ตอนที่ 255 สะท้านขวัญชวนสยบ (5)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าอยากกินอะไร”

 

 

หยวนเจ๋อคิดดูแล้วตอบอย่างหนักแน่น “ซาลาเปาไส้เนื้อ อาตมาจะกินซาลาเปาไส้เนื้อ!”

 

 

ซาลาเปา

 

 

คำนี้ทำเอาชิวเยี่ยไป๋หวนนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่อยากจำ นางโกรธอย่างอดมิได้ “ไม่มีซาลาเปาไส้เนื้อ นอกจากนี้แล้วอาหารคาวอะไรเจ้ากินได้หมด!”

 

 

หยวนเจ๋องุนงง “ทำไม”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ทำไม!”

 

 

หยวนเจ๋อคลำกระเป๋าจีวรกล่าวอย่างลังเลว่า “ก็ได้ เช่นนั้นก็เอาซาลาเปาไส้ผักแล้วกัน เอาสามสิบลูก!”

 

 

“…” ชิวเยี่ยไป๋พูดไม่ออก

 

 

นางพลันรู้สึกปวดศีรษะ แถมปวดที่อกด้วย!

 

 

 

 

สุดท้ายหยวนเจ๋อยังคงไม่ได้กินซาลาเปา ได้กินแต่ข้าวต้มกับผักดองเหมือนกับพวกหยิบหย่ง ซึ่งแม้แต่น้ำมันสักหยดก็ไม่มี

 

 

เขารู้สึกคับข้อง แต่นึกอีกทีถึงอย่างไรตนเองก็อยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น จะเอาโน่นนี่ได้อย่างไร พุทธะบอกว่าความอยากเป็นข้อห้ามสำหรับการบำเพ็ญตน และแล้วจึงกินข้าวต้มผักดองอย่างสบายใจ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถามไถ่สภาพของเขาหลังถูกไป๋หลี่ชูกักตัว เขากลับมีท่าทางมึนงง ชิวเยี่ยไป๋จึงเลิกถาม

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลับไปตลอดบ่าย กว่าจะตื่นมาจันทราก็ขึ้นแล้ว

 

 

นางลุกขึ้นจากเตียงพลันเห็นในบ้านสว่างไสวด้วยแสงไฟ นึกเอะใจจึงคลุมเสื้อแล้วลงจากชั้นบน

 

 

และแล้วพอถึงชั้นล่างก็พบว่าในบ้านและห้องรับแขกมีพวกหยิบหย่งที่หน้าเขียวหน้าบวมยืนกันสลอน

 

 

พอพวกเขาเห็นนางลงมาก็มีท่าทางอีหลักอีเหลื่อกระสับกระส่าย

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง ก้มมองพวกเขา “กลับมาแล้วหรือ”

 

 

ไม่มีใครส่งเสียง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า หันกายจะขึ้นชั้นบน ต้าสู่ลังเลครู่หนึ่งพลันเอ่ยปาก “ใต้เท้า!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ทำเหมือนไม่ได้ยิน ขึ้นบันไดต่ออย่างเฉยเมย

 

 

ในที่สุดต้าสู่ก็ตะโกนอย่างอดมิได้ “ใต้เท้า พวกเรากลับมาแล้ว!”

 

 

เฝยหลงเห็นชิวเยี่ยไป๋ยังคงก้าวขึ้นบันได จึงกลั้นความเจ็บปวดของใบหน้าที่บวมปูด แยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนตาม “ใต้เท้า ท่านทุบตีพวกเราแล้วจะทำเฉยเมยอย่างนี้ไม่ได้!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หยุดเท้าหันมามองพวกเขา เลิกคิ้วกล่าวว่า “อ้อ แล้วพวกเจ้าคิดจะทำอะไร ต่อยตีกันอีกยกหรือ”

 

 

บรรดาหยิบหย่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำรามลั่น “ใช่!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กะพริบตา ร้องเชอะเบาๆ “ไม่เจียมตัวจริงๆ หรือ”

 

 

ต้าสู่โก่งคอคำราม “พวกเราถูกคนในตระกูลดูถูกจนจมดิน ถูกคนในซือหลี่เจียนดูแคลน ถูกพวกลูกหลานในเมืองดูแคลน ครานี้เป็นตายร้ายดีก็จะต้องไม่ให้เจ้าหน้าขาวนี่ดูแคลนด้วย พวกเราเดิมพันกับมารดามันสักตั้ง เอาไหม!”

 

 

บรรดาคนหยิบหย่งคำรามดังกว่า “เล่นมันเลย!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มมองดูพวกหยิบหย่งที่แม้แต่จะยืนยังยืนไม่ติด แถมยังหน้าแดงก่ำเหมือนคนบ้า อดมิได้ต้องกอดอกหัวเราะลั่น “ได้ อาศัยคำพูดนี้ของเจ้า ข้าเดิมพันกับพวกเจ้า!”

 

 

พวกอันธพาลตัวเล็กตัวน้อยฝูงนี้เละจนเป็นสภาพนี้ แม้แสดงถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วยังคงท่าทางเหมือนอันธพาลมิรู้ดีชั่ว นางก็ชักนับถือ

 

 

คนเรามีชีวิตแต่หน้าไม่อายเช่นนี้ก็เป็นมิติหนึ่ง ความสามารถอย่างหนึ่งมิใช่หรือ

 

 

พริบตานั้นบรรดาหยิบหย่งพากันพลุ่งพล่าน เห็นท่าทางเช่นนี้แล้วหากมิใช่วันนี้พวกเขาถูกนางทุบตีจนยังเจ็บไม่หาย ก็ต้องพุ่งขึ้นหอกอดนางแล้ว!

 

 

หยวนเจ๋อยืนอยู่ที่ปากบันได แลดูเงาหลังของนาง แลดูนางกับพวกกเฬวรากพวกนั้นพูดจาหยาบคายเยาะเย้ยถากถางจนอึ้งอยู่กับที่ ดวงตาสีเทาเงินฉายประกายพิกล

 

 

มิรู้เพราะอะไร พริบตานั้นเขาพลันรู้สึกว่า แดนสุขาวดีตะวันตกแม้จะน่านิยมแลเป็นตัวของตัวเอง แต่โลกโลกิยะนี้ก็แสนดีเช่นกัน

 

 

……

 

 

สามวันต่อมา

 

 

วันที่ 2 เดือน 5 เดือนจี่ซื่อวันซิงโฉ่ว

 

 

ชงชวด (โหม่วจื่อ) ทิศเหนือเป็นกาลกิณี

 

 

เหมาะกับการขอบุตร เบิกเนตร ผูกสัญญา สู่ขอ รื้อถอน ก่อสร้าง วางศิลาฤกษ์ รับคนเข้า ห้ามเดินทาง ปูเตียง วางคาน ตัดเสื้อ เข้าบ้าน แต่งงาน

 

 

ฟ้าอึมครึม ฝนตกราวฟ้ารั่ว บนถนนไม่ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้นานแล้ว บางครั้งเห็นคนคลุมผ้ากันฝนผ่านไปอย่างรีบร้อน แต่ยังคงเปียกโชกทั้งตัว

 

 

ประตูเปิดดังแอ๊ด เงาร่างเปียกโชกสายหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู

 

 

ชิวเยี่ยไป๋วางปฏิทินจันทรคติในมือลง ดึงผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่เตรียมไว้แล้วเข้าหา

 

 

“เป็นอย่างบ้าง”

 

 

เป๋าเป่ารับผ้าขนหนูเช็ดผมพลางสั่นศีรษะ “ประตูเมืองทั้งสี่ทิศมีคนเฝ้า ตรวจสอบเข้มงวด ทางน้ำและท่าน้ำดูเหมือนหละหลวมกว่า แต่เรือโดยสารส่วนใหญ่หยุดพักแล้ว มีไม่กี่ลำที่ยังรับผู้โดยสาร แต่ข้าสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว พวกชาวเรือล้วนมีวรยุทธ์”

