บทที่ 232 สังหารอย่างไม่ลังเล

The king of War

มู่ตงเฟิงหน้าตาเต็มไปด้วยความดุร้าย กัดฟันแน่นพูดไปว่า “ไอ้หนุ่ม บางทีนายอาจจะยังไม่รู้จักสถานะฉันชัดเจนดี ฉันชื่อมู่ตงเฟิง เป็นผู้นำของตระกูลมู่แห่งเมืองเอก ถ้าตอนนี้นายปล่อยลูกชายฉันไป ฉันสามารถทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นได้”

หยางเฉินมองเขาด้วยหน้าตาไร้อารมณ์แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าการข่มขู่คือท่าทีขอร้องคนอื่นของคุณ งั้นชีวิตลูกชายคุณ ผมไม่สนแล้ว!”

หยางเฉินไม่ใช่คนที่กำเริบเสิบสานโอหังอวดดี และไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลด้วย

ทุกอย่างในวันนี้ เจิ้งเหม่ยหลิงต่างหากที่เป็นตัวการในการก่อกรรมทำชั่ว ตามมานั้นคือเฉินอิงเหา สุดท้ายถึงเป็นมู่เจิ้น

ทว่ามู่ตงเฟิงนั้น กลับแข็งกร้าวเช่นนี้ ทั้งที่ลูกชายของเขาโดนหยางเฉินเหยียบไว้ใต้เท้า เขากลับมาข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ทำให้หยางเฉินไม่ปลื้มเอามากๆ

เขาไม่พอใจ งั้นมู่เจิ้นคงถูกลิขิตมาให้ต้องชดใช้อย่างสาสมระดับหนึ่ง

“ที่รัก ถ้าไม่อย่างนั้นปล่อยไปดีกว่ามั้ง?”

ทันใดนั้นฉินซีพูดเสียงเบาๆ

ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหยางเฉินเก่งกาจมาก และเชื่อว่าคนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คู่แข่งของหยางเฉิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า เธอจึงยังหวาดกลัวอย่างมาก

หยางเฉินยิ้มอ่อนโยน “ที่รัก คุณไม่ได้บอกว่าอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผมเหรอ? ถึงแม้ผมจะบอกคุณไปมากมาย แต่ยังมีอีกมากที่คุณไม่รู้ เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ต่อไปคงต้องเจออีกแน่นอน คุณต้องค่อยๆ ปรับตัว ถึงจะสามารถเข้าใจผมได้อย่างแท้จริง!”

ไม่ใช่ว่าหยางเฉินเข้าไปหาเรื่องคนอื่นก่อน แต่เป็นคนอื่นอยากหาเรื่องเขา

สถานการณ์ในเวลานี้ สำหรับหยางเฉินแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย ถ้าต่อไปเจอเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่านี้ หากฉินซีไม่เตรียมใจให้พร้อมเอาไว้ จะสามารถยอมรับได้อย่างไรกัน?

ฉินซีสั่นไปทั้งตัว มองหยางเฉินด้วยหน้าตาตกใจ ขณะเดียวกันในใจมีความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้น

หยางเฉินยินยอมให้เธอเผชิญหน้ากับเรื่องราวแบบนี้ หมายความว่าเขาไม่อยากปิดบังสิ่งใดต่อตนเองอีก

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เบื้องหลังล้วนไม่ธรรมดา

แต่พอหยางเฉินพูดจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยค กลับทำให้พวกเขารู้สึกถึงความกดดันที่ไร้ขอบเขต

“มู่เจิ้น ขอโทษสิ!”

มู่ตงเฟิงจ้องมองหยางเฉินอยู่ตั้งนาน ทันใดนั้นตะโกนเสียงทุ้มออกมา

เขาเป็นคนที่กำเริบเสิบสานและโอหัง แม้แต่ลูกชายที่อบรมสั่งสอนออกมายังเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่ใช่คนที่ไร้สมอง มิฉะนั้นเขาคงไม่อาศัยอำนาจของตระกูลหาน จนทำให้ตระกูลมู่ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งในปัจจุบันได้

เดิมทีคิดว่าหยางเฉินเป็นแค่คุณชายตระกูลร่ำรวยที่พอมีเบื้องหลังบ้างคนหนึ่ง ตอนนี้ดูแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น

เขาได้แต่ยอมแพ้ไปก่อนชั่วคราว จากนั้นค่อยตรวจสอบเบื้องหลังของหยางเฉินอีกที หากหยางเฉินมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ เขาจะไปขอขมาถึงที่ด้วยตนเอง แต่ถ้าเป็นเพียงพวกกระจอกคนหนึ่ง เขาจะสังหารทิ้งอย่างไม่ลังเลสักนิด

นี่คือสไตล์การทำงานของมู่ตงเฟิง ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์

มู่เจิ้นเจ็บปวดถึงขีดสุดไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินว่ามู่ตงเฟิงให้เขาขอโทษ ในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้น แต่กลับต้องทำตามคำสั่ง “คุณชายหยาง ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว ขอให้ท่านปล่อยผมไปสักครั้งด้วยเถอะครับ!”

ทั้งหมดตกตะลึง

ใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น มู่ตงเฟิงให้ลูกชายของตนเองกล่าวขอโทษ

หยางเฉินหน้าตาไร้อารมณ์ ก้มหน้ามองมู่เจิ้นที่โดนเขาเหยียบไว้ใต้เท้า จากนั้นค่อยๆ เอ่ยปากบอก “ในเมื่อรู้ว่าผิดแล้ว งั้นวันหลังก็สงบเสงี่ยมหน่อย!”

“ครับ คุณชายหยางพูดถูกครับ!” มู่เจิ้นรีบพูดทันที

“ถ้าฉันจำไม่ผิด เมื่อกี้เป็นนายอยากให้คนมาจัดการฉัน?” หยางเฉินถามขึ้นกะทันหันอีกที

มู่เจิ้นใกล้จะร้องไห้แล้ว รีบบอกว่า “คุณชายหยางครับ ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ นั่นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้นเอง ต่อให้ผมกล้าบ้าบิ่นมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าแล้วครับ!”

“กึก!”

เขาพึ่งพูดจบ หยางเฉินก็เหยียบบนแขนของเขาอย่างแรง เสียงกระดูกหักชัดแจ๋วดังขึ้นมา

“อ๊าก……”

ตามมาด้วยเสียงร้องคำรามอันแสนปวดร้าวที่เปล่งออกมาจากในลำคอลึกของมู่เจิ้น ดังสนั่นทั้งห้อง

“นายอยากทำให้แขนขาฉันพิการ ฉันจะหักแขนนายแค่ข้างเดียว ถ้ามีครั้งต่อไปอีก ฆ่าสถานเดียว!”

หยางเฉินพูดออกไปจบ จับมือของฉินซีไว้ ค่อยๆ เดินไปทางด้านหน้าประตู

เฉียนเปียวเดินตามหลังไปติดๆ กุมมีดที่แหลมคมเอาไว้ในมือแน่น เตรียมพร้อมลงมือทุกเวลา

หน้าตามู่ตงเฟิงโกรธเคืองเต็มที่ จ้องหยางเฉินตาไม่กะพริบ

คนอื่นๆ ต่างทำท่าทางตกใจ

เดิมทีพวกเขาคิดว่าหยางเฉินเหยียบมู่เจิ้นไว้ใต้เท้า เป็นเพราะใช้เขามาเป็นตัวประกัน เพื่อรับรองว่าตนเองจะสามารถออกไปได้อย่างปลอดภัย

แต่ตอนนี้ อยู่ต่อหน้าของมู่ตงเฟิง เขายังเหยียบแขนข้างหนึ่งของมู่เจิ้นหักอย่างคาดไม่ถึง

เพียงแต่ไม่มีมู่เจิ้นเป็นตัวประกัน มู่ตงเฟิงจะปล่อยเขาไปเหรอ?

เจ้านายใหญ่กลุ่มหนึ่งของเมืองโจวเฉิง มองหยางเฉินจับมือของฉินซีออกไปแบบหน้าตาเฉย ทุกคนต่างพากันหลบทางให้แทบไม่ทัน

สีหน้ามู่ตงเฟิงหนาวเย็นดุจน้ำค้างแข็ง จ้องหยางเฉินดวงตาไม่กะพริบ ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขวางแต่อย่างใด

จากบนตัวของหยางเฉิน เขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่ปะทะเข้ามา

ชายหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาเด็ดขาด

“เจ้าบ้านมู่ ท่านถูกเขาหลอกแล้ว!”

ตามองเห็นหยางเฉินกำลังจะออกไป เสียงที่แหลมคมเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาจากทางด้านนอกห้องที่เงียบงันนี้

ได้ยินเสียงนี้เข้า ในสายตาหยางเฉินสาดยิงจิตอาฆาตที่รุนแรงออกมา

คนที่พูดคือเจิ้งเหม่ยหลิง ผู้หญิงคนนี้ คาดไม่ถึงจะยั่วยุหยางเฉินอีกครั้งแล้ว

ครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองไม่มีครั้งที่สาม แต่นี่คือครั้งที่สามที่หล่อนวอนหาที่ตาย

ชั่วขณะนั้นฉินซีสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ เธอรู้จักความไร้ยางอายของเจิ้งเหม่ยหลิง และตัดสินใจไม่ไปมาหาสู่ใดๆ กับหล่อนอีก แม้กระทั่งเมื่อสักครู่ที่ช่วยหล่อนขอร้องแทน หยางเฉินถึงได้ปล่อยหล่อนไป

แต่ตอนนี้ กลายเป็นว่าลูกพี่ลูกน้องที่ถูกตนเองช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า และขอร้องแทนครั้งแล้วครั้งเล่า อยากหาเรื่องขึ้นอีก

“เจิ้งเหม่ยหลิง เธออยากทำอะไรอีก?” ฉินซีโมโหพลางตะโกนใส่

สายตาของทุกคนต่างตกอยู่บนตัวเจิ้งเหม่ยหลิง ดูว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดอะไร

เจิ้งเหม่ยหลิงมองฉินซีทีหนึ่งด้วยท่าทางเย็นชา และมองทางมู่ตงเฟิงแล้วบอกว่า “เจ้าบ้านมู่คะ ท่านถูกผู้ชายคนนี้หลอกแล้ว เดิมทีเขาไม่ใช่คุณชายตระกูลร่ำรวยอะไร แต่เป็นสวะคนหนึ่ง!”

“ผู้หญิงคนนี้ เป็นพี่สาวของฉัน ไม่มีใครรู้จักเบื้องหลังของพวกเขาดีเท่าฉันแล้ว!”

“เขาก็แค่ค่อนข้างมีฝีมือดีเท่านั้น ท่านคงไม่ได้ถูกเขาขู่ไว้จริงๆ แล้วล่ะมั้ง? เขาทำแขนข้างหนึ่งของคุณชายเจิ้นหักนะคะ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป วันหลังใครจะเห็นท่านอยู่ในสายตากันคะ?”

คำพูดของเจิ้งเหม่ยหลิงแหลมคมอย่างมาก แทงใจดำถึงที่สุด

ถ้าเป็นยามปกติ ต่อให้หล่อนกล้าบ้าบิ่นเพียงใด หล่อนก็ไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับมู่ตงเฟิง

เมื่อมองเห็นว่าหยางเฉินและฉินซีกำลังจะออกไป นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ใกล้ชิดกับตระกูลมู่แล้ว ถ้าเกิดพลาดไป ความพยายามในหลายวันมานี้ของหล่อนคงเสียเปล่าไปทั้งหมดแน่

หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตาเย็นชา

คนใหญ่คนโตเหล่านั้นแห่งเมืองโจวเฉิงต่างทำหน้าตกตะลึงเช่นกัน

ชายหนุ่มคนนี้ เป็นเพียงลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงที่ค่อนข้างมีฝีมือคนหนึ่งเท่านั้นจริงเหรอ?

ถ้าเป็นแบบนี้จริง เฉียนเปียวติดตามอยู่ข้างกายเขา จะอธิบายอย่างไร?

เจิ้งเหม่ยหลิงเป็นคนโง่เง่า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะโง่เขลาไปด้วย

เมื่อสักครู่ชั่วพริบตาหนึ่งนั้น มู่ตงเฟิงเกือบอยากสั่งลงมือกับหยางเฉินไป แต่ไม่นานนักเขาก็ยกเลิกไป

เขามีชีวิตมาใกล้หกสิบปี บุคคลยิ่งใหญ่แบบไหนไม่เคยเจอมากัน?

ชายหนุ่มที่ลักษณะพลังอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขายังเคยเจอเป็นครั้งแรก

หยางเฉินส่งเสียงหัวเราะเยาะ มองมู่ตงเฟิงแบบดูถูกแวบหนึ่ง เหมือนรอการตัดสินใจของเขาอยู่

“เธอบอกว่าถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป?”

ทันใดนั้นมู่ตงเฟิงหรี่ตาจ้องเจิ้งเหม่ยหลิงแล้วถามขึ้น

เจิ้งเหม่ยหลิงรีบตอบทันที “ถูกต้องค่ะ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็คือความอัปยศของท่าน!”

“เธอว่าอะไรนะ?” มู่ตงเฟิงถาม

เจิ้งเหม่ยหลิงยังไม่ทันรู้สึกถึงไฟโกรธของมู่ตงเฟิง จึงพูดไปอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าท่านปล่อยเขาออกไป เรื่องนี้ก็คือความอัปยศอดสูของท่าน!”