บทที่ 438 บุกรุก!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 438 บุกรุก! โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากตระหนักได้ว่าตนเองโชคดีเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ออกจากการถือสันโดษด้วยความสุขใจ เขาหยิบโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ดขึ้นมา เตรียมออกไปหาที่ทดสอบพลัง อีกทั้งยังจะใช้โอกาสนี้ในการป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่าตนเป็นปรมาจารย์นักหลอมอาวุธเวทแล้ว

ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องลับ เขาก็เปิดแหวนสื่อสารดู และพบข้อความเสียงมากมาย

มีข้อความข่าวสารต่างๆ ไหลหลากเข้ามาจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่อยากให้มีสิ่งใดมารบกวนระหว่างเข้าฌานจึงปิดแหวนสื่อสารไว้แต่ยังเชื่อมจิตกับวงแหวนปราณนครใหม่อยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้น วงแหวนปราณจะแจ้งเตือนทันที จากนั้นเขาก็จะยุติการถือสันโดษเพื่อเข้าไปจัดการปัญหา

หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นข้อความมากมาย สีหน้าเริ่มซีดเผือดขณะที่ก้มหัวอ่าน ก่อนจะแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องคำรามลั่น

*จะมากไปแล้ว!*หวังเป่าเล่อโกรธจัด ความปรีดาเมื่อครู่หายวับไปหมด เขาได้ทราบเรื่องราวต่างๆ จากหลินเทียนหาว กงเต๋า หลี่หว่านเอ๋อร์ และคนอื่นๆ หลิวต้าวปินและบรรดาผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเองก็ส่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเขตนครพิเศษที่พวกเขารู้มาด้วย

หลี่หว่านเอ๋อร์แจ้งข้อกำหนดในการขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองให้เขาทราบ นางไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ยืดยาวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากแผนการเลื่อนระดับเป็นเขตนครพิเศษได้รับการอนุมัติ หวังเป่าเล่อตระหนักทันทีว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากได้อ่านข้อความทั้งหมด!

*ใช้แผนสกปรกล้มข้าไม่ได้ เลยหาช่องทางใหม่มาช่วงชิงความสำเร็จต่างๆ ที่ข้าสร้างมาอย่างนั้นหรือ!*เขาหอบหายใจแรง รู้ดีว่าถ้านครใหม่ได้เลื่อนไปเป็นเขตนครพิเศษ แม้ว่าตนจะได้อยู่ในนครต่อ ก็คงโดนลดขั้นไปเป็นรองเจ้าเมืองเนื่องจากตนไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน

ชายหนุ่มลงแรงสร้างเมืองนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง เขารับไม่ได้ถ้าจะโดนลดสถานะจากเจ้าเมืองไปเป็นรองเจ้าเมือง! ทว่าอีกฝ่ายใช้แผนการสมคบคิดแบบเปิดเผยเพื่อปิดช่องทางไม่ให้หวังเป่าเล่อหาทางตอบโต้ได้ เขาคิดไม่ออกว่าจะต้องรับมืออย่างไร จึงรีบติดต่อหาเจ้านครดาวอังคารด้วยความร้อนรน

แม้แต่เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเองก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี การผลักดันนครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้นส่งผลดีต่อดาวอังคารมากทีเดียว นางมองว่าโอกาสครั้งนี้จะสร้างผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้ดาวอังคาร

นอกจากนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองก็ยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของนางเช่นเดิม มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด เจ้านครบอกชายหนุ่มว่าอย่าไปฟังข่าวลือต่างๆ มาก นางบอกความเห็นของตัวเองอย่างมีชั้นเชิงก่อนจะวางสาย

“ด้วยสถานการณ์จำเป็นต่างๆ ทำให้มีความจำเป็นต้องจัดตั้งฝ่ายพิเศษช่วยดูแลทดสอบข้อมูลและผลงานวิจัยของศูนย์วิจัยต้านทานวิญญาณบนนครหลวงดาวอังคาร โดยผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนี้จะต้องเป็นขุนนางระดับสามชั้นต้น”

คำพูดของนางทำให้หวังเป่าเล่อเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ เจ้านครได้ประกาศจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจนรวมถึงเปิดเผยทัศนคติของนางและให้คำแนะนำชายหนุ่ม นางพยายามบอกว่าแผนนี้มีแววจะได้รับการอนุมัติและดำเนินการ และนางก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้ให้เขาแล้ว

 แผนสำรองของนางถือเป็นแผนที่ดี แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากให้ความพยายามทั้งหมดของตนเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จของผู้อื่น อีกทั้งสุสานอาวุธเทพใต้ดินยังมีผลกับระดับการฝึกตนของเขาด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่ยอมยกตำแหน่งนี้ให้ใครง่ายๆ

หลังจากจบการสนทนากับเจ้านคร หวังเป่าเล่อก็พยายามคิดหาทางอย่างหนักและติดต่อไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเขาคิดว่าตนเป็นคนของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้พยายามเล่นแง่เหมือนตอนที่คุยกับเจ้านคร ชายหนุ่มรีบเอ่ยขึ้นทันใดด้วยความร้อนรน

“ช่วยข้าด้วย ท่านประมุขสำนัก!”

ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจเมื่อได้รับข้อความเสียง เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายติดต่อมาทำไม ทว่าภายในสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าคิดเห็นต่างกันไปในเรื่องนี้ แผนการของตระกูลนภาห้าสมัยนั้นเปิดเผยให้ทุกคนเห็นชัดเจนทำให้ยากที่จะรับมือ

“เป่าเล่อ เรื่องนี้…เจ้าควรจะต้องเตรียมตัวให้ดี จากที่ข้าได้ยินมา…มีโอกาสสูงมากที่ทางสหพันธรัฐจะอนุมัติ…” ประมุขสำนักเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา

หวังเป่าเล่อรู้สึกหนาวเย็นจับขั้วหัวใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตอนนี้ภายในใจชายหนุ่มมีแต่ความสิ้นหวังและความโกรธแค้น เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปไม่ได้

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือ”

“มีสิ!” ประมุขสำนักตอบทันที

“ถ้าเจ้าสามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้โดยเร็ว โอกาสครั้งนี้ก็จะไม่ใช่โชคร้ายอีกต่อไป แต่กลายเป็นโอกาสทองสำหรับเจ้า!

“ถ้าเจ้าบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นในได้ ก็จะกลายเป็นว่าตระกูลนภาห้าสมัยเอาโอกาสใส่ชามทองมาถวายถึงที่ กลายเป็นว่าพวกเขาต้องเสียทรัพยากรและทำตามข้อต่อรองต่างๆ เพื่อผลักดันเจ้าขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง จากนั้นเจ้าก็จะมีอำนาจมากกว่าที่เคยมีและกลายเป็นคนใหญ่คนโตในสหพันธรัฐ!

“มีเพียงแค่ทางนี้เท่านั้น! ข้าจะใช้ทรัพยากรและอำนาจทั้งหมดที่มีชะลอเรื่องนี้ออกไปเพื่อถ่วงเวลาให้เจ้าอย่างเต็มที่ แต่น่าจะได้มากสุดเพียงสามเดือนเท่านั้น ถ้าเจ้าสามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ภายในสามเดือน โชคร้ายของเจ้าก็จะกลายเป็นโชคดี!”

ประมุขสำนักพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแน่วแน่ เขาวิเคราะห์สถานการณ์ให้ชายหนุ่มอย่างละเอียด แต่ที่หวังเป่าเล่อต้องทำคือการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน!

ทั้งสองจบการสนทนาเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากความกดดันอันมากล้น ชายหนุ่มทราบดีว่าแผนการพัฒนานครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เหลือเวลาอีกเพียงไม่มาก หากแผนการได้รับการอนุมัติ แต่ตนยังไม่สามารถบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ ก็คงต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดฝัน

*แค่ต้องสร้างแก่นในเท่านั้น ข้าจะสู้กับคนพวกนั้นสักตั้ง!*หวังเป่าเล่อตรึกตรองอย่างหนัก ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองเสี่ยงดู เขาร้องคำรามลั่น

“ตระกูลนภาห้าสมัย รอก่อนเถอะ ข้าจะเก็บตัวฝึกตน พอเก็บตัวเสร็จเมื่อไหร่ ข้าสาบานเลยว่า…ข้าต้องบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน!” หวังเป่าเล่อรีบลุกขึ้นยืน รู้ว่าหนทางเดียวที่จะบรรลุขั้นการฝึกตนได้จะต้องไปฝึกวิชาในบริเวณรอบนอกของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน

มีเพียงภายในสุสานอาวุธเทพเท่านั้นที่มีปราณมืดอยู่หนาแน่น ประกอบกับปราณมืดที่วงแหวนปราณดูดซึมจะช่วยเร่งกระบวนการฝึกวิชาของเขาได้ หากฝึกวิชาอยู่ในที่พักคงจะไม่ทันการ

