บทที่ 258.3 ยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา โดย ProjectZyphon
เมื่อทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่าร่วงดิ่งลงมา ฝูฉีก็รีบกลับมาที่นี่ มาปรากฏกายอยู่ข้างฝูหนันหัว มองสวี่รั่วที่เดินขึ้นไปข้างบน สีหน้าของเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นี้ไม่มีแววของความไม่สบอารมณ์แม้แต่น้อย กลับกันยังพาฝูหนันหัวกลับเมืองโดยตรง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองพยักหน้าบอกเป็นนัยแก่ฝูฉี จากนั้นก็กลับไปที่กระท่อมริมทะเลของตัวเองเพื่อตั้งใจฝึกตนต่อไป
ฝูฉียอมวางใจปล่อยให้สวี่รั่วเข้าใกล้เด็กสาวจื้อกุย
ไม่เพียงแค่เพราะรู้ว่าตัวเองขัดขวางเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในแผ่นดินกลางไม่ได้ ยังเป็นเพราะสถานะสำนักโม่ของสวี่รั่วอีกด้วย
จอมยุทธ์สำนักโม่เดินทางท่องไปในยุทธภพ เดิมทีนี่ก็เป็นป้ายอักษรทองที่ส่งเสียงดังก้องอยู่แล้ว
สวี่รั่วเดินมาได้เกินครึ่งทาง เด็กสาวก็เดินลงมาจากหอมังกรแล้ว เด็กสาวสวมชุดเรียบง่าย ใบหน้าที่ฉายความงดงามนั้นไม่มีเลือดสดไหลนองและดวงตาสีทองอีกแล้ว
คนทั้งสองมาพบกันที่ครึ่งทาง สวี่รั่วหยุดเดิน ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างพร้อมกับเด็กสาว พลางเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาอริยะลัทธิขงจื๊อบางคน การที่เจ้าขึ้นมาบนหอแห่งนี้ก็คือการท้าทายกฎเกณฑ์”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่รั่ว เด็กสาวกลับไม่ปิดบังอำพรางเหมือนตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูและเมืองหลวงต้าหลี สีหน้าของนางเย็นชา “ในเมื่อข้าสามารถมีชีวิตรอดปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำบ่อนั้นได้ แถมยังมีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็หมายความว่าเรื่องการมีชีวิตอยู่ของข้าคือสิ่งที่อริยะของทั้งสี่ฝ่ายให้การยอมรับโดยปริยาย จะขึ้นมาบนหอสูงแห่งนี้หรือไม่ สำคัญนักหรือ?”
ไม่รอให้สวี่รั่วพูดอะไร จื้อกุยที่ถามเองก็ตอบเองว่า “ข้าว่าไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยสักนิดเดียว”
สวี่รั่วร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่มีประโยคถัดไปอีก
เด็กสาวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในบรรดาเมธีร้อยสำนัก ปีนั้นมีเพียงสำนักโม่ของเจ้า…”
สวี่รั่วผลักกระบี่ออกจากฝักสองชุ่นในเสี้ยววินาที ทั่วทั้งหอมังกรล้วนถูกน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ที่มองไม่เห็นห่อหุ้มไว้อย่างมิดชิด พลังอำนาจยิ่งใหญ่จนเป็นเหตุให้คลื่นของมหาสมุทรที่เดิมทีโถมกระทบฝั่งอย่างดุเดือดถอยไปด้านหลังด้วยตัวเอง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองที่ฝึกตนอยู่ในกระท่อมลืมตาโพลง แต่แล้วก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เวทกระบี่ของเจ้าเลิศล้ำมาก อีกทั้งยังจะสูงส่งได้ยิ่งกว่านี้ แต่พลังอำนาจยังเทียบกับบรรพบุรุษสำนักโม่ของพวกเจ้าไม่ได้”
สวี่รั่วขมวดคิ้ว “แค่พอสมควรก็พอแล้ว ได้คืบจะเอาศอกไม่ใช่เรื่องดี ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล”
เด็กสาวหรี่ตาลง เบ้ปากพูด “ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ที่นี่ก็คือโบราณสถานของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่ง ทุกพื้นที่กลาดเกลื่อนไปด้วยโครงกระดูก กองรวมกันแล้วยังสูงกว่าภูเขาสุ้ยซานของแผ่นดินกลางเสียอีก เลือดสดมากกว่าน้ำในแม่น้ำสายใหญ่ที่เจ้าชักนำมาด้วยซ้ำ”
สวี่รั่วหยุดเดิน พูดเสียงมีโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาไม่เคยสอนเจ้าหรือไง?!”
