ช่วงนี้หวางไห่ฉวินประธานไห่ฉวินกรุ๊ปรู้สึกหงุดหงิดใจมาก

รู้สึกเหมือนกับว่าความซวยจะพัดมาหาเขาตั้งแต่เรื่องแต่งงานของลูกชายแล้ว

หลังจากที่จิตแพทย์สาวที่น่ารังเกียจคนนั้นเปิดโปงเรื่องอาการเบี่ยงเบนทางเพศของลูกชายเขา ฝ่ายหญิงที่เดิมจะได้เกี่ยวดองกันก็เริ่มหันไปร่วมมือกับอวี๋หมิงลี่โจมตีเขา ทำให้เขาพ่ายแพ้เรื่องธุรกิจครั้งแล้วครั้งเล่าบวกกับปัญหาที่ยากจะแก้ไขของลูกชาย หวางไห่ฉวินรู้สึกว่าเขาในวัยที่ใกล้จะเกษียณถูกพัดเข้าสู่วังวนแห่งความวุ่นวาย

ทั้งหมดนี้ในสายตาของเขาล้วนเป็นเพราะเฉินเสี่ยวเชี่ยนที่น่ารังเกียจนั่นเป็นตัวนำพามา

เพราะเฉินเสี่ยวเชี่ยนเล่นตุกติกทำให้สองครอบครัวที่เดิมควรจะได้เกี่ยวดองกันกลับต้องกลายมาเป็นศัตรู และอวี๋หมิงลี่นักธุรกิจเจ้าเล่ห์นั่นก็ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ

แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนนั่นก็เจ้าเล่ห์เหลือเกิน นักสะกดจิตที่เขาอุตส่าห์กัดฟันจ้างมาจากเมืองนอกกลับไม่ได้ผล ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะล้มเฉินเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ โรงงานผลิตยาของตระกูลสือกลับฟื้นขึ้นมาได้อีก

ใครจะไปคิดว่าโรงงานผลิตยาที่เกือบล้มละลายอยู่ๆจะโกงความตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง?

ในสนามธุรกิจอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าวินาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง

ช่วงหลายวันมานี้หวางไห่ฉวินมีแต่เรื่องธุรกิจให้รำคาญใจจนไม่มีเวลาคิดเล่นงานเสี่ยวเชี่ยน—-พูดให้ถูกก็คือ เขาไม่มีโอกาสได้ลงมือกับเสี่ยวเชี่ยนอีกแล้ว

วันนี้ตอนที่เขาออกจากโรงแรมหลังเลี้ยงสังสรรค์ก็เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว

เขาอยู่ในอาการมึนเมาเล็กน้อย มองไปรอบๆด้วยความไม่สบอารมณ์ คนขับรถหายไปไหน?

บ้าเอ๊ย กลับไปจะหักเงินเดือน!

ขณะที่หวางไห่ฉวินกำลังคิดอยู่นั้น ประตูฝั่งคนขับก็เปิดออก

“บอกให้รอตรงทางเข้าไม่ใช่เหรอไง—เอ๊ะ เสี่ยวหลิวหายไปไหน?” หวางไห่ฉวินเห็นคนขับไม่ใช่คนเดิม ถึงรถจะเป็นของเขา แต่คนขับกลับกลายเป็นคนหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก

“ผมเพิ่งมาใหม่ครับนาย พี่หลิวท้องเสียเลยให้ผมมาแทนครับ” คนขับหลุบตาลง

ด้วยความที่หวางไห่ฉวินรู้สึกเมา พอเห็นว่านี่เป็นรถตัวเองอยู่แล้วก็ไม่ได้สงสัยอะไร ไม่ได้โทรไปถามว่ามีการเปลี่ยนคนขับรถจริงหรือเปล่า

ความเมาทำให้เขาต้องพิงเบาะพักสายตา หลังจากที่รถถูกขับไปได้ระยะหนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้น ทำไมวันนี้ระยะทางมันไกลผิดปกติ เดี๋ยวนะ!

หลังจากที่เห็นบรรยากาศข้างทางผิดแปลกไป หวางไห่ฉวินก็ตื่นทันที

“นายจะพาฉันไปไหน? นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้าน!”

เขาจะเปิดประตูแต่ก็เปิดไม่ได้

ปกติเขาจะมีบอดี้การ์ดมาด้วย แต่วันนี้ไม่มี เลขาก็เกิดมีธุระกลับไปก่อนแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเจอเรื่องแบบนี้!

คนขับรถหันมายิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็หยิบสเปรย์ขึ้นมาพ่นใส่หน้าหวางไห่ฉวินอย่างรวดเร็ว พอเห็นเขาสลบไปแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์

“สินค้ามาถึงแล้วครับ”

สี่ชั่วโมงต่อมาหวางไห่ฉวินพบว่าตัวเองนอนอยู่ในรถ ส่วนรถก็ถูกจอดไว้หน้าบ้านของเขา คนขับหายตัวไปนานแล้ว

เขานวดขมับด้วยความสงสัย เขาจำได้แค่ว่าเสร็จจากงานเลี้ยงเขาก็ขึ้นรถ หลังจากนั้นเกิดอะไรก็จำไม่ได้แล้ว

เหมือนมีความทรงจำลางๆว่าตัวเองฝันร้ายอะไรสักอย่าง ส่วนฝันว่าอะไรนั้นเขานึกไม่ออก

“กล้าเอาฉันมาทิ้งไว้ตรงนี้ คนขับเฮงซวย ฉันจะต้องหักเงินเดือน…” หวางไห่ฉวินพูดระหว่างลงจากรถ นี่เขาฝันว่าอะไรกันแน่นะ อ้อ นึกออกแล้ว

เหมือนฝันว่าเขาดูคลิปอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ตกใจมาก ในฝันเขาเขียนหนังสือสารภาพว่าในช่วงหลายปีนี้เขาทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปบ้าง แถมยังบีบให้พนักงานการเงินที่อยู่กับเขามาหลายปีร่วมสารภาพ ประทับรอยนิ้วมือด้วย

ฮ่าๆ ทำไมเขาถึงได้ฝันอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ เรื่องโง่ๆที่ไม่ต่างกับฆ่าตัวตายเขาจะทำได้ยังไง?

หวางไห่ฉวินส่ายหน้า ฝันทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจ

เขาเอาเวลาไปหาทางระบายความแค้นให้ลูกชายดีกว่า จ้างคนหลายๆคนให้ไปเล่นงานเฉินเสี่ยวเชี่ยนเอาให้เสียโฉมแล้วถ่ายภาพอนาจารดีไหม?

ถ้าภาพอนาจารของสะใภ้คนเล็กของตระกูลอวี๋ถูกเปิดเผย อวี๋หมิงลี่จะต้องร้อนใจรีบตามเช็ดตามล้างให้น้องชายจนไม่มีเวลามาขัดขวางเขาแน่?

แค่คิดก็สะใจแล้ว หวางไห่ฉวินเปิดประตูบ้านด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมแล้วก้าวเข้าไป แต่กลับไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้มีชีวิตอย่างสงบสุข ตอนเช้าฟ้ายังคงสว่างเหมือนเดิม แต่ชีวิตของเขากลับไม่มีโอกาสได้อยู่เหนือใครอีก

ณ สนามบิน เสี่ยวเชี่ยนสวมแว่นตาดำมือถือซองเอกสารสีน้ำตาล คนที่ติดต่อไว้อยู่ก่อนแล้วเข้ามาหาเธอ เสี่ยวเชี่ยนยื่นซองสีน้ำตาลในมือให้ทีละคน

“รีบเอาไปให้สำนักพิมพ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์เจ้าใหญ่ๆ ต้องรีบเอาไปให้ทันก่อนฟ้าสางด้วยนะ”

“ครับ!” คนพวกนี้อวี๋หมิงลี่เป็นคนส่งมา ไว้ใจเรื่องประสิทธิภาพได้

เอกสารที่เสี่ยวเชี่ยนให้พวกเขาล้วนเป็นตัวสำเนา ส่วนเอกสารที่อยู่กับเธอนั้นเป็นตัวจริง เธอจะเอามันกลับไปเมืองQด้วยตัวเองเพื่อมอบให้พี่ใหญ่ ถึงตอนนั้นคนบางคนก็จะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากไปตลอดชีวิต

ระหว่างอยู่บนเครื่องบินขากลับ เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงข้อมูลที่ได้มาตอนสะกดจิตแบบแทรกซึมให้คนบางคนแล้วก็อดแสยะยิ้มไม่ได้

อยากถ่ายรูปอนาจารเธอ? หึหึ คงต้องหาทางออกจากคุกให้ได้ก่อนแล้วค่อยคิดล่ะนะ

ของที่อยู่ในอ้อมกอดเธอตอนนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาติดคุกไปตลอดชีวิต

โลกที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด ถ้าอีกฝ่ายไม่ตายก็เราตาย ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดสนิท เสี่ยวเชี่ยนวางซองเอกสารลงข้างตัว

เธอหลับตานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เธอไม่ได้รู้สึกสะใจหลังจากที่ได้แก้แค้น เธอนิ่งมากถึงขนาดที่ว่าเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา

สามารถแก้แค้นได้อย่างราบรื่นแบบนี้ ก็นับว่าเป็นเพราะช่วงเวลา สภาพแวดล้อมและคนพร้อม

หนังสือปกหนังแกะเล่มนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจน ไม่มีการสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะสำเร็จก็ต่อเมื่อจิตรู้สำนึกของอีกฝ่ายอ่อนแอมาก และโอกาสที่จะสำเร็จมีไม่มาก

เธอให้คนไปหายาสลบมาให้ บวกกับช่วงหลายวันมานี้หวางไห่ฉวินถูกพี่ใหญ่เล่นงานอย่างหนัก เมื่อคืนเขาดื่มไปไม่น้อย ทำให้เสี่ยวเชี่ยนมีโอกาสลงมือ และหัวใจสำคัญที่เป็นตัวตัดสินความสำเร็จในครั้งนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่เธอกับสืออวี้รวมหัวกันหลอกคนที่หวางไห่ฉวินส่งไป เธอได้ให้ไป๋จิ่นอัดวิดีโอเอาไว้ พอหวางไห่ฉวินได้ดูวิดีโอก็ตกใจกลัว เสี่ยวเชี่ยนจึงมีโอกาสลงมือ นี่แหละช่วงเวลาที่เหมาะสม

ส่วนสภาพแวดล้อมก็คือผู้ช่วยที่พี่ใหญ่หามาให้ก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นคนฝีมือดี หลังจากนี้ก็ยังได้พี่ใหญ่เป็นตัวกลางติดต่อประสาน ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคนมีอิทธิพล หลักฐานอยู่ในกำมือใครฝ่ายนั้นก็ชนะ นี่ก็สภาพแวดล้อมเป็นใจ

เธอมีหน้าที่แค่ทำให้หวางไห่ฉวินเขียนเรื่องเลวๆที่ตัวเองเคยทำไปตามความเป็นจริง จะบอกว่าเป็นจดหมายสำนึกผิดก็ดูจะไม่มีอะไรเกินจริง ไม่ได้พูดพล่ามไปเอง ทุกอย่างเขียนจากความจริง หลังจากนี้ถ้าทางเจ้าหน้าที่ไปสืบดูว่าเรื่องราวที่อยู่ในจดหมายเป็นจริงหรือไม่ ถึงตอนนั้นหวางไห่ฉวินก็หนีความผิดเรื่องทุจริตไม่พ้น

ส่วนเรื่องคนพร้อม…

พอนึกได้ถึงตรงนี้เสี่ยวเชี่ยนก็เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก

วิธีที่เธอเพิ่งใช้ไปไม่ได้มาจากอาจารย์ของเธอ ทั้งหมดล้วนมาจากหนังสือหนังแกะเล่มนั้น

ถ้าไม่มีหนังสือเล่มนั้น ลำพังแค่ความสามารถเดิมของเธอที่มีอยู่ไม่ทีทางสำเร็จแน่นอน หรือบางทีเธออาจสะกดจิตหวางไห่ฉวินได้ แต่ไม่มีทางสะกดได้อยู่หมัดแบบนี้

เสี่ยวเฉียงบอกว่า การสะกดจิตแบบแทรกซึมที่ไม่เคยเปิดเผยให้คนภายนอกได้รู้นั้นเป็น ‘วิชามาร’ แต่กลับเป็นการบอกให้รู้ว่านี่เป็นสำนักวิชาที่ไม่มีใครรู้จัก

ชีอวี่เซวียนก็เหมือนศิษย์เฝ้าสำนัก ปฏิเสธทุกคนที่คิดอยากล่วงรู้สำนักวิชาที่ลึกลับนี้ เบื้องลึกอาจมีตำราลับมากมาย ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนยังทำตัวอวดดีบอกไม่อยากได้ เธอไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปไกลขนาดนั้น

แต่เมื่อเธอสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของตำราลึกลับนี้ ยามที่เธอตระหนักได้ว่าในอนาคตอาจมีโอกาสได้เจอคนเก่งๆอย่างมู่ฮวาหลีอีก หัวใจที่เคยต่อต้านก็เริ่มหวั่นไหว