บทที่ 487 น่าเบื่อหน่าย
บทที่ 487 น่าเบื่อหน่าย
ขณะที่ทุกคนต่างตกใจกับเสียงที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างหันมองไปทางต้นเสียงทันที
“นั่นมันไอ้หนุ่มอันธพาลแถวนี้นี่นา ในที่สุดก็ไปเหยียบหางคนอื่นเข้าจนได้!”
“ผู้ชายคนนั้นเคลื่อนที่เร็วมาก ฉันไม่ทันเห็นตอนเขาขยับตัวด้วยซ้ำ”
“…”
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ ๆ พากันพูดคุยเรื่องไร้สาระ ภาพแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยสักเท่าไหร่
ชายสามคนที่เหลือต่างถอยกลับด้วยความสยดสยอง ไม่ใช่เพราะเขากลัวอีกฝ่าย แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถต่อสู้ได้ยังไงล่ะ!
ทั้งสี่คนล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นการจู่โจมของอีกฝ่าย นี่มันอะไรวะเนี่ย!
“พี่ชาย…”
“พลัวะ!”
ทันทีที่หนึ่งในนั้นพูดขึ้น อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
โต