ตอนที่ 239 อย่ามาเล่นผิดคน

นางต้องพูดแก้ตัวอย่างงั้นเหรอ?

ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาอย่างเย็นยะเยือก ก่อนวางถ้วยยาที่ต้มเอาไว้บนมือเฉียวหน่วนอวี้พร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่ไว้วางใจและเชื่อใจข้าน้อยผู้นี้ ท่านโปรดนำยาไปให้ฮูหยินเฉียวดื่มในขณะที่มันยังร้อนอยู่จะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะไปเปิดประตูห้องของข้าเพื่อให้ทุกคนคลายข้อสงสัยในตัวข้า”

เฉียวหน่วนอวี้คิดว่าซูหวานหว่านคงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่า! เพราะนางมั่นใจยิ่งว่าซูหวานหว่านคงยังไม่ได้ย้ายของออกไปไหน นางเหลือบไปมองกลุ่มคนใช้ และเมื่อได้รับสัญญาณของคนใช้ นางก็รีบออกไปทันที จากนั้นคนใช้คนหนึ่งก็พูดออกมาว่า “แม่นางซู เจ้าอยากจะเปิดประตูจริง ๆ งั้นหรือ แต่ว่าวันนี้เจ้าบอกให้ข้าเป็นคนปิดประตูให้เจ้าไม่ใช่รึ และดูเหมือนข้าจะเหลือบเห็นอะไรบางอย่างข้างในที่มันส่องแสงออกมา ถ้าเจ้าถูกจับได้ข้าจะทำอย่างไร! ข้าเป็นคนดูแลเจ้า ในอนาคตต่อไปคนใช้คนไหนจะนับถือและกลัวเกรงข้าอีก!”

คำพูดนี้ดูเหมือนมันจะสื่ออะไรบางอย่างออกมา! มันหมายถึงว่านางเป็นคนทำเรื่องแบบนั้นจริง ๆ! ซูหวานหว่านไม่ได้พูดอะไร เพราะว่านางรู้อยู่แล้วว่าเฉียวหน่วนอวี้ต้องการใส่ร้ายป้ายสีนาง และนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายออกมาทำไม ขณะที่คนรับใช้ทั้งหมดต่างก็พากันหัวเราะเยาะออกมาราวกับมั่นใจมากว่าซูหวานหว่านเป็นคนขโมยของ!

“พวกเจ้าหุบปากได้แล้ว! แม่นางซูเป็นผู้มีบุญคุณต่อตระกูลเฉียวมาก รีบไปเปิดประตูจะได้รู้กันไปเลยว่านางบริสุทธิ์!” เฉียวหน่วนอวี้เดินกลับไปยืนอยู่ข้าง ๆ ฮูหยินเฉียวอีกครั้งแล้วพูดออกมา “ท่านแม่ ถ้าแม่นางซูทำเรื่องอย่างนั้นจริง ๆ พวกเราต้องให้อภัยนาง เพราะว่านางยากจนมาก และเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่มันก็ไม่ได้ต่างไปกับคนใช้ในบ้านของเราเลย! ลูกคิดว่าถึงจะค้นเจอพวกเราควรจะให้นางสักหนึ่งพันตำลึง”

หลังจากได้ยินแบบนี้ ทุกคนต่างก็พากันพูดยกย่องออกมาว่า “คุณหนูใหญ่ช่างเป็นคนจิตใจดีจริง ๆ! ซูหวานหว่านก็ยังได้รับการอภัยเหมือนสวรรค์มาโปรด!”

“ใช่แล้ว! หากข้าเป็นซูหวานหว่าน ข้าจะขอบคุณคุณหนูใหญ่อย่างมาก!”

“…”

“เหอะ!” ซูหวานหว่านส่งเสียงออกมาอย่างอดไม่ได้ เฉียวหน่วนอวี้ทำตัวเป็นคุณหนูผู้แสนดีได้แนบเนียนเสียจริง ๆ! หลังจากที่บอกว่าตัวเองเชื่อใจในตัวนาง ทั้งยังพูดออกมาว่าถ้านางทำเรื่องแบบนั้นจริง ๆ ก็จะให้อภัยนาง เสแสร้งแกล้งทำและทำให้ทุกคนสงสัยในตัวนาง!

