ตอนที่ 238 ขอคำอธิบาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ไม่นานนักฝ่ายพันธมิตรของฉินอวี้โม่ก็สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ กลุ่มหลงจื้อและพันธมิตรของเขา แม้ว่าจะไม่ยินยอมแต่ก็หยุดการต่อสู้ลงเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้พวกเขาตกเป็นรองอย่างสมบูรณ์ ถ้ายังฝืนดึงดันสู้ต่อไปในสภาพที่ตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ เห็นทีว่า ไม่ใช่แต่เพียงภารกิจล้มเหลว แต่กระทั่งชีวิตของพวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะรักษาให้รอดกลับไปได้

จากสถานการณ์ในตอนนี้หลงจื้อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ว่า สำหรับวิกฤตการณ์ในวันนี้ สุดท้ายแล้วอาจเป็นพวกเขาที่ต้องสังเวยชีวิต

ทว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนก็ไม่ใช่คนดีนัก แต่ละคนเคยผ่านศึกสงครามกระทำเรื่องชั่วช้ามามาก ไม่มีพวกเขาคนใดยินยอมก้มหน้ารับความพ่ายแพ้แต่โดยดีแน่ หากเหล่าศัตรูจะสังหารพวกเขาให้ได้จริง ๆ ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่สาสม พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลากอีกฝ่ายให้ตามลงนรกไปด้วยกันให้มากที่สุด นั่นถือเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ถ้าเป็นเช่นนี้ทางฝ่ายหวนหลิงเองก็จะได้รับความเสียหายไม่น้อยเช่นกัน ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นข้อต่อรองที่ดีกับเหล่าผู้ถือตนว่ามีคุณธรรมพวกนั้น

“เหลือเชื่อ ผู้ที่สามารถหลอมวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ได้จะต้องเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวมาก”

สายตาของอู่ซิงและเหล่าผู้มาเยือนจากดินแดนหนเหนือจ้องมองไปที่ฉินอวี้โม่เป็นตาเดียว แววตาของแต่ละคนล้วนมีแต่ความยำเกรง

แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะรู้ว่าสตรีผู้นี้มีกายเทพมายาและมีพรสวรรค์สูงอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ด้วยว่านางอายุยังน้อยอยู่และยังถือกำเนิดในดินแดนหวนหลิง ทำให้คนจากดินแดนเทพมายาที่เหนือกว่าอย่างพวกเขาไม่ใคร่จะเห็นความสามารถของนางอยู่ในสายตา พวกเขาล้วนคิดว่าจะอย่างไรก็ต้องรออีกนานหลายปีให้นางเติบโตขึ้นจึงจะมีฝีมือที่สูงส่งได้

ทว่า บัดนี้นอกจากจะเอาชนะหลิงซานได้ยังไม่พอ คุณหนูผู้มีกายวิเศษยังมีไพ่ตายที่ร้ายกาจถึงขั้นสามารถผนึกวิญญาณมังกรดึกดำบรรพ์ที่ไร้เทียมทานได้ ทำให้พวกเขารู้สึกยำเกรงคนผู้นี้จากก้นบึ้งของหัวใจ

ด้วยความแข็งแกร่งที่น่าตกใจของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ ต่อให้ต้องประมือกับพวกเขาทุกคนนางก็อาจจะไม่เป็นรองก็ได้

“พวกท่านเห็นกันหรือไม่ กระบวนท่ารวมใจเป็นหนึ่งเมื่อครู่ก็น่าประทับใจมาก มันเป็นการโจมตีที่เฉียบขาดรุนแรง แม้แต่จ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของเราก็ยังใช้กระบวนท่านั้นได้เพียงวันละครั้ง อีกทั้งยังต้องใช้เวลาฝึกฝนเนิ่นนาน ไม่คิดเลยว่าแม่นางอวี้โม่จะสามารถใช้มันได้ เรื่องนี้น่าตกใจยิ่งนัก !”

ขงชิงจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์กล่าวชื่นชม ในด้านของกระบี่พวกเขาถือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุด กระบวนท่าที่ฉินอวี้โม่ใช้จัดการหลิงซานนั้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเขายังต้องตกตะลึง มันไม่ใช่ทักษะที่ยอดฝีมือทั่วไปจะใช้ได้เลย

ร่วมจิตเป็นหนึ่งถือเป็นกระบวนท่าโจมตีที่สุดแรงมากที่สุดของมือกระบี่ แม้แต่จ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยังสงวนกระบวนท่านี้เอาไว้ไม่ใช้ออกมาโดยง่าย นั่นเพราะว่าหากใช้แล้วจะสิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาลและอาจถึงขั้นทำให้ผู้ใช้ได้รับบาดเจ็บได้

พลังในตอนนี้ของฉินอวี้โม่ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพเสียด้วยซ้ำ แต่กลับใช้กระบวนท่านี้ได้แล้ว พรสวรรค์ของนางช่างน่ากลัวเหลือเกิน ในฐานะมือกระบี่เขารู้สึกประทับใจยิ่งนัก

ผู้มาจากขุมกำลังแห่งมือกระบี่ไม่สงสัยเลยว่าหากจ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มาเห็นนางด้วยตัวเอง เขาก็คงต้องประทับใจมากเช่นกัน สตรีตระกูลฉินผู้นี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการเป็นมือกระบี่ที่ยอดเยี่ยมโดยแท้

อวิ๋นเฟิงและอวิ๋นหลานยิ้มบาง ๆ พวกเขารู้สึกว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวนครเวหาของพวกเขาเช่นกัน แม้จะยังอายุน้อยแต่นางก็ถือว่ายืนอยู่จุดสูงสุดของดินแดนหวนหลิงแล้ว แม้แต่ในดินแดนเทพมายานางในตอนนี้ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าประทับใจ หากเติบโตต่อไป สตรีผู้นี้ก็อาจจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า

“หึ พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้ในวันนี้ก็ได้ เพราะถึงสู้กันต่อไปพวกเราก็คงสู้พวกเจ้าไม่ได้ แต่หากต้องการฆ่าพวกเราทิ้งทั้งหมดล่ะก็ ฝ่ายพวกเจ้าเองก็จงเตรียมตัวรับความสูญเสียเอาไว้ด้วย !”

หลงจื้อตะคอกเสียงแข็ง วาจานั้นมีเจตนาข่มขู่ชัดแจ้ง

“หลงจื้อ เจ้ายังกล้าขู่พวกเราอีกอย่างนั้นรึ คิดหรือว่าพวกเราไม่กล้าสังหารเจ้าจริง ๆ ?”

ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด อู่ซิงก็โพล่งวาจาขึ้นมาก่อน เขามองบุรุษผู้มาจากนิกายหงส์มังกรด้วยสายตาหมิ่นแคลน

“เหอะ ! อู่ซิงจริงอยู่ว่าเจ้าอาจจะไม่กลัว แต่คนอื่น ๆ ในดินแดนหวนหลิงเล่า ถ้าบีบคั้นพวกเรามากเกินไป วันนี้อาจจะต้องมีคนตายนับไม่ถ้วน ตัวเจ้ากล้ารับผิดชอบหรือไม่ ?”

หลงจื้อยังคงโต้ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว เขามั่นใจเหลือเกินว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าเอาชีวิตพวกพ้องมาแลกชีวิตกับฝ่ายตนแน่

…และเขาก็เชื่อว่าคนฉลาดอย่างฉินอวี้โม่ย่อมรู้ดีว่าจะเลือกทางใด

เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินคำพูดของหลงจื้อ นางก็แย้มรอยยิ้ม หญิงสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเกลียดการข่มขู่มาแต่ไหนแต่ไร แต่ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมาก็ถูกต้อง แม้ว่าจะพ่ายแพ้แล้วแต่ฝ่ายหลงจื้อก็ยังมีกองกำลังที่น่ากลัวอยู่ ถ้าจะสู้กันให้ตายไปข้างจริง ๆ เกรงว่าฝ่ายหวนหลิงเองก็จะเสียหายหนักเช่นกัน ซึ่งฉินอวี้โม่ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าจะอยากเอาชีวิตของหลงจื้อผู้นี้มากเพียงใด แต่นางก็คงต้องสยบอารมณ์นั้นเอาไว้

ถึงอย่างไรเรื่องที่นางมีกายเทพมายาก็คงจะปกปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่เป็นเป้าหมายลำดับถัดไปของนางก็คือดินแดนอ้างว้าง ต่อให้คนจากดินแดนหนเหนือทราบข่าวเรื่องกาพเทพมายาแต่พวกเขาคงจะตามเล่นงานนางที่นั่นได้ไม่ง่ายแน่

กระนั้นการจะปล่อยพวกหลงจื้อไปอย่างง่ายดาย ก็ไม่ใช่นิสัยของคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้อยู่ดี

ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาหลงจื้อช้า ๆ ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้ม แม้จะยังคงงามจับตาแต่ทว่าความน่าหวาดหวั่นกลับดูเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ “หลงจื้อ คนอย่างข้าไม่เคยกลัวคำขู่ เพียงแต่ข้ามีเมตตา หากเจ้ามี*‘คำอธิบายดี ๆ’*สำหรับเรื่องวันนี้ให้พวกเรายอมรับได้ วันนี้พวกเราก็จะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้า ‘คำอธิบาย’ ของเจ้าไม่เหมาะสม ก็จงทำใจแล้วเตรียมตัวทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ นักฆ่าในร่างคุณหนูก็กล่าวต่อด้วยรอยยิ้มเย็นชา “หลงจื้อ จงทำความเข้าใจเสียใหม่นะว่า ผู้คนในดินแดนหวนหลิงของเราล้วนเป็นผู้กล้าไม่เกรงกลัวความตาย ถ้าเจ้าไม่ให้*‘คำอธิบาย’*อย่างที่เราพอใจ ต่อให้ต้องเสียเลือดเนื้อเท่าไหร่ พวกเราก็จะขอฝังร่างเจ้าและคนของเจ้าไว้ที่นี่”

เยว่ชิงเฉิงและสหายรุ่นเยาว์คนอื่น ๆ เข้าในความหมายของฉินอวี้โม่ดี องค์ชายฉีอวี้จึงเอ่ยสนับสนุน “อวี้โม่พูดถูกแล้ว พวกเราไม่เคยกลัวตาย ถ้าเจ้าไม่ทำให้เราพอใจ พวกเจ้าก็จะไม่มีวันได้ออกไปจากที่นี่”

หลงจื้อไม่ใช่คนไร้ปัญญา เขาเข้าใจความหมาย*‘โดยนัย’* จากข้อต่อรองของสตรีตรงหน้า หลังจากฟังวาจาของนางและสหาย กอปรกับเห็นสีหน้าและแววตาอันแน่วแน่ของคนจากดินแดนหวนหลิง บุรุษจากนิกายหงส์มังกรก็ยอมรับสถานการณ์ในตอนนี้ ตัวเขาไม่อยู่ในสถานะที่จะต่อรองสิ่งใดได้

แม้ว่าจะเกิดความรู้สึกไม่ต่างจากการกลืนเข็มพันเล่ม แต่เขาก็จำเป็นจะต้องมอบสิ่งของชดเชยออกไป ถ้าพวกเขาปฏิเสธอีกฝ่ายก็จะเอาชีวิตพวกเขา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต่อสู้สุดชีวิตและอาจจะสังหารอีกฝ่ายได้เป็นจำนวนมากแต่ก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่

เพราะหากเป็นแบบนั้นจริงมันก็ยิ่งแย่กว่าการสูญเสียของชดเชยอย่างเทียบกันไม่ได้ ในเมื่อมีทางเลือกที่จะรอดชีวิต เขาก็ขอเลือกทางนั้นก่อน ในตอนนี้ขอแค่รักษาชีวิตไว้ได้ก็ถือเป็นเป็นวาสนาแล้ว

“วันนี้พวกเราทำผิดพลาด พวกเราต้องขออภัยทุกท่าน นี่คือแหวนมิติที่มีสมบัติล้ำค่าอยู่จำนวนมาก ข้ายินดีมอบมันให้เพื่อเป็นการใช้เชยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น”

