ตอนที่ 796 หมัดมวย

Elixir Supplier

ในวันเดียวกัน ทางกรมตํารวจเมืองหลานก็ได้ส่งคนขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางมาที่เมืองเต๋า พวกเขายังได้นําข้อมูลเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนั้นมาด้วย หลังฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดที่พวกเขามีอยู่ในมือก็คือเลือดจากผู้ต้องสงสัยในครั้งนั้น จากการเทียบดีเอ็นเอ ผลแสดงให้เห็นว่าเป็นชายที่ถูกจับได้ที่เมืองเต

“ไม่แปลกใจเลย ที่ฉันรู้สึกกระสับกระส่ายในตอนที่ดูดเลือดของเขามา” ตํารวจนายหนึ่งพูด “เป็นเพราะฉันกําลังแบกคดีใหญ่เอาไว้บนหลังนี่เอง!”

ตํารวจจากเมืองหลานยืนยันได้ว่าตัวตนของเขามีการปลอมแปลงขึ้นมา คดีที่ปิดไม่ได้เป็นเวลานาน หลังจากการสืบสวนนานหลายเดือน พวกเขาก็ยังปิดคดีไม่ได้ และนั่นยังส่งผลให้เกิดการพูดถึงคดีนี้อย่างกว้างขวางจนกลายเป็นปัญหา หลังจากคดีเงียบไปเกือบปี พวกเขาก็ได้ข้อบ่งชี้ใหม่แล้ว

“สอบเขาให้ละเอียด” หัวหน้าจากกรมตํารวจเมืองหลานพูด

“เขามีประสบการณ์สูงมากครับ” ตํารวจเมืองเต่พูด “เขาไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ก็ยังใจแข็งได้อยู่”

“ทําต่อไป” ตํารวจเมืองหลานพูด “ผมไม่เชื่อว่าเราจะทําอะไรเขาไม่ได้!”

ทางกรมตํารวจเมืองหลานได้จัดส่งคนมาเพิ่ม พวกเขาสร้างทีมขึ้นมาร่วมกับทางเมืองเต๋าเพื่อทําการสืบสวนชายคนนั้น ไม่นาน ความสงสัยของพวกเขาก็ไปตกที่บริษัทซื่อห่ายเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาทํางานอยู่

“ตรวจสอบที่ทํางานของเขา” หัวหน้าทีมพูด

ทีมได้ทําการตรวจสอบบริษัทรวมไปถึงตัวพนักงานด้วย จากการสืบสวนของพวกเขาทําให้พบว่า ประธานบริษัทได้เสียชีวิตจากการระเบิดไปก่อนหน้านั้นแล้ว พวกเขายังพบว่าพนักงานอีกคนของบริษัทสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ชายคนนั้นถูกส่งตัวเข้าคุกและโดนสอบสวน เขาเป็นหนึ่งในอาชญากรที่ทางการต้องการตัว ในข้อหาโจรกรรมและทําร้ายร่างกาย

“บริษัทนี้ซุกซ่อนสิ่งเลวร้ายเอาไว้และยังรับทําเรื่องชั่วร้ายด้วย” ตํารวจในทีมสืบสวนพูด

“ใช่ ยังมีกรรมการบริหารอีกหลายคนที่ไม่มาด้วย” ตํารวจพูด

ทีมสืบสวนพิเศษทํางานร่วมกับแผนกบุคคลของบริษัท เพื่อตรวจสอบการทํางานของกรรมการบริหารแต่ละคน ถึงพวกเขาจะพยายามเลี่ยงไม่ให้เหยื่อรู้ตัว แต่พวกเขาก็รู้ว่า เหล่ากรรมการบริหารคงรับทราบข่าวเรื่องการสืบสวนของทางตํารวจแล้วเรียบร้อย

ภายในเมืองเต๋า ข่าวถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ชายสวมหมวกถาม

“เป็นลู่วเฉิง ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว” ชายอีกคนพูด

“เป็นไปได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าเขาระวังตัวมาตลอดเหรอ?” ชายสวมหมวกถาม

“สองคืนก่อน มีขโมยเข้าไปในบริษัทของเราและเข้าไปในห้องของนายด้วย” ชายอีกคนพูด

“ขโมย?” ชายสวมหมวกประหลาดใจ “ในห้องทํางานของฉันไม่มีอะไรสักหน่อย”

