ตอนที่1343 โอสถบ่มเพาะปราณ

 

แม้ว่าเขาจะพอคาดเดามาได้นานแล้ว แต่หอมหาสมบัติที่ตกต่ำถึงขั้นนี้กลับเกินความคาดหมายของเย่หยวนไม่น้อย

หอมหาสมบัติเป็นถึงธุรกิจหลักของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ แต่ระบบการบริหารกลับน่าสังเวชโดยแท้

 

“เช่นนั้นพวกเราก็รั้นแต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว?”

เย่หยวนกล่าวขึ้น

 

หงหยินพยักหน้าอย่างช่วยมิได้และกล่าวว่า

“คงต้องเป็นเช่นนั้น! แต่…พวกมันมีจอมเทพโอสถสองดาวอยู่ เราไม่มีทางเอาชนะในศึกครานี้ได้เลย!”

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“จอมเทพโอสถสองดาว ฟังดูน่าสนใจดีหนิ แต่ภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองได้บ้าง? จะขายได้กี่เม็ดเชียว?”

 

หงหยินกล่าวตอบ

“เพราะแบบนั้นพวกตระกูลหวังจึงให้จอมเทพโอสถสองดาวหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง แถมประสิทธิภาพยังสูงมาก พวกมันหวังบีบเราให้ตายคามือจริงๆในคราวนี้!”

 

เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า

“อืม…โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางงั้นรึ ดูท่าจะมีปัญหาไม่น้อยจริงๆ ดูท่าข้าจำต้องเลื่อนระดับในเร็ววันเสีย”

 

หงหยินงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น พลันไม่แน่ใจว่านั้นหมายความอย่างไร

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพบกับท่านประมุขหอก่อน โอ้ใช่แล้ว แม่นางหวานหรูสบายดีหรือไม่?”

 

เมื่อฟังว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงเหลียงหวางหรู หงหยินพลันคลี่ยิ้มหวานและกล่าวว่า

“ไม่สบายไปกว่านี้อีกแล้ว! พรสวรรค์ในเส้นทางแห่งการต่อสู้ของนางช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก! ในปัจจุบัน นางแกร่งกล้ากว่าข้าไปหลายขุมแล้ว!”

 

เย่หยวนเลิกคิ้วกระตุกและกล่าวถามว่า

“นางพัฒนาไวขนาดนั้นเชียว?”

เหลียงหวางหรูทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทว่าหงหยินกลับติดอยู่ที่อาณาจักรพระเจ้าไม่ขยับไปไหนนานมากแล้ว

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหลียงหวางหรูสามารถแซงหน้าหงหยินจนทิ้งทวนไม่เห็นฝุ่น นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อของนาง

 

สีหน้าการแสดงออกของหงหยินพลันแปรผันดูเศร้าสร้อย กล่าวเสียงละห้อยขึ้นว่า

“ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้ข้ากลับมิใช่คู่มือของนางอีกต่อไป! ข้าสามารถบอกได้เลยว่า เพราะนายท่านเย่ช่วยชีวิตนางในวันที่นางไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นตอนนี้หวังหรูกลับเฝ้าคิดถึงท่านไม่เว้นวัน นางหลงท่านหัวปักหัวปำ! สงสัยท่านจะดูแลนางดีเกินไปกระมัง?”

 

เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนส่ายหัวอานกล่าวว่า

“อย่ากล่าวเรื่องเช่นนั้นเลย หัวในของเย่คนนี้กลับมีเจ้าของแล้ว ที่ข้าช่วยแม่นางหวางหรูในตอนนั้นเพราะนางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ หาได้ช่วยเหลือเพื่อหวังความสัมพันธ์ดั่งหนุ่มสาว”

เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ผสานมือคำนับและจากไปทันที ทิ้งทวนหงหยินที่ทอดสายตามองพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น

 

เย่หยวนรู้สึกปวดเศียรไม่น้อยในยามนี้ เขาเพียงต้องการตอบแทนบุญคุณชีวิตที่เหลียงหวางหรูเคยช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ใครจะไปคิดว่ากลับเป็นการทิ้งหนี้รักสลักใจนางแบบนี้

เหลียงหวางหรูคือผู้ช่วยชีวิตของเขาในวันนั้น แล้วเป็นไปได้หรือไหมที่จะให้เย่หยวนงอแขนงอขาเฝ้ามองนางตายไปเฉยๆ?

 

ตอนนี้เขามีทั้งลี่เอ๋อทั้งมู่หลินเสวียแล้ว เย่หยวนไม่สามารถรับรักใครได้อีก

 

 

“ดูท่าในอนาคตต่อไป เขาอาจต้องสนทนาติดต่อกับแม่นางหวางหรูให้น้อยลง มิเช่นนั้นนางคงจมดิ่งไปกับความรู้สึกลงลึกไปกว่านี้แน่”

เย่หยวนพึมพำกับตัวเองพลางนวดขมับเบาๆ

 

 

……………………….

 

 

เมื่อหยางรุยเห็นเย่หยวนเดินเข้ามา ดั่งว่าเขาได้เห็นแสงแห่งความหวังอีกครั้ง!

 

“ขอบคุณสวรรค์! น้องเล็กเย่ หากเจ้ายังไม่ออกมา เกรงว่าหอมหาสมบัติต้องปิดตัวลงแล้ว!”

หยางรุยดึงเย่หยวนเข้ามากล่าวโดยไว

ภายใต้สถานการณ์มืดแปดด้านเช่นนี้  เย่หยวนคือความหวังเดียวที่เขาเหลืออยู่แล้ว

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ท่านประมุขหอไม่จำต้องกังวลไป ข้ารู้เรื่องทุกอย่างจากหงหยินหมดแล้ว”

 

หยางรุยจับจ้องเจือสายตาประหลาดใจ แต่ในไม่ช้าพลันมีข้อสงสัยหนึ่งผุดขึ้นมา จึงอดเอ่ยปากถามมิได้ว่า

“เจ้ามีทางหนีทีไล่อยู่? แต่…ดูท่าหนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะเลื่อนขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางได้?”

การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง จำเป็นต้องมีขุมพลังอยู่ที่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางเสียให้ได้ก่อนเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างอาณาจักรพระเจ้ากลับมีมากเกินไป การจะข้ามขั้นเพื่อหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่มีทางเป็นไปได้เลย

หลังจากที่เย่หยวนเริ่มบ่มเพาะพลังด้วยบัญญัติเทพแห่งถงเทียน อาณาจักรพลังของเขากลับมิได้เพิ่มขึ้นเลย แถมยังลดลงอีก และยังดูแย่กว่าตอนก่อนเข้าเก็บตัวเล็กน้อย

ดังนั้นหยางรุยจึงอดสงสัยในคำกล่าวของเย่หยวนมิได้เลย

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ท่านประมุขหอโปรดเชื่อใจข้า ท่านเพียงป่าวประกาศออกไปว่า ทางหอหาสมบัติของเรากำลังจะเปิดตัวโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชนิดใหม่ขึ้น โดยประสิทธิภาพของโอสถชนิดนี้เหนือกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่าทวี แต่ราคายังคงเท่าเดิม! นอกจากนี้โอสถชนิดใหม่ที่เปิดตัวยังมีวางจำหน่ายทุกแบบ ตั้งแต่ขั้นต่ำจนไปถึงขั้นเทวะ!”

ทุกคำพูดที่เย่หยวนเอ่ยกล่าว ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่หยางรุยเป็นอย่างมาก

โอสถเสริมปราณเป็นโอสถที่นิยมในหมู่เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางที่ใช้ในการบ่มเพาะพลัง ประสิทธิภาพของโอสถชนิดนี้สูงยิ่งกว่าโอสถปราณเทวะหลายขุม

เมื่อก้าวขึ้นถึงอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง โอสถปราณเทวะแทบจะไม่มีผลอันใดอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหันมาเลือกซื้อโอสถเสริมปราณแทน

เส้นทางการบ่มพลังที่ไร้ซึ่งความช่วยเหลือจากโอสถ กลับยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์

ดังนั้นหากพวกเขามีเงินทอง ย่อมจับจ่ายซื้อโอสถระดับสูงมาใช้ทั้งสิ้น

 

หากกล่าวถึงในแง่ของประสิทธิภาพโอสถอย่างเดียว ประสิทธิภาพของโอสถปราณเทวะขั้นเทวะจะเทียบเท่ากับโอสถเสริมปราณขั้นสูง

อย่างไรก็ตามแต่ หากพินิจวิเคราะห์จากแง่มุมอื่นเป็นองค์ประกอบ โอสถปราณเทวะขั้นเทวะมีราคาแพงกว่ามาก แต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือ โอสะขั้นเทวะสามารถกินได้อย่างไร้ขีดกำจัด ไม่จำเป็นต้องมากังวลถึงผลข้างเคียงเลย

สำหรับนักสู้โดยส่วนใหญ่ ถึงจะกินโอสถปราณเทวะขั้นเทวะได้อย่างไรจำกัด แต่กลับช่วยได้ไม่มาก

และที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยราคาค่าตัวของมัน พวกเขาไม่สามารถซื้อกินได้ในระยะยาว

เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า นั้นคือเหตุผลที่โอสถปราณเทวะขั้นเทวะขายดีในช่วงแรก

 

แต่หลังจากที่หวังซวนเฟยมาถึงตระกูลหวัง เขาก็เข็นโอสถเสริมปราณขั้นสวรรค์ออกมาจำหน่ายทันที แน่นอนว่าสินค้าตัวนี้ย่อมได้รับความนิยมเป็นธรรมชาติ

เพราะนักหลอมโอสถของเมืองกุยฉาง ได้แต่หวังพึ่งโชคลาภกว่าจะหลอมกลั่นโอสถขั้นสวรรค์ได้สักเม็ด

 

อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนในยามนี้กลับบอกว่า เขากำลังจะเปิดตัวโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชนิดใหม่ขึ้นมา ได้ฟังดังนั้นพลันทำเอาหยางรุยขากรรไกรแทบร่วงกระแทกพื้น

 

“นะ-น้องเล็กเย่ เจ้า…เจ้ามิได้หยอกข้าเล่นใช่ไหม? ปะ-ประสิทธิภาพเหนือกว่าโอสถเสริมปราณสองเท่า? ไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินโอสถชนิดนี้มาก่อน?”

 

หยางรุยพลางคิดว่าเย่หยวนคงหยอกเขาเป็นแน่

แม้แต่ในเมืองหลวงหวูเมิ่ง โอสถที่ใช้บ่มเพาะพลังของเหล่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลางยังเป็นโอสถเสริมปราณ

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า บนมหาพิภพแห่งนี้จะมีโอสถชนิดใดที่ทรงประสิทธิภาพกว่าโอสถเสริมปราณถึงสองเท่า!

นอกจากนี้ราคายังเท่ากับโอสถเสริมปราณอีกด้วย!

 

นี่มันเพ้อฝันเกินไปจริงๆ

 

เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“ถือเป็นปกติมากที่ท่านประมุขหอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน โอสถศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้เรียกว่า โอสถบ่มเพาะปราณ เย่คนนี้เคยอ่านเจอในบันทึกโบราณเล่มหนึ่ง มันคือโอสถศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล แต่หากท่านประมุขหอยังรู้สึกกังขาใจในตัวเย่คนนี้ นอจนกว่าเย่คนนี้จะหลอมกลั่นเสร็จ แล้วค่อยป่าวประกาศอีกทีหนึ่งก็ยังไม่สาย”

เย่หยวนกำลังกล่าวขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่หยางรุยโดยธรมรชาติ ทั้งนี้ความหวังสุดท้ายที่จะช่วยกู้คืนชื่อเสียงของหอมหาสมบัติให้กลับคืนมาก็คือ โอสถบ่มเพาะปราณ

ซึ่งฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ในตอนท้ายก็มิใช่ใดอื่นนอกจาก หอมหาสมบัติ

 

หากเปิดตัวหลังจากหลอมกลั่นเสร็จสิ้น แน่นอนว่าช่วงเวลาก่อนหน้าล้วนล่วงเลยเสียเปล่า

 

แท้ที่จริงแล้ว โอสถบ่มเพาะพลังนี้ มิใช่สิ่งที่เย่หยวนบังเอิญไปอ่านเจอในบันทึกเล่มใด ทั้งยังมิใช่สูตรโอสถที่หวูเฉินถ่ายทอดให้อีกด้วย

แต่โอสถบ่มเพาะปราณชนิดนี้ คือสูจรโอสถที่เย่หยวนคิดค้นขึ้นมาเอง!

 

เย่หยวนไม่เคยยึดติดกับสูตรโอสถเหมือนคนอื่นๆมากนัก ระหว่างการฝึกปรือและขัดเกลาศาสตร์แห่งโอสถ เขาเองก็ได้ทำการทดลองนู้นนี่ไปเรื่อย

สำหรับนักหลอมโอสถคนอื่นๆ สูตรโอสถเป็นดั่งเส้นทางที่ต้องเดินตามอย่างเคร่งครัด

แต่ในสายตาของเย่หยวน สูตรโอสถเปรียบเสมือนแผนที่ เขาจะไปเดินสำรวจที่ไหนก็ได้ในเมื่อมีเส้นทางอยู่ในมือ

 

มิเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางคิดค้นโอสถท้าทายสวรรค์ออกมาได้เช่นกัน

ในตอนที่อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์ เย่หยวนเคยคิดค้นสูตรโอสถมาแล้วมากมาย

 

ตอนนี้เย่หยวนเข้าถึงเต๋าได้โดยใช้ศาสตร์แห่งโอสถเป็นตัวเชื่อมต่อ ย่อมเป็นธรรมดาที่บัญญัติเทพแห่งถงเทียนย่อมมีเต๋าแห่งโอสถอันลึกซึ้งกอปรอยู่ด้วย

ผนวกรวมกับความเข้าใจของเย่หยวนต่อคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นับหลายพันชนิด ผลลัพธ์ที่ได้คือสูตรโอสถศักดิ์สิทธิ์มากมายเป็นกองพะเนิน

และโอสถบ่มเพาะปราณก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

หยางรุยสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล เขารับกล่าวขึ้นว่า

“น้องชายเข้าใจผิดแล้ว! ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น! เพียงคำกล่าวของน้องชายกลับน่าตื่นตะลึงเกินไป พี่หยางคนนี้จึงตกใจไปชั่วขณะ”

 

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“ท่านประมุขหอไม่จำเป็นต้องสุภาพ ที่ข้า,เย่หยวนมีวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะหอมหาสมบัติ หากข้าไม่แสดงความกตัญญูเป็นการตอบแทน เกรงว่าเย่คนนี้ก็ไม่ใช่คนแล้ว!”