แม้แต่ฮูหยินเฉียวก็พูดขึ้นมาว่า “หากเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หลังจากกินยานี้แล้ว ข้าก็จะไล่นางออก หากนางเป็นคนแบบนั้นก็คงเป็นหมอที่ไร้คุณธรรมเช่นกัน”

น่าขำนัก! นางนั้นปฏิบัติต่อฮูหยินเฉียวอย่างจริงใจ และจะต้องตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมาต้มยาให้นางกิน แต่ฮูหยินเฉียวกลับไม่ไว้ใจนางเสียอย่างนั้น! ซูหวานหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา แววตาของนางเปลี่ยนไปไม่เป็นแบบเดิม หญิงสาวหันไปสบตาฮูหยินเฉียวและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ขอบคุณท่านทั้งสองสำหรับความไว้วางใจ”

หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็ได้ให้คนใช้คนนั้นเปิดประตู พวกเขารีบเข้าไปดูด้านในแต่ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

มีเพียงปิ่นปักผมที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่ซูหวานหว่านปักเอาไว้บนศีรษะเมื่อไม่กี่วันก่อน คนใช้ต่างก็ช่วยกันค้นภายในห้อง ทั้งพลิกเตียง ค้นตู้ แต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใด

เฉียวหน่วนอวี้ยังคงถือถาดที่มียาต้มเอาไว้อยู่ในมือ นางรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ของที่นางได้มอบให้กับซูหวานหวานไปเมื่อคืน คือเครื่องประดับทั้งหมดของนางที่ได้เก็บสะสมเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา!

“อ๊ะ!” หลังจากที่เกือบทำยาหก นางก็ได้ส่งถาดยาไปให้คนใช้ไปถือเอาไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง เริ่มหาของด้วยตัวเอง “ค้นหาให้มันละเอียดกันหน่อย! หากหาไม่เจอก็อย่าพูดว่าแม่นางซูเป็นคนขโมยของไป เช่นนั้นจะทำให้นางอึดอัดใจได้!”

“ข้ารู้สึกอึดอัดใจมานานแล้ว” ซูหวานหว่านมองไปที่เฉียวหน่วนอวี้ด้วยสายตาอย่างเฉยเมย จากนั้นก็หันไปสบตากับฮูหยินเฉียวแล้วพูดว่า “ตระกูลเฉียวของพวกท่านมันมีแต่เรื่องไม่เว้นวัน ข้ามาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แม้ว่าพวกท่านจะไม่รู้สึกรำคาญใจกับเรื่องเหล่านี้ แต่ข้ารู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก! พรุ่งนี้ข้าจะออกไปพักที่โรงเตี๊ยม ข้าจะจดสูตรยาเอาไว้ให้ พวกเจ้าก็ต้มยาให้กับฮูหยินของพวกเจ้าเองแล้วกัน หากโดนยาพิษก็อย่ามาหาข้ากับอาจารย์ให้ช่วย”

หลังจากพูดแบบนั้นออกมา ซูหวานหว่านก็หยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกจากข้อมือของนาง โยนลงไปบนพื้นจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อของตัวเองแล้วเดินจากไปทันที

“แม่นางซู…” ฮูหยินเฉียวเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวออกมา ทว่าซูหวานหว่านก็ไม่ได้หยุดเดินแต่อย่างใด

เฉียวหน่วนอวี้เดินเข้าไปขวางทางฮูหยินเฉียวเอาไว้ทันที พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความเศร้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ หากแม่นางซูอยากจะไปก็ปล่อยนางไปเถิด นางคงโมโหอยู่ ท่านตามไปก็คงเสียเวลาเปล่า ๆ นางคงไม่ต้องการดูแลท่านแล้ว ลูกคนนี้จะดูแลท่านเองถึงจะถูก!”

“แต่ว่า…” ฮูหยินเฉียวรู้สึกไม่สบายใจ ใบหน้าของเฉียวหน่วนอวี้แสดงถึงความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง พลันน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของนางพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้ากำลังจะแต่งงานแล้ว วันนี้แม่นมก็มาตรวจสอบร่างกายข้าแล้ว อีกทั้งเรื่องข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ภายนอก ท่านเกลียดข้าเพราะข่าวลือเหล่านั้นหรือเปล่า หรือว่าท่านพ่อกับท่านแม่นั้นจะมีน้องชายอีกคนเพื่อมาทำร้ายจิตใจของข้ากัน?”

หลังจากพูดแบบนั้นออกมาหัวใจของฮูหยินเฉียวก็อ่อนยวบลงทันที “เด็กดี! เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ! แม่รักเจ้าอยู่แล้ว!”

ซูหวานหว่านที่กำลังเดินออกไปนั้นได้ยินคำพูดนั้นทั้งหมด และรู้สึกว่ามันช่างน่าตลกสิ้นดี หลังจากเดินออกมาจากบ้านของตระกูลเฉียว นางก็เดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างไร้จุดหมาย บนถนนเต็มไปผู้คนมากมาย จู่ ๆ ซูหวานหว่านก็เห็นร้านบะหมี่ จึงคิดจะเข้าไปนั่งกิน ทันทีที่นางกำลังเดินข้ามถนนไป นางก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนร้องตะโกนออกมาว่า “เหล่าสตรีทั้งหลายรีบไปซ่อนตัวเร็ว! ท่านเย่เสี่ยวโหวกำลังมาที่นี่!”