“อืม ลู่ชิวเฉิงดันไปที่นั่นพอดี” ชายอีกคนพูด “เขาเจอหัวขโมยคนนั้นเขา เลยพาตัวไปมัดเอาไว้ เขาเตรียมวิธีการทรมานเพื่อให้อีกฝ่ายสารภาพออกมาว่าใครเป็นคนส่งมา แต่เขากลับถูกตลบหลังเข้าเลยโดนตํารวจจับไป”

“เรื่องนี้ดูเหมือนจะยุ่งยากสักหน่อย” ชายสวมหมวกพูด “ฉันตั้งใจจะปรากฏตัวออกไปตอนที่เรื่องเงียบลง แต่ตอนนี้คงทําไม่ได้แล้วสินะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันแสดงตัวออกไป ตอนนั้นคงไปถึงความสนใจของตํารวจเข้า แล้วเรื่องหลอกลวงก็คงไปต่อได้ยาก”

“เราจะทํายังไงกันต่อดี?” ชายอีกคนถาม “ในบริษัทของพวกเรามีคนที่ปลอมแปลงตัวตนอยู่หลายคน มีคนหนึ่งที่โดนจับไปแล้ว”

“บอกให้พวกเขาเก็บตัว” ชายสวมหมวกพูด

“ถ้าเกิดทําแบบนั้น เราจะไม่ถูกสงสัยมากกว่าเดิมหรอกเหรอ?” ชายอีกคนถาม

“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว” ชายสวมหมวกพูด “เมื่อไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งได้ การนําทีมไปต่อคงทําได้ยาก!”

ใต้ต้นจนเหอในหมู่บ้านกลางเขามีโต๊ะหินอยู่หนึ่งชุด คนสองคน และกาน้ําชา

“มาดื่มชาด้วยกันสิครับ” หวังเย้าพูด

“ขอบคุณครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด

ตอนนี้ไม่มีคนไข้ในคลินิก จงหลิวชวนที่บังเอิญแวะมา หวังเย้าจึงชงชาและนั่งคุยกับเขาที่ใต้ต้นไม้ เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว

“เกือบจะหมดปีแล้ว” หวังเย้าพูด

หกเดือนที่ผ่านมา เขาทําสําเร็จไปแล้วหลายอย่าง ทั้งการบ่มเพาะที่พัฒนาขึ้น, เห็นความเปลี่ยนแปลงของเนินเขาหนานชาน, มีเพื่อนที่เชื่อใจได้อีกหลายคน, และความสัมพันธ์กับซูเสี่ยวซวี

“เชียนเชิง ผมคิดว่าเป็นเขาหนานชานดูเหมือนกําลังเปลี่ยนแปลงอยู่นะครับ” จงหลิวชวนพูด

“โอ้ เปลี่ยนยังไงเหรอ?” หวังเย้าถาม

“ผมคิดว่า มันกําลังสูงขึ้น” จงหลิวชวนพูด

เขามักไปฝึกฝนที่บริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างเนินเขาหนานชานและเนินเขาตงชานอยู่เป็นประจํา ตอนแรก เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่มักเกิดขึ้นทําให้เขาเริ่มสังเกตเห็น เมื่อเขาเริ่มสังเกตดู เขาก็รู้สึกได้ว่าเนินเขากําลังสูงขึ้น

“อืม มันกําลังสูงขึ้นจริงๆ” หวังเย้าพูด เขาสังเกตปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกัน “หกเดือนที่ผ่านมามันสูงขึ้นเกือบ 3 ฟุตแล้ว”

“นี่ไม่ใช่เป็นการเตือนเรื่องแผ่นดินไหวใช่ไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม

“คุณกังวลเรื่องนั้นหรอกเหรอ? ไม่เกี่ยวกันหรอก!” หวังเข้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ความสูงที่เพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดนี้ มีสาเหตุมาจากค่ายกลรวมวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับความเป็นไปได้เรื่องแผ่นดินไหว

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” จงหลิวชวนพูด

“นั่งเฉยๆแบบนี้ก็ดน่าเบื่อเกินไป” หวังเย้าพูด “เรามาประมือกันสักหน่อยดีไหม?”