กล่าวจบแหวนวงหนึ่งก็ปรากฏในมือหลงจื้อ ก่อนที่เขาจะโยนให้ฉินอวี้โม่ในทันที

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากแล้วรับแหวนวงนั้นไว้

เมื่อลองตรวจสอบดูอย่างคร่าว ๆ นางก็พบว่า ภายในแหวนวงนี้มีทั้งโอสถล้ำค่าที่มีเฉพาะในอาราม และยังมีตำราทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังหลายเล่ม ตลอดจนวัสดุในการใช้หลอมสิ่งต่าง ๆ ก็มีมากมาย ต้องกล่าวเลยว่านิกายหงส์มังกรเป็นขุมกำลังที่มั่งคั่งโดยแท้

“ในเมื่อพวกเจ้ารู้สึกผิดถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็แล้วกันไป”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นิสัยของนางเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ชีวิตก่อนแล้ว หากส่งของล้ำค่ามาให้ก็จะถือว่าแล้วกันไป แต่ถ้าไม่ยินยอมหรือยังกล้ามาท้าทายนางอีก สิ่งที่รออยู่ก็จะมีแต่ความตายเท่านั้น

“หลงจื้อกลับไปบอกจ้าวนิกายหงส์มังกรด้วยว่า สักวันหนึ่ง ข้าฉินอวี้โม่จะไปเยี่ยมเยือนเขาถึงที่ด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นพวกเราจะได้สะสางความแค้นที่มีต่อกันทั้งหมด”

สิ้นประโยคนั้นฉินอวี้โม่ก็หันไปมองสามพี่น้องแซ่เหยาจากวิฬารทมิฬและว่านเจียงจากนครหมื่นอสูร ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “พวกเจ้าก็ด้วย ถ้าหากว่าเราได้เจอกันอีกครั้ง ก็จงระวังชีวิตเอาไว้ !”

เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของฉินอวี้โม่ สีหน้าของเหยาปิงก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

ทว่าด้วยความรักตัวกลัวตายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ พวกเขาก็จำต้องอดกลั้นเอาไว้ ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา ฝ่ายที่พ่ายแพ้ทำเพียงแต่รีบหลบหนี ชั่วพริบตาร่างของพวกเขาทั้งหมดก็หายลับไปจากสายตาของฉินอวี้โม่

“อวี้โม่ ปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้จะดีหรือ ?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายถอยกลับไปจนหมด เยว่ชิงเฉิงก็เดินเข้ามาหยุดเคียงข้างแล้วกล่าวถามสหายด้วยความสงสัย

“เช่นนั้น เจ้าจะสู้ตายกับพวกเขาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบพลางส่งแหวนมิติให้สหายสนิท

“จุดประสงค์ของพวกเราบรรลุแล้ว ในวันนี้พวกเราได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ถ้าเจ้ายังดึงดันสังหารพวกนั้นทั้งหมด แม้ว่าเจ้าจะทำได้แต่ก็อาจจะมีคนต้องสละชีวิตจำนวนมาก คนเหล่านั้นหากมีทางเลือกให้รอดก็ขอเลือกจะรอดแต่ถ้าถูกต้อนจนจนมุมก็บ้าเลือดขึ้นมาง่าย ๆ แค่นี้เราเสียหายหนักแล้ว ความลับกายเทพมายาก็ไม่เป็นความลับอีกแล้ว พวกนั้นจะอยู่หรือตายสถานการณ์ภายภาคหน้าก็ล้วนไม่ต่างกัน อย่างนั้นมิสู้ปล่อยพวกเขาไปไม่ดีกว่าหรือ”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายด้วยวาจาเรียบนิ่งของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็พยักหน้าโดยไม่โต้แย้ง ขณะที่สหายคนอื่น ๆ เพราะได้รู้เห็นรวมถึงมีส่วนร่วมกับเรื่องราวในวันนี้ พวกเขาต่างก็ตั้งมั่นไว้ว่าจะกลับไปฝึกฝนอย่างหนักและหมายใจว่าจะต้องเก่งขึ้นให้จงได้โดยเร็วที่สุด

ขืนพวกเขายังอ่อนแออยู่เช่นนี้ อีกไม่นานก็คงไม่อาจต่อสู้เคียงข้างฉินอวี้โม่ได้อีก เพราะถ้าระดับพลังของพวกเขาและสหายตระกูลฉินห่างชั้นกันมาก การอยู่ใกล้นางก็อาจกลายเป็นตัวถ่วงให้สหายต้องแบกรับ

สถานการณ์ในตอนนี้เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงชีวิตพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็คงจะเลือกปลิดชีวิตศัตรูที่หมายเอาชีวิตนางอย่างหลงจื้อผู้นั้นและพวกพ้องไปแล้ว

“ข้าให้สัญญากับเจ้าเลยว่า สักวันหนึ่งข้าจะไปเยี่ยมเยือนขุมกำลังของพวกมันทั้งสามและเอาคืนอย่างสาสม”

ฉินอวี้โม่วางมือบนไหล่บางของเยว่ชิงเฉิงก่อนจะเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

เยว่ชิงเฉียงและคนอื่น ๆ พยักหน้า ทว่าทันใดนั้น ก็ดูคล้ายคุณหนูช่างหลอมจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อวี้โม่ นิกายหงส์มังกรเป็นขุมกำลังที่จับตัวท่านป้าไปมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าไม่เค้นถามเอาความจากพวกหลงจื้อเล่า ?”

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าพวกนั้นรู้ข่าวของท่านแม่ข้าจริง ไฉนเลยวันนี้เจ้าหลงจื้อนั่นจะยอมรับความพ่ายแพ้”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม นางไม่สนใจจะไถ่ถามเอาความเรื่องมารดากับคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย

เพราะถ้าหากนิกายของมังกรรู้ข่าวคราวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจริง มีหรือที่พวกเขาจะยอมถอยไปง่าย ๆ เช่นนั้น หากมีอยู่จริง ด้วยนิสัยเช่นนั้นพวกเขาก็จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อต่อรองไปแล้วเป็นแน่

ในตอนนี้เมื่อยังไม่มีข่าวความคืบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ทางเดียวที่นางทำได้ก็คือไปที่ดินแดนอ้างว้างเพื่อตามหาบิดาของนางก่อน ฉินอวี้โม่มั่นใจมากว่า ฉินเทียนจะต้องรู้ข่าวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างแน่นอน

เย่วชิงเฉิงรวมถึงสหายคนอื่นพยักหน้า พวกเขาเองจะเชื่อตามสหาย ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะทำสิ่งใดพวกเขาก็ยินดีให้การสนับสนุนเต็มที่

— ปัง ! —

ท่ามกลางความเงียบหลังสงครามจบลง เสียงจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างชัดเจน บัดนี้ศึกแห่งสายเลือด ระหว่างอวี๋จวินซานและอวี๋จวินเหยาก็ดูเหมือนว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว

อวี๋จวินเหยาอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขาเป็นจำนวนมาก ลมหายใจของเขาดูติดขัดและโรยรินเต็มที อาการที่เห็นในเวลานี้ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก

ผิดกับทางด้านอวี๋จวินซานที่ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะมีบาดแผลภายนอกให้เห็นนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีบาดแผลใดที่ร้ายแรง ที่สำคัญหารเคลื่อนไหวก็ยังคงเป็นปกติ นี่แสดงว่าเขาไม่มีอาการบาดเจ็บจากภายในด้วย

— พรวด ! —

อวี๋จวินเหยากระอักเลือดคำโตออกมาอีกครั้ง

“ท่านปู่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

อวี๋เฟิงรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นปู่ ก่อนจะกล่าวถามด้วยสีหน้าร้อนรน

“หึ ๆ ๆ พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรข้าก็ยังแพ้ท่านอยู่ดี”

อวี๋จวินเหยาจ้องมองอวี๋จวินซานก่อนจะเผยรอยยิ้มเยือกเย็น ภายในน้ำเสียงเสมือนมีความเสียใจเจือปนอยู่ครึ่งส่วน

ตัวเขาตั้งอวี๋จวินซานเป็นเป้าหมายมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็จะพ่ายแพ้ให้กับคนผู้นี้เสมอ รวมถึงวันนี้ วันที่เขาแข็งแกร่งและพรั่งพร้อมด้วยพลังอำนาจมากกว่าวันใด ๆ นี้ก็ด้วย

“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลย พวกเราเป็นพี่น้องกัน เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้ ข้าขอถามเจ้าสักข้อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงขั้นที่เจ้าคิดทำลายความเป็นพี่น้องระหว่างเราเลยหรือ ?”