ในขณะที่บนถนนเต็มไปด้วยความโกลาหล และสตรีหลายนางก็รีบวิ่งเข้าไปหลบที่ร้านอาหาร ร้านผ้า และสถานที่อื่น ๆ ที่ใกล้ที่สุดเพื่อซ่อนตัว แต่ซูหวานหว่านกลับยืนเฉยนึกสงสัยว่าเย่เสี่ยวโหวผู้นี้เป็นใคร เขาก็คงจะเป็นคนที่ชั่วร้ายมากจนทำให้ผู้หญิงหลายคนนั้นถึงกับต้องไปหลบซ่อนตัว!

ซูหวานหว่านไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร แต่เมื่อก้มมองสำรวจตัวเองก็พบว่านางก็สวมชุดสตรีอยู่ หญิงสาวจึงรู้สึกว่านางจะต้องไปหลบซ่อน แต่แล้วกลับถูกผู้ชายคนหนึ่งจับมือเอาไว้ ถ้าคนนั้นเป็นฉีเฉิงเฟิงหรือว่าเป่ยชวนเฟิงหลิวนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนบุรุษธรรมดา ซึ่งไม่มีพิษภัยอะไร แต่กับผู้ชายคนนี้ซูหวานหว่านกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ “ปล่อยมือ!”

“เจ้าเป็นหญิงสาวคนแรกที่กล้าพูดจาแบบนี้กับข้า! ข้าคนนี้จะเอาเจ้าไปเป็นอนุคนที่ยี่สิบของข้า!” ชายคนนั้นกลืนน้ำลายของตัวเอง แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าดูไม่ได้โดดเด่นอะไร อีกทั้งยังดูธรรมดา แต่ไม่เป็นไรข้าก็อยากจะลองเปลี่ยนแนวดูบ้าง”

เหตุใดชายผู้ถึงหลงตัวเองแบบนี้ ซูหวานหว่านก็มองไปที่ผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “จะไม่ปล่อยมือข้าใช่หรือไม่?”

“ข้าไม่ปล่อยเจ้าจะทำอะไรข้าได้?” ชายคนก็พูดพร้อมกับยิ้มออกมา และยกมืออีกข้างแตะไปที่ใบหน้าของซูหวานหว่าน

ซูหวานหว่านมองไปที่ชายคนนั้นอย่างเย็นชา พร้อมกับยกเท้าขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวส่วนกลางลำตัวของเขาก็รู้สึกเจ็บปวด และชายคนนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา “อ๊ากก! เจ็บ!”

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงตกใจ “แม่นางผู้นี้ช่างกล้าหาญจริง ๆ! นางคงไม่รู้จักชื่อเสียงของเย่เสี่ยวโหวสินะ ถึงได้กล้าลงมือแบบนี้!”

“คงจะจริง! หากนางยังไม่รับหนีไปตอนนี้! อาจจะโดนถูกจับตัวไปได้นะ!”

“…”

นี่คือเย่เสี่ยวโหวงั้นหรือ? ซูหวานหว่านมองหน้าชายผู้นั้นทันที พร้อมกับหยิบใบสั่งยาออกมาและโยนไปให้อีกฝ่าย “ดูเหมือนว่าเย่เสี่ยวโหวจะรู้สึกไม่สบาย ควรจะกินยารักษานะ! ถือว่านี่เป็นของที่มอบให้เจ้า! เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ!”

ทันทีที่พูดจบ ซูหวานหว่านก็เดินจากไป

เย่เสี่ยวโหว หรือ เย่หลิงเฉินกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “นี่เจ้าไม่เคารพข้าแม้แต่น้อยเลยอย่างงั้นรึ! ยังจะคิดหนีไปอีก? ฮึ่ม! ใครก็ได้ไปจับตัวนางมาให้ข้าที!”

ทันทีที่พูดจบก็มีกลุ่มองษ์รักษ์ในชุดเกราะเดินออกมาล้อมตัวซูหวานหว่านเอาไว้!

เย่หลิงเฉินก็ใช้มือกุมกลางลำตัวที่เจ็บปวดของตัวเอง และยิ้มออกมาอย่างพอใจพลางมองไปที่ซูหวานหว่านทันที “เจ้าไม่เคารพข้า ข้าจะให้พวกเขาฆ่าเจ้าบนถนนนี้เพื่อเตือนใจให้กับคนอื่น!”