แต่วิธีนี้ก็มีความเสี่ยง ภายในสุสานนั้นอันตราย แม้จะฝึกอยู่บริเวณรอบนอกก็ยังต้องเผชิญกับเหล่าอสูรอยู่ดี อีกความเสี่ยงหนึ่งคือการดูดซับปราณมืดในปริมาณที่มากเกินไป มันอาจจะมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ และชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทำเช่นนั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อฝึกวิชาโดยใช้ปราณมืดเป็นเพียงตัวช่วยส่วนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญสุด

หากเป็นในสถานการณ์อื่น ความปลอดภัยคงจะถือเป็นเรื่องหลัก แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้มีเวลาให้มัวคอยท่า เขาสูดหายใจถี่รัว ความมุ่งมั่นฉายชัดในแววตา ชายหนุ่มออกจะที่พัก พุ่งทะยานไปยังสุสานอาวุธเทพที่ถูกผนึกไว้กลางนครตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มก่อสร้างเขตนครใหม่!

สุสานอาวุธเทพใต้ดินถูกปิดผนึกมานานและตอนนี้ก็อยู่ในความดูแลของกงเต๋า หวังเป่าเล่อติดต่อไปบอกกงเต๋าว่าตนจะเข้าไปในสุสานทันทีที่มาถึง

กงเต๋าลังเลเนื่องจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังยืนยันหนักแน่นทำให้เขายอมเปิดทางเข้าสุสานให้ ชายหนุ่มตั้งใจจะจัดกองพลเข้าไปคุ้มกันหวังเป่าเล่อด้วยแต่ก็โดนปฏิเสธ

หวังเป่าเล่อต้องปิดเรื่องการฝึกตนของตัวเองเป็นความลับ อีกทั้งยังค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเองถึงได้ตัดสินใจจะเข้าไปในสุสาน เหตุผลแรกคือเขาไม่ได้จะเดินทางเข้าไปลึกมาก อย่างที่สองคือชายหนุ่มเป็นเจ้าเมือง มีอำนาจควบคุมผนึกและวงแหวนปราณ หากเจอฝูงอสูรก็สามารถต่อกรได้

นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเข้ามาในสุสาน ก็จะเข้าพร้อมคนอื่นๆ เสมอ ทำให้ไม่สามารถใช้เปลวไฟสีดำได้เต็มที่ สัญชาตญาณของเขาบอกว่า เปลวไฟสีดำ…อาจจะช่วยให้ตนไม่พบอันตรายอะไรที่เกินกว่าจะรับมือได้ไหว

นอกจากหวังเป่าเล่อจะสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเข้ามาในสุสานแล้ว ชายหนุ่มยังคุมวงแหวนปราณและปิดอุปกรณ์บันทึกภาพต่างๆ ภายในอีกด้วย ทำให้คนภายนอกไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในสุสาน

ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ก่อนจะกระโดดเข้าไปในสุสาน เริ่มออกตามหาจุดที่เหมาะสมในการเก็บตัวฝึกวิชา!

ขณะเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในสุสาน ไกลออกไปในห้วงอวกาศ แมงกะพรุนยักษ์สีดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาระบบสุริยะอย่างเงียบเชียบ…มันลอยอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้ามาในทันที ทันใดนั้นแมงกะพรุนก็พลันโปร่งแสง เผยให้เห็นผู้ฝึกตนในชุดเกราะเกล็ดสามคนที่อยู่ภายใน ทั้งสามนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาฉายแสงประหลาด พวกเขาจ้องผ่านแมงกะพรุนยักษ์ไปยังระบบสุริยะที่อยู่ไกลออกไป

“มีร่องรอยอารยธรรมอยู่จริงๆ ด้วย…”

“พวกเรามาถึงแล้วแท้ๆ แต่พวกนั้นกลับจับสัมผัสเราไม่ได้ ข้าว่าน่าจะเป็นเพียงอารยธรรมชั้นต่ำ!”

“ถึงจะเป็นแค่อารยธรรมชั้นต่ำก็ไม่สำคัญ พวกเราต้องตรวจสอบว่ามีภัยอันตรายอันใดหรือไม่!” ผู้ฝึกตนที่มีตะขาบบนหน้าได้ยินที่สหายของตนพูด เขาข่มความหิวกระหายในใจไว้ก่อนจะหยิบเข็มทิศผลึกแก้วชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง ชายหน้าตะขาบตั้งผนึกฝ่ามือในท่วงท่าต่างๆ ทันใดนั้นเข็มทิศก็ส่องประกายแสงออกมา

ขณะแสงกำลังส่องสว่าง แผนที่มายาสามมิติก็พลันปรากฏขึ้นบนเข็มทิศ มันเป็นแผนที่ของระบบสุริยะ มีดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์อื่นๆ อยู่ครบครัน!

ภาพโลก ดาวอังคาร และดวงจันทร์ฉายชัดอยู่บนแผนที่!