอนลง

หนานกงเย่อ่านข้อความในกระดาษแล้วยื่นให้กับฉีเฟยอวิ๋น และนกพิราบก็บินออกไป

เมื่อเปิดข้อความในกระดาษออก ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจอ่านอย่างละเอียดและสีหน้าก็เปลี่ยนไป “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

หนานกงเย่ดูเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่าจะมีคนรู้ว่าข้าและอวิ๋นอวิ๋นไม่อยู่ในเมืองหลวงจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา หากจะรีบกลับไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว หนึ่งคือการปรับย้ายกองกำลังทหารในเมืองหลวงเมื่อข้าไม่อยู่นั้นทำได้ไม่ง่ายนัก สองคืออวิ๋นอวิ๋นไม่อยู่ ทั้งสองตำหนักก็ไม่สามารถรักษาเด็กไว้ได้”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าซีดเซียว “แต่ท่านอ๋อง พวกเขาทราบได้เช่นไรว่าหม่อมฉันและท่านอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง เรื่องการออกนอกเมืองมีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น? ยิ่งไปกว่านั้น ในพื้นที่ต้องห้ามของวังหลวง ใครกันที่ช่างกล้าเช่นนั้นที่สามารถทำอะไรก็ได้?

และต่อให้ท่านอ๋องไม่อยู่ แต่จักรพรรดิและพระพันปีก็ยังอยู่?”

“คนภายนอกไม่รู้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนในวังหลวงจะไม่รู้ พระชายารองอวิ๋นเกิดเรื่องขึ้นจึงสั่งให้คนออกนอกเมืองหลวงมาหาพวกเรา จึงทำให้รู้ได้

เกรงว่าพระพันปีจะไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ และจักรพรรดิเองก็ไม่สามารถปกป้องพระองค์เองได้ เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป”

“เช่นนั้นตอนนี้ควรทำเช่นไรเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรในตอนนี้

“กลับกันไปก่อน”

หนานกงเย่ออกมาจากรถม้าและรีบบังคับควบม้ากลับไป พวกเขาออกเดินทางมาโดยใช้เวลาสามวันและตอนกลับก็ใช้เวลาสามวัน ภายในสามวันนี้วังหลวงก็โกลาหลวุ่นวาย

ฉีเฟยอวิ๋นติดตามหนานกงเย่เข้าวังหลวงไปอย่างรีบร้อน โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

ตลอดทางที่เดินทางมาก็รู้สึกเป็นกังวลตลอด

เมื่อเข้าไปยังพระที่นั่งบำรุงฤทัย ก็ได้เห็นว่าจักรพรรดิกำลังประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรและมีพระพักตร์ซีดขาวและผอมซูบ ราวกับแก่ลงสิบกว่าชันษา ซึ่งดูไม่เหมือนเป็นจักรพรรดิที่ทรงอำนาจและน่าเกรงขาม

ท่านอ๋องตวนและพระชายาตวนก็อยู่ที่นั่น โดยที่ทั้งสองมาถึงก่อนและต่างยืนอยู่ข้างล่าง เสื้อคลุมสีม่วงของพวกเขาดูส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่สำหรับฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว เมื่อเข้าประตูมาฉีเฟยอวิ๋นก็ยกกระชายโปรงขึ้นและคุกเข่าลง แต่หนานกงเย่กลับไม่พูดอะไร

“หม่อมฉันละเลยในหน้าที่การปกป้องและมาช้าไป หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเสียใจ หากไม่ใช่เป็นเพราะประมาทก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

จักรพรรดิอวี้ตี้เหม่อลอยและประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรโดยไม่ตรัสอะไร

หนานกงเย่กล่าว “ฝ่าบาท”

จักรพรรดิอวี้ตี้ถอนหายใจหลังจากนั้นจึงมองลงไปข้างล่างที่ทั้งสองคนเป็นเวลานาน “พระสนมเซียวไม่ทานน้ำข้าวมาแล้วสามวัน หมอหลวงต่างก็หมดหนทาง พลังและเรี่ยวแรงของฮองเฮาก็เหลือน้อยลงแล้ว เกรงว่าจะจะมีเวลาไม่นานแล้ว”

“หม่อมฉันต้องการไปดูเพคะ ฝ่าบาทได้โปรดประทานอนุญาตเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อว่าเธอไม่สามารถช่วยพระสนมเซียวได้

จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง หากสามารถรักษาชีวิตได้ทั้งสองตำหนัก ข้าจะไว้ชีวิตลูกในครรภ์ของเจ้า แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองตำหนัก ลูกในครรภ์ของเจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้”

ฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋นเหงื่อออก เธอเป็นหมอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการผ่าตัดต่างก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถทำสำเร็จได้ แต่วันนี้มีมีดจี้คอนางเธอไว้ เธอจะทำอย่างไร?

“ฝ่าบาท หม่อมฉันละเลยในหน้าที่ที่ไม่สามารถปกป้องทั้งสองตำหนักได้ หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ แต่ลูกของหม่อมฉันไม่ผิดอะไร หากฝ่าบาทต้องการฆ่าหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็ควรรอให้หม่อมฉันให้กำเนิดลูกของหม่อมฉันเสียก่อน และค่อยฆ่าหม่อมฉันหลังจากนั้นก็ยังไม่สายเพคะ”

“ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว”

สีหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ซีดเซียว และเหนื่อยมากแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเหลือบมองไปที่หนานกงเย่ที่ไม่พูดอะไร และหนานกงเย่จึงกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมฉันต้องการติดตามไปดูด้วย และเพื่อจะได้ตรวจสอบเรื่องนี้ว่าใครเป็นคนลงมือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเถอะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้โบกพระหัส ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ถอยออกไปพร้อมกัน

เมื่อออกมาฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านรีบออกไปนอกวังหลวงและไปหยิบกล่องยาของหม่อมฉันที่เรือนยา ที่เป็นกล่องสีเเงินอันนั้น และตรวจสอบของในด้านในและรีบนำมา”

“ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องระมัดระวังให้ดี”

หนานกงเย่ออกมาก็เพื่อเรื่องนี้ กล่องยาถูกซ่อนไว้ในที่มิดชิดและมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่รู้

“วางใจได้เพคะ หม่อมฉันจะระมัดระวังตัวเองเพคะ”

หนานกงเย่หันกลับออกไปนอกวังหลวง เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นต้องไปที่ตำหนักของฮองเฮา แต่เธอกลับไปที่ตำหนักสุ่ยฮัวเสียก่อน

เมื่อเข้าประตูมา ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเข้าไปดูจวินเซียวเซียวที่หายใจอย่างหมดเรี่ยวแรง เมื่อจวินเซียวเซียวเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงฝืนยิ้มขึ้นมาและยื่นมือออกมาจับมือของฉีเฟยอวิ๋น นางไม่ได้ร้องไห้ เพราะว่าผู้หญิงในวังหลังร้องไห้ออกมาก็ไร้ประโยชน์

“พระสนมเพคะ หม่อมฉันมาช้าไปแล้วเพคะ!”

พระสนมเซียวส่ายหน้า “ไม่ เจ้าไม่ได้มาช้าไป ต่อให้เจ้ากลับมาเร็วกว่า ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”

ชัดเจนว่ามีบางอย่างในคำพูดของจวินเซียวเซียว ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบๆ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

ซู่จิ่นเช็ดน้ำตาและเดินนำคนอื่นออกไป