 

 

เห็นท่าทางคนถ่อเรือก็รู้ว่าพวกเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่แววตาตื่นตัวเป็นที่สุด คอยสอดส่องทุกคนบนเรือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “เป็นเหมยซูที่วางกับดักเชิญท่านลงไหหรือ”

 

 

นับแต่วันนั้นที่พวกหยิบหย่งทำเรื่อง ‘ผ้ากับเสบียง’ จนครึกโครมไปทั่วฝั่งใต้ แล้วพุ่งขึ้นหออย่างไร้ความกริ่งเกรงต่อยตีกับนางยกใหญ่แล้ว นางก็รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วคนของเหมยซูต้องตามจับจ้องนางเหมือนสุนัขแน่

 

 

ดังนั้นเดิมทีคิดจะให้พวกหยิบหย่งได้พักสักวัน จากนั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นค่อยทยอยออกจากฝั่งใต้

 

 

แต่นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันข้ามวัน ในคืนนั้นคนในสำนักที่ไปจองเรือก็กลับมารายงานว่า บรรยากาศไม่ถูกต้อง ประตูเมืองทั้งสี่ทิศล้วนมีทหารยามเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

 

 

จนกระทั่งรุ่งขึ้นก็เห็นชัดว่าการตรวจคนออกจากเมืองเข้มงวดอย่างยิ่ง ไม่มีป้ายผ่านทางหรือไม่มีหนังสือรับรองจากหัวหน้าท้องที่ ล้วนถูกสกัดไว้

 

 

ภาพของชิวเยี่ยไป๋ โจวอวี่ยังมีหยวนเจ๋อก็ถูกคัดลอกปิดประกาศจับทุกแห่งหน ข้อหาโจรเลวทรามต่ำช้า ปล้นสวาทฆ่าคน

 

 

โจวอวี่โมโหจนเป็นลม ด่าทอว่ากลับขาวเป็นดำชัดๆ เป็นคำสั่งยัดข้อหาป้ายร้ายของทางการ

 

 

พวกเขาไม่มีทางออกจากเมืองได้ จึงต้องหารือกันหาวิธีใหม่ แต่สองวันที่ผ่านมาทุกอย่างยังคงกวดขันเข้มงวดกว่าเดิม

 

 

ยังมีทหารแลหัวหน้าท้องที่ที่เคาะประตูทีละบ้านแจกประกาศจับ ใครเห็นคนน่าสงสัยให้แจ้งทางการทันที

 

 

ตอนแรกเป๋าเป่าพาพวกหยิบหย่งทยอยเข้าเมืองทีละกลุ่ม ที่ที่เช่าไว้เดิมทีก็เป็นของสำนักซ่อนกระบี่อยู่แล้ว ดูเหมือนจะแค่บ้านหลังเดียว แต่ความจริงบ้านอีกหลายหลังในบริเวณใกล้เคียงทะลุกับที่นี่

 

 

พวกเขาสุมหัวกันที่นี่ แม้จะยังไม่มีอันตรายเป็นการชั่วคราว แต่ใครจะไปรู้ว่าขืนอยู่ต่อไปสถานการณ์จะไม่เลวร้ายไปกว่านี้

 

 

“วันนี้ดูท่าควรงดเดินทาง” ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมองปฏิทินจันทรคติบนโต๊ะ จากนั้นพลันกล่าวว่า “ทุกคนเตรียมตัว รอฝนหยุดแล้วแยกย้ายกันเคลื่อนไหว พวกเราจะพาคนกลุ่มหนึ่งไปก่อน ที่เหลือรั้งอยู่ในเมือง แต่ละกลุ่มที่ไปด้วยกันห้ามเกินห้าคน จะปลอมตัวเป็นอะไรให้เฝยหลงกับต้าสู่ตัดสินใจเอง”