อวี๋จวินซานมองอวี๋จวินเหยาพลางเอ่ยปากถามอย่างคับแค้น น้ำเสียงของเขาฟังดูปวดร้าวอย่างไม่อาจปกปิด

เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมอุทรมารดา เมื่อครั้งยังเยาว์วัยทั้งสองก็เคยสนิทสนมกลมเกลียวและรักใคร่กันมาก จ้าวนครเมฆาไม่คิดเลยว่าเหตุใดสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขาและน้องชายถึงได้มีจุดจบเช่นนี้

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ท่านก็ยังไม่ฉลาดเหมือนเดิมเลยนะ พี่ชายของข้า”

อวี๋จวินเหยาค่อย ๆ ประคองกายลุกขึ้นยืน ดวงตาทั้งสองจับจ้องอวี๋จวินซานไม่วางตาพลางเอ่ยวาจาเย้ยหยัน

“ท่านพ่อรักและเอ็นดูข้า พรสวรรค์ของข้าไม่เคยด้อยกว่าท่าน ไม่ว่าจะด้านความเป็นผู้นำ ความฉลาด ความสามารถในการบริหารดูแลบ้านเมืองข้าก็ไม่น้อยหน้า หรือบางทีอาจจะเหนือกว่าท่านเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นตำแหน่งจ้าวนครเมฆาก็ควรจะเป็นของข้าใช่หรือไม่ ! แต่แล้วเหตุใด ท่านที่เพียงแค่อายุมากกว่า ท่านที่แค่เกิดก่อนถึงได้ทุกสิ่งไปครอบครอง ไม่ใช่ข้า !”

อวี๋จวินเหยาตะโกนด้วยความรู้สึกแสนอัดอั้น อาจเป็นเพราะความยึดติดและลุ่มหลงในอำนาจจนเกิดเป็นความริษยา ไม่ว่าอวี๋จวินซานจะปฏิบัติกับเขาดีเช่นไรก็ไม่เคยลบความรู้สึกเช่นนี้ออกจากใจเขาได้เลย ไม่เคยทำให้มันลดน้อยลงสักนิดด้วยซ้ำ

อวี๋จวินซานนิ่งอึ้งไป เขารู้ดีว่าอวี๋จวินเหยาต้องการจะกล่าวสิ่งใด

ในตอนนั้นเอง เป็นเหวินเปียวที่กล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ฮ่า ๆ ๆ น่าขำ น้องสาม พรสวรรค์ของเจ้าน่ะหรือไม่ด้อยกว่าพี่ใหญ่ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ?”

เหวินเปียวมองอวี๋จวินเหยาพลางส่ายศีรษะอย่างแสนระอาแล้วกล่าวต่อ “เจ้าไม่รู้หรือว่า ที่ผ่านมาพี่ใหญ่ยับยั้งระดับพลังของตัวเองมาโดยตลอด เขาไม่เคยยอมเปิดเผยให้ใครรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง ส่วนในเรื่องความสามารถของการบริหารดูแลบ้านเมืองที่เจ้าว่า ก็ไม่ใช่จะมีความฉลาดอย่างเดียวแล้วจะสำเร็จได้ การดูแลราษฎรต้องใช้ความจริงใจ ความซื่อสัตย์และความอดทน ซึ่งเหล่านี้ไม่มีในตัวเจ้าแม้แต่ข้อเดียว น้องสามเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าตัวเจ้ามันไร้คุณสมบัติ !”

เหวินเปียวหยุดเพื่อพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ท่านพ่อเห็นความสุขุม ความเห็นอกเห็นใจที่พี่ใหญ่มีจึงมอบตำแหน่งจ้าวนครให้เขา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้อาวุโสกี่ตระกูลที่ต้องการมาแทนที่ตระกูลเรา หากเจ้าขึ้นเป็นจ้าวนคร ข้าไม่อยากคิดว่าเจ้าจะรักษาตำแหน่งยิ่งใหญ่เอาไว้จนถึงตอนนี้ได้หรือไม่ !”

เหวินเปียวยิ้มเย้ยหยัน ผู้อาวุโสสองกำลังโกรธ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา ขณะที่จ้องเข้าไปในดวงตาที่กำลังสับสนของน้องชาย

ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าอวี๋จวินเหยากำลังคิดสิ่งใดอยู่

.