“ที่นี่น่ะเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม

“พอหลังดื่มชาเสร็จ เราขึ้นไปบนเขากันดีไหม?” หวังเย้าเสนอ

“ดีครับ” จงหลิวชวนตอบ

หลังจากดื่มชาในถ้วยหมด พวกเขาก็ออกจากคลินิกและขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงยอดเขา

“มาครับ ขอผมดูพัฒนาการของคุณโดยไม่ต้องใช้มีดหน่อย” หวังเย้าพูด

จงหลิวชวนไม่คิดกักความสามารถ เขากระตุ้นการไหลเวียนพลังในร่างกาย เกิดพลังลมขึ้นที่หมัดและลูกเตะในการโจมตีหวังเย้า ความเร็วของเขาสูงมาก

ความเร็วของเขามากกว่าครั้งก่อน และความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จังหวะการหายใจถูกควบคุมไว้เป็นอย่างดี หวังเย้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของจงหลิวชวน พร้อมกับโยกตัวหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย

ข้อบกพร่องของเขาก็คือความซับซ้อนและยังไม่เป็นระบบระเบียบมากพอ พูดง่ายๆก็คือ การเรียนรู้ของจงหลิวชวนยังไม่เชี่ยวชาญพอ เขารู้ทุกอย่างเพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่เชี่ยวชาญเลยสักอย่าง สิ่งเดียวที่เขาสามารถพึ่งพาได้ก็คือประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาของเขา ถ้าหากเขา พบเจอกับยอดฝีมือที่แท้จริง เขาจะเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวง

“เอาล่ะๆ พอได้แล้ว” พวกเขาไม่ได้ประมือกันมานาน แต่หวังเย้าก็สามารถมองเห็นพัฒนาการของจงหลิวชวนได้แล้ว รวมถึงข้อบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไข้ของเขาด้วย “ผมจะสอนการต่อสู้ด้วยหมัดมวยให้คุณไปฝึกนะครับ”

ทักษะหมัดมวยเป็นการต่อสู้ที่เหนือไปกว่าการใช้หมัดอย่างเดียว ก่อนหน้านั้น หวังเย้าเคยถามตระกูลโจวว่าเขาสามารถเผยแพร่มันกับคนนอกได้หรือไม่ และทางตระกูลโจวก็อนุญาตแล้ว

“ทักษะการหมัดมวยนี้มาจากตระกูลโจวแห่งฉางโจว” หวังเฝ้าพูด “คุณต้องจดจําไว้ให้ดี ผมเพียงแค่นํามาสอนต่อให้คุณเท่านั้น”

“ครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูดด้วยความเคารพ

หวังเย้าเริ่มแสดงท่าหมัดมวยอย่างช้าๆ โดยเฉพาะในจุดสําคัญของทักษะ นี่ไม่ใช่แค่หมัดมวย แต่ยังรวมไปถึงท่าเท้าและทักษะที่แข็งแกร่ง มันอาจดูเรียบง่าย แต่กลับลึกซึ้ง

หากเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญก็จะมองออกได้ จงหลิวชวนที่เป็นหนึ่งในนักสู้จึงสามารถมองเห็นความต่างในความเคลื่อนไหวนี้ได้

“ผมจําได้นิดเดียว” จงหลิวชวนพูด

เขาบอกความจริงออกไป ถ้าเขาสามารถจดจําได้ในการมองครั้งแรก เขาก็คงเป็นอัจฉริยะ หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดไปแล้ว แต่เขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น

“ไม่ต้องกังวล ผมจะทําให้ดูอีกรอบ” หวังเย้าพูด

หลังจากนั้น หวังเย้าก็แสดงให้เขาดูอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเคลื่อนไหวช้าลงกว่าเดิม ด้วยวิธีนี้ ทําให้เขาต้องแสดงท่าทักษะไปทั้งหมดแปดครั้งด้วยกัน

“เอาล่ะ วันนี้พวกเราพอกันแค่นี้ก่อน” หวังเย้าพูด “ลองกลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้ดู ไม่ต้องรีบร้อน”

“ขอบคุณครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด