บทที่ 1032 เสี้ยววินาทีที่เปิดซิป ประตูสู่โลกใบใหม่ก็ได้เปิดออกแล้ว

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

…ใกล้พลบค่ำ หลิงม่อได้สติบนอาคารสองชั้นเล็กๆ แห่งนั้น

ทันทีที่ลืมตา เขาก็เห็นซอมบี้สาวสามตัวกำลังจ้องมาที่ตัวเองตาไม่กระพริบ…

เย่เลี่ยนคลี่ยิ้มก่อนเป็นคนแรก พูดขึ้นอย่างสะลึมสะลือเล็กน้อย “พี่…ตื่นแล้วหรอ?”

ซย่าน่ายื่นมือออกไปตรงหน้าหลิงม่อแล้วโบกสองสามที ถามว่า “พี่หลิง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หลิงม่อจ้องพวกเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว้าข้อมือซย่าน่า “ไม่เป็นไร…” เขาอาศัยแรงดึงจากข้อมือซย่าน่าพยุงร่างกายท่อนบนขึ้น สะบัดศีรษะที่รู้สึกปวดหนึบไปมา “ก็แค่…ยังรู้สึกปวดหนึบ”

“ปวดหนึบ?” หลี่ย่าหลินอึ้ง จากนั้นก็รีบโบกมือไปมาอย่างร้อนตัว “เรื่องนั้น…ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ! พวกเธอ…ยังมีซือหรานกับเฮญซือด้วย พวกเธอเป็นคนทำ ดังนั้น…อื้อ!”

เธอเพิ่งพูดได้ครึ่งเดียว ซย่าน่าก็พุ่งเข้าไปปิดปากเธอ…

“อะไร พวกเธอทำอะไร…”

หลิงม่อพูดอย่างสะลึมสะลือ พลางลุกขึ้นยืนโดยมีเย่เลี่ยนช่วยประคอง

พรึ่บ!

เมื่อกางเกงหลุดลงไป หลิงม่อพลันรู้สึกราวกับลมเย็นกำลังโชยเข้ามาจากหน้าต่าง เขาตื่นเต็มตาทันที…

“พวกเธอฉวยโอกาสทำอะไรตอนที่คนอื่นเขาหมดสติกัน หา! เดี๋ยวก่อน…ตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ทำไมถึงได้เอาซอสมะเขือเทศมาทา! ใคร? ฝีมือใคร?!”

ซย่าน่ากระพริบตาปริบๆ ค่อยๆ ปล่อยหลี่ย่าหลินออก พูดเสียงแผ่วเบา “ซือหราน…”

“ทำไมยัยเปี๊ยกนั่นถึงได้เอากับเขาด้วยล่ะ! ไม่รู้หรอว่านี่เป็นโลกของผู้ใหญ่น่ะ? ตอนที่เธอเปิดซิปฉันก็เท่ากับเปิดประตูสู่โลกใบใหม่แล้วนะ!” พูดจบ หลิงม่อหอบหายใจเตรียมตวาดด่าต่อ แต่กลับชะงักไปทันที พลันเปลี่ยนเรื่องถามว่า “เฮยซือกลับมาแล้วหรอ?”

“อืม…เสี่ยวป๋ายก็…” เย่เลี่ยนตอบได้ประโยคเดียว สายตากลับเหลือบมองท่อนล่างของหลิงม่ออย่างไม่รู้ตัว…

“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” หลิงม่อรีบใช้มือเช็ดถูลวกๆ จากนั้นก็ดึงกางเกงขึ้น ถามว่า “คนอื่นๆ ล่ะ? อีกอย่าง…ฉันหมดสติไปนานเท่าไหร่แล้ว?”

“เฮยซือกับซือหรานไปที่บริษัทลอว์สันแล้ว เจ้าลิงผอมยังอยู่ห้องข้างๆ เขาบาดเจ็บไม่เบาเลย ตอนนี้ยังไม่ฟื้น ถ้าจะถามอะไรเขาคงต้องรออีกซักช่วงหนึ่งก่อน ส่วนเสี่ยวป๋าย มันน่าจะเฝ้ายามอยู่แถวๆ นี้ล่ะมั้ง…” พูดถึงตรงนี้ ซย่าน่าก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ บอกว่า “พี่หมดสติไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว…”

“สองชั่วโมง?” หลิงม่อเบิกตากว้าง

“ใช่…แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ร่างแม่ตัวนั้นถูกพี่ฆ่าตายไปแล้ว ในบริษัทลอว์สันก็เหลือแต่พวกแมลงไร้ประโยชน์ พวกอวี่เหวินซวนพกอาวุธปืน แล้วยังมีเฮยซือกับอวี๋ซือหราน รวมถึงผู้ประกาศข่าวสวี่คอยช่วยอยู่อีก ไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนตำแหน่งของโกดัง รุ่นพี่ได้บอกพวกเขาแทนพี่ไปแล้ว วางใจเถอะ พวกเขาต้องจัดการได้ดีแน่นอน เรื่องพวกนี้ พี่ควรมอบหมายให้พวกเขาไปทำ…” ซย่าน่าอธิบาย พลางจ้องการกระทำของหลิงม่ออย่างสงสัย เขากำลังควานหาของในกระเป๋าเป้อย่างร้อนใจ สีหน้าดูผิดปกติ

“ใช่สิ ยังมีหุ่นซอมบี้ตัวนั้นของพี่อีก…เฮยซือดมกลิ่นจนหาตัวเจอแล้ว และก็ได้ไวรัสนางพญามาสองก้อน…น่าจะนะ” ซย่าน่านึกย้อนไปถึงภาพที่ปรากฏในสมอง พลางพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

หลี่ย่าหลินล้วงถุงใบหนึ่งออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ บอกว่า “พูดถึงไวรัสนางพญา…ฉันเองก็หาก้อนเหนียวหนืดได้เยอะเลยน้า ถึงจะไม่รู้ว่าส่วนมากจะกินได้หรือเปล่าก็เถอะ…แต่เอาไปวิจัยก็น่าจะได้ใช่ไหม? ใช่แล้ว! หนูทดลองที่ต้องหาให้ตาแก่นั่น พวกเราก็กำชับไปเรียบร้อยแล้วนะ อวี่เหวินซวนรับปากว่าจะไปเอาศพขึ้นมาจากใต้ดินให้ด้วย…”

“ศพ?” หลิงม่อหยุดควานหาของชั่วขณะ เงยหน้าพึมพำ “ศพ…”

“ใช่ ตัวที่ยังไม่ตายจับยากนี่นา…”

“แต่ว่าเฮยซือถือว่าจับเป็นได้ตัวหนึ่งแล้วหรือเปล่ษ? แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีทางเอาให้พวกเราแน่…”

“ซย่าน่า ความคิดแบบนี้อันตรายมากนะ…”

“เป็นซอมบี้ก็ต้องไขว่คว้าหาอันตรายสิ!”

ในตอนนั้นเอง หลิงม่อกลับลุกพรวด บอกว่า “ใช่แล้ว มันคือสิ่งนี้แหละ มันคือศพ!”

“พี่หลิง…” เย่เลี่ยนมองเขาอย่างงุนงงน และเรียกชื่ออย่างเป็นห่วง

ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินเองก็หยุดเถียงกัน แล้วมองปฏิกิริยาของหลิงม่ออย่างแปลกใจ

เขาหันขวับไปมองสามสาว ถามอย่างร้อนรน “หลังจากที่ฉันฆ่าร่างแม่ตัวนั้น พวกเธอเจออะไรในตึกหลังนั้นบ้างหรือเปล่า?”

“เจอ…เฮยซือไง แล้วก็เจ้าลิงผอม…ตอนแรกเฮยซือตั้งใจมาหาพวกเรา แต่ไม่คิดว่าคนที่หาเจอคนแรกจากการดมกลิ่นกลับเป็นเจ้าลิงผอม เขาถูกทิ้งไว้ในกล่องใบหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะประสาทรับกลิ่นของเฮยซือกับเสี่ยวป๋ายแกร่งพอ คงยากที่จะตามหาเจอ…” ซย่าน่าบอก

“อย่างนั้นหรอ? ไม่…ไม่สิ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้…พวกเธอเจอศพอื่นบ้างหรือเปล่า?” หลิงม่อถามอีกครั้ง

สามสาวมองตากัน จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกันเงียบๆ ทว่าในตอนนั้นเอง ซย่าน่ากลับร้อง “อ๋อ” ขึ้นมา แล้วพูดเหมือนนึกออก “พี่หลิงหมายถึง…ศพของร่างแม่ตัวนั้น?”

“ใช่!” หลิงม่อพยักหน้า

สีหน้าของซย่าน่าประหลาดไปทันที เธอส่ายหน้า “ไม่…ไม่เห็นเลย…”

“บางทีมันอาจไม่มีศพก็ได้นะ?” หลี่ย่าหลินเดา

“เป็นไปไม่ได้!” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ

ซย่าน่าเองก็ส่ายหน้า เงาร่างเธอไหววูบ แล้วเงาร่างของน่าน่าก็โผล่ขึ้นมาตรงหัวไหล่เธอ “ทั้งสอง” มองตากันครู่หนึ่ง แล้วพลางขึ้นพร้อมกันว่า “ก็เหมือนกับพวกเรา…ถึงแม้มันจะสามารถทำให้ร่างดวงจิตออกจาร่างกายได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่มีทางที่มันจะไม่ต้องการร่างกายเลยอย่างแน่นอน”

“ถูกต้อง ถ้าไม่มีร่างกายก็ไม่มีดวงแสงแห่งจิต ถ้าอย่างนั้นร่างดวงจิตก็ขาดเงื่อนไขพื้นฐานในการดำรงอยู่ ดังนั้น…” หลิงม่อสีหน้าตึงเครียดขึ้นทีละนิดๆ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจรงิจัง “มันยังไม่ตาย…ร่างแม่ตัวนั้น ร่างกายของมันยังมีชีวิตอยู่”

“แต่…ถ้าหากว่ามันอยู่ใต้ดิน พวกเราควรไปตามหามันที่ไหนล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามขึ้น

“ฉันว่า…ฉันรู้ว่าเป็นใครแล้ว…” หลิงม่อก้มลงหยิบไฟฉายกระบอกใหญ่ขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ พร้อมกับปืนหนึ่งกระบอก

“ใคร…” สามสาวพูดขึ้นพร้อมกน

“ ‘ร่างแม่’ ตัวนั้นที่นอนทับอยู่บนกองมนุษย์ไข่ และสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตัวนั้น ความจริงก็คือร่างแม่ตัวจริง…เพียงแต่หลังจากที่เห็นเด็กผู้หญิงนั่น ฉันเลยเกิดสงสัยความคิดของตัวเองขึ้นมา จนถึงขั้นเกือบคิดไปว่าที่นั่นมีร่างแม่สองตัวด้วยซ้ำ แต่เห็นได้ชัดว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ ฉันเลยไม่แน่ใจมาตลอด…จนกระทั่งหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเด็กผู้หญิงนั่นเป็นแค่ร่างดวงจิต ฉันถึงได้เข้าใจในที่สุด เด็กผู้หญิงนั่นกับสัตว์ประหลาดที่คล้ายร่างแม่ตัวนั้น เมื่อรวมกัน ถึงจะเป็นร่างแม่ที่แท้จริง…” พูดถึงตรงนี้ หลิงม่อกลับขมวดคิ้ว “แต่ฉันยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วการทดลองที่มันสร้างขึ้นจะมีความหมายอะไร? อีกอย่าง มันบอกว่ามันเคยเจอฉันมานานแล้ว ตกลงว่าเคยเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่? สัตว์ประหลาดอย่างนั้น ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยเจอมาก่อน…”

“การมีตัวตนอยู่แบบแยกกันหรอ…” ซย่าน่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็ถาม “ถ้าอย่างนั้นหลังจากพี่ฆ่าเด็กผู้หญิงนั่น ก็เท่ากับได้ขจัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของมันทิ้งไปหรือเปล่า? ถ้าหากเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไรน่ากลับแล้วน่ะสิ? เพราะถึงจะไม่มีร่างแม่ แต่ว่าสัตว์ประหลาดใต้ดินก็มีจำนวน…”

 “เดี๋ยวก่อน!” ฟังถึงตรงนี้ หลิงม่อกลับตัดบทซย่าน่าทันใด ในเสี้ยววินาทีนั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใกล้คำตอบมากแล้ว…

“ขจัดทิ้ง…ขจัดทิ้ง…” หลิงม่อพึมพำซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดก็ยกมือกดศีรษะ ร้องเสียงดัง “ฉันนึกออกแล้ว! ฉันรู้แล้ว! ผลลัพธ์ที่มันต้องการคืออย่างนี้…น่าจะใช่แล้ว น่าจะอย่างนี้…”

“หมายความว่ายังไง?” หลี่ย่าหลินถามอย่างงุนงงสุดขีด เธอมองหน้าเย่เลี่ยนกับซย่าน่า แล้วก็พบว่าสองสาวซทอบี้เองก็ส่ายหน้า บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเหมือนกัน

“ในการทดลองทั้งหมดของมัน หนูทดลองที่แท้จริง ความจริงแล้วก็คือตัวมันเอง!” หลิงม่อค่อยๆ ใจเย็นลง หันไปอธิบายให้สามสาวซอมบี้ที่กำลังสงสัย “ลองคิดดู ในตอนแรกที่ร่างดวงจิตนั่นเพิ่งออกจากร่าง มันไม่ต่างอะไรจากกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง มันเจอมนุษย์แปลงร่างคนแรกคนนั้น ผีเสื้อ จากนั้นถึงได้เพิ่งเริ่มเข้าใจและรู้จักมนุษย์…ต่อมา มันก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา และค่อยๆ ทำลายพวกพ้องเหล่านี้ด้วยมือตัวเอง…วิธีการอย่างนี้ เหมือนกับสิ่งที่มันบีบบังคับให้พวกเราทำ ฉันไม่รู้ว่ามันไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจาไหน แต่เห็นชัดว่ามันนึกว่านี่เป็นหนทางและวิธีที่จะศึกษามนุษย์ นอกจากนี้…ทำไมมันถึงได้สนใจต่อการปรากฏตัวของฉันขนาดนี้? ฉันกระทั่งรู้สึกว่า สาเหตุที่มนุษย์พวกนั้นรู้ว่าพวกเรา หรือพูดอีกอย่างก็คือ สาเหตุที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น เป็นเพราะมันรู้จักฉันในระดับหนึ่ง…”

“รู้จักพี่?” สามสาวมองหน้ากันครู่หนึ่ง…เห็นชัดว่า พวกเธอเองก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอสัตว์ประหลาดแบบนั้นเมื่อไหร่ ทว่าไม่กี่วินาทีผ่านไป เย่เลี่ยนกลับพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ฉัน…เหมือนจะนึกออก…”

“อะไรนะ?”

“พี่เย่เลี่ยนเคยเจองั้นหรอ?” ทั้งสามหันไปมองเธอเป็นตาเดียว พลันถาม

เย่เลี่ยนส่ายหน้า เธอกัดเล็บแล้วบอกว่า “คือ…ไม่…ไม่จำเป็นว่าพี่หลิงจะต้องเคยเจอหรือเปล่า…บางที…ตอนที่มันยังเป็นกระดาษขาว มันอาจเคยเจอพี่หลิง…ถ้าคิดว่ามันอยู่ใต้ดิน พี่หลิงม่อก็อาจ…ไม่รู้ตัวหรือเปล่า…”

“ก็จริง…”

“ใช่แล้ว พี่เย่เลี่ยนพูดมีเหตุผลมาก” ซย่าน่าเองก็พยักหน้าอย่างเห็ฯด้วย “บางที มันอาจไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกก็ได้นะ? ต้องเข้าใจก่อนว่าท่อน้ำทิ้งใต้ดินมันเชื่อมถึงกันหมด ถึงจะไม่ใช่ท่อน้ำทิ้ง ก็ยังมีสิ่งก่อสร้างอย่างรถไฟใต้ดินอยู่อีกนะ…มันอาจเคยเจอพี่หลิงจากที่อื่นก็ได้…ส่วนทำไมมันถึงได้สนใจแต่พี่หลิงคนเดียว ฉันว่า…”

“เพราะว่า…พวกเรา” เย่เลี่ยนพูดขึ้นอีกครั้ง เห็นหลิงม่อมองมา เธอก้มหน้าลง พูดเสียงเบา “เป็นเพราะพวกเรา…ซอมบี้กับมนุษย์อยู่ด้วยกัน เรื่องอย่างนี้…ไม่ว่าสัตว์ประหลาดตัวไหนก็สนใจทั้งนั้น…”

“ใช่แล้ว…” หลิงม่อพูดอย่างแช่มช้า ข้อสันนิษฐานอย่างนี้ อาจสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่เย่เลี่ยนพูด…

————————————