เด็กสาวไม่หยุดเดิน ฝีเท้าของนางแผ่วเบาว่องไว “สอนสิ เขาชอบสอนคนอื่นมากที่สุดเลยล่ะ แต่ข้าไม่ชอบฟังก็เท่านั้น”
สวี่รั่วเดินติดตามมาด้านหลังเงียบๆ วินาทีที่เด็กสาวก้าวออกจากบันไดขั้นสุดท้าย ปณิธานกระบี่แม่น้ำที่พลังอำนาจมากไพศาลก็หายวับไปในบัดดล
กวักมือเรียกก็มา ง่ายดายสมใจปรารถนา
ตอนนั้นที่สวี่รั่วรับมือกับเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบ เขาก็แค่ผลักกระบี่ออกจากฝักมาเล็กน้อย ใช้ปณิธานกระบี่ภูเขาสูงมาต้านทานกระบี่นั้นของเว่ยจิ้น มองดูเหมือนฝีมือสูสีทัดเทียมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าสวี่รั่วยังไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง
อันที่จริงสวี่รั่วไม่เคยชักกระบี่ออกจากฝักเต็มๆ เล่มมานานหลายปีแล้ว
ตอนนั้นที่เมืองหงจู๋ของราชวงศ์ต้าหลี สวี่รั่วเจอกับบุรุษสวมงอบไม้ไผ่คนนั้น ระหว่างที่คนทั้งสองดื่มเหล้าด้วยกัน สวี่รั่วคิดจะขอคำแนะนำจากบุรุษหนึ่งกระบี่ ทว่าชายผู้นั้นเพียงพูดยิ้มๆ ว่า เจ้าอย่าได้สิ้นเปลืองจิงชี่เสินของกระบี่ในฝักเลย เก็บสะสมต่อไปเถอะ
สวี่รั่วจึงรู้ทันทีว่าตนห่างชั้นกับบุรุษผู้นั้นมากถึงเพียงไหน
หากไม่เพราะติดที่สถานะลูกศิษย์ของสำนักโม่ สวี่รั่วเองก็อยากไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากเหมือนกัน
เซียนกระบี่ที่อยู่ด้านบนกำแพงเมืองแห่งนั้นกับเซียนกระบี่ของเก้าทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาลคือคนละเรื่องกันเลย
แล้วสวี่รั่วจะไม่ปรารถนาอยากไปที่นั่นได้อย่างไร?
หรือว่าควรจะอาศัยโอกาสนี้ไปที่ภูเขาห้อยหัวดูสักครั้ง?
สวี่รั่วใจกระตุก รู้สึกว่าน่าจะทำได้
แต่พอชำเลืองตามองแผ่นหลังของเด็กสาว สวี่รั่วก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ช่างเถอะ เด็กสาวที่มองดูเหมือนบอบบางไม่อาจต้านทานลมตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน
อีกอย่างอายุอานามของนางก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว
สวี่รั่วหยุดฝีเท้าลง ราวกับว่าไม่คิดจะคุ้มกันพานางกลับจวนตระกูลฝูอีก
เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
แต่สวี่รั่วก็ยังยืนเฉยอยู่ที่เดิม
เด็กสาวจึงคิดแค่ว่านิสัยเซียนกระบี่ของเขากำเริบขึ้นมาเลยไม่อยากจะสนใจตน นางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงหันกลับแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง
สุดท้ายสวี่รั่วก็หมุนตัวกลับ เดินย้อนขึ้นไปบนหอมังกร เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุด ที่นี่เคยเป็นสถานที่สุดท้ายในโลกที่มังกรแท้จริงขึ้นบก จากนั้นก็เผ่นหนีไปยังทิศเหนือตลอดทาง บุกเบิกเส้นทางมังกรเดินเส้นนั้น สุดท้ายไปตายอยู่ในราชวงศ์ที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ไม่สามารถลงทะเลหนีข้ามทวีปไปยังอุตรกุรุทวีปได้สำเร็จ
สวี่รั่วไม่รู้ว่าครั้งนี้ เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าหวังจูจะเดินไปได้ไกลสักเท่าไหร่
……
เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจะออกเดินทางยามสายัณห์ของวันนี้
ฟ่านเอ้อร์มาส่งเฉินผิงอันเดินทางโดยเฉพาะ คนทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกันเดินทางไปยังนอกนครมังกรเฒ่าตั้งแต่เช้าตรู่
เจิ้งต้าเฟิงน่าจะเอาสัมภาระห่อหนึ่งมาวางหน้าประตูห้องของเฉินผิงอันตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว พอโยนเสร็จ เถ้าแก่ผู้นี้ก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมากินอาหารเช้า ตะวันลอยสูงสายโด่งก็ยังนอนหลับอุตุ ตัดสินใจแล้วว่าจะนอนจนกว่าจะเต็มอิ่ม แล้วก็ไม่สนใจฟ่านเอ้อร์ที่มาเคาะประตูเรียกและเฉินผิงอันที่เตรียมจะมาบอกลา
เรือข้ามฟากของนครมังกรเฒ่ารวมเรือเกาะกุ้ยฮวาด้วยแล้วก็มีทั้งหมดหกลำ ซึ่งต่างก็ไม่ได้จอดอยู่สุดปลายทางของถนนใหญ่นอกเมืองเส้นที่ตระกูลซุนเป็นผู้สร้าง แต่อยู่บนเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนทะเลทางทิศใต้สุด จำเป็นต้องเปลี่ยนมานั่งเรือข้ามฟากไปที่เกาะขนาดใหญ่แห่งนั้น ห่างจากนครมังกรเฒ่าอันเป็น ‘หัวมังกร’ บนบกของแจกันสมบัติทวีปสามร้อยกว่าลี้
จอดรถที่ริมชายฝั่งก็มีรถม้าอีกคันของตระกูลฝูมาจอดรออยู่นานแล้ว คนวัยเดียวกันสองคนนั่งอยู่ในห้องโดยสาร ฟ่านเอ้อร์ควักถุงเงินถุงหนึ่งมาส่งให้เฉินผิงอันด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พูดเสียงเบาว่า “ที่บ้านควบคุมเข้มงวดมาก ข้าไม่มีเงินเลย จริงๆ นะเฉินผิงอัน ข้าไม่ได้หลอกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่เพราะข้าฟ่านเอ้อร์ขี้เหนียวด้วย ทองหยวนเป่าพวกนี้ล้วนเป็นเงินอั่งเปาของข้า เงินอั่งเปาพวกนี้เป็นเงินไม่มาก แถมยังเป็นพวกผู้ใหญ่ที่สนิทคุ้นเคยกันดีแอบเอามาให้ บวกกับที่ไม่มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยอะไรของบนภูเขา ท่านพ่อท่านแม่ข้าถึงได้ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้เจ้าต้องรับเอาไว้นะ ยังมีเหล้ากุ้ยฮวาหมักสองไหนี้ด้วย เจ้าเอาไว้ดื่มระหว่างเดินทาง ท่านปู่สารถีจะช่วยเก็บซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นของเขาให้ก่อน พอไปถึงที่เกาะกุ้ยฮวา เขาจะแอบมอบให้เจ้า เพราะอาจารย์เจิ้งเคยพูดไว้แล้ว เมื่อเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราออกเดินทางจะต้องปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีแน่ สุราเล็กน้อยแค่นี้ย่อมมีให้ดื่มอยู่แล้ว แต่ว่านี่คือน้ำใจของข้าฟ่านเอ้อร์เอง ยังไงก็ไม่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เงินข้าคงไม่รับไว้ แต่เหล้าน่ะเอาแน่นอน”
ฟ่านเอ้อร์เสียใจและกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ทำไมล่ะ? เจ้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่รังเกียจเงินน้อยนี่นา? พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนี้ ต่อให้ละลายเงินพันชั่งก็ไม่ต้องกะพริบตาไม่ใช่หรือ? อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางมานี้ข้านึกเสียดายระยะเวลาห้าหกปีที่เก็บออมมาด้วยความยากลำบากด้วยนะ”
เฉินผิงอันกระแทกไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ กดเสียงต่ำถามว่า “ในนครมังกรเฒ่ามีสุราบุปผาหรือไม่ (สมัยโบราณเรียกสุราที่หญิงคณิการ่วมดื่มด้วยว่าสุราบุปผา) ? วันหน้าพอพวกเราโตขึ้นอีกนิด…”
ฟ่านเอ้อร์ดวงตาเป็นประกาย เข้าใจได้ในทันที “วางใจเถอะ สองปีต่อจากนี้ข้าจะเก็บสะสมทองหยวนเป่าไว้เยอะๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่ง เขาบอกว่าสุราที่อร่อยที่สุดในหล้าก็คือสุราบุปผา หากไม่เคยดื่มเหล้านี้แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่คู่ควรให้เรียกตัวเองว่าเซียนสุรา…ฟ่านเอ้อร์ ถึงเวลานั้นพวกเราแค่ดื่มเหล้ากันอย่างเดียวนะ!”
ฟ่านเอ้อร์ตอบรับเป็นการเป็นงาน “แน่นอนอยู่แล้ว!”
ที่แท้ด้านนอกเกาะใหญ่ที่บดบังการมองเห็นจากนครมังกรเฒ่าคือเกาะอีกแห่งหนึ่ง บนเกาะมีหอเรือนตั้งเรียงราย มีต้นกุ้ยขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้คนผ่อนคลาย
กลางทะเลที่เชื่อมเกาะสองแห่งมีทางเชื่อมที่กว้างใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง รถม้าหรูหราหลายคันได้แต่จอดไว้ที่ถนนฝั่งนี้ ทว่ารถม้าที่เด็กหนุ่มสองคนนั่งโดยสารมากลับขับตรงไปยังเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา พาให้สายตาสงสัยของคนมากมายจับจ้องมองมา แต่พอมีผู้ฝึกลมปราณจำสารถีเฒ่าที่ขับรถม้าได้ก็ไม่มีใครกล้าบ่นอะไรอีก
รถม้าจอดลงช้าๆ ฟ่านเอ้อร์และเฉินผิงอันสองคนเดินลงจากรถ ฟ่านเอ้อร์พูดหน้าหงอย “เฉินผิงอัน ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าขึ้นเรือแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าขโมยเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ท่านพ่อเก็บซ่อนไว้มา เหล้าพวกนี้กว่าเขาจะซ่อนจากสายตาแม่ใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ดันมาถูกข้าขโมยเสียหมด วันนี้กลับไปต้องลงโทษให้ข้าไปอยู่ในห้องบรรพชนอีกแน่ๆ …”
เฉินผิงอันรีบพูดทันที “เจ้าอย่าไปขุดดินมากินเด็ดขาด คราวก่อนข้าหลอกเจ้าว่าเอามากินแทนข้าวได้ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นนะ”
ฟ่านเอ้อร์อึ้งงันเป็นไก่ไม้ พูดหน้าบึ้ง “เมื่อคืนวานข้าไปขุดมาซ่อนใต้เตียงตั้งสองจินกว่า นี่ข้าเสียเวลาขุดเปล่าหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง รับเหล้าสองกามาจากมือของสารถีเฒ่าผู้มีใบหน้าเมตตา เดินถอยหลังไปยังเกาะกุ้ยฮวา พูดกับฟ่านเอ้อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “ไปแล้วนะ!”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับแรงๆ โบกมือบอกลา คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าชื่อของเจ้าดีมากเลย พอๆ กับชื่อของข้าที่เวลาพ่อแม่ตั้งให้ต่างก็ไม่ใส่ใจ!”
เฉินผิงอันหน้าดำ หมุนตัวกลับวิ่งไปบนทางภูเขาขึ้นเกาะ
ฟ่านเอ้อร์ลำพองใจนิดๆ “ใครใช้ให้เจ้ามาหลอกข้าว่ากินดินแทนข้าวได้”
ฟ่านเอ้อร์หมุนตัวกลับ พูดกับสารถีเฒ่ายิ้มๆ ว่า “ท่านปู่หม่า ไปกันเถอะ ตรงไปที่ศาลบรรพชนเลย!”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าครั้งนี้ตนกล้าหาญอย่างยิ่ง ดูท่าเหล้าที่ดื่มและขโมยไปจะไม่ได้เสียเปล่า ทั่วร่างของเขาจึงมีแต่กลิ่นอายของวีรบุรุษ!
ผู้เฒ่าที่กลั้นยิ้มมาโดยตลอดกล่าวว่า “คุณชายฟ่าน ท่านพ่อท่านบอกแล้วว่า ครั้งนี้ไม่ต้องไปรับโทษที่ศาลบรรพชน”
ฟ่านเอ้อร์ยกสองมือกุมหัว ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
ผู้เฒ่ามองนายน้อยของตัวเอง แล้วก็หันไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ
ทุกก้าวที่เฉินผิงอันเดินขึ้นเขาก็คล้ายว่าได้ขยับเข้าใกล้แม่นางคนนั้นทีละนิด
ดังนั้นยิ่งเดินฝีเท้าจึงยิ่งเร็วราวกับบิน เดินไปจนถึงยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา หันมองไปรอบด้านก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นเขาก็จงใจสะกดกลั้นลมหายใจเฮือกนี้เอาไว้
เพราะจู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่ผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่พูดตรงริมหน้าผา
“ยามที่พ่นลมหายใจเฮือกนี้ออกมา ต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี! ต้องทำให้เทพเซียนคุกเข่าโขกหัวให้ ต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกรู้สึกว่าเจ้าก็คือท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!”
จากนั้นเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคหนึ่งของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ย
หากมีแม่นางคนหนึ่งพูดกับเจ้าว่า เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนดี…ฮ่าๆ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนก็จบเห่แน่แล้ว!
เฉินผิงอันรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย ยกมือเกาหัวทันที
สุดท้ายเขานึกถึงประโยคหนึ่งที่ตัวเองเคยพูด “บิดาข้าแซ่เฉิน มารดาข้าก็แซ่เฉิน เพราะฉะนั้นข้าชื่อ…เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยอง ดื่มเหล้าดับความกลุ้ม อดพึมพำประโยคหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าโง่หรือไง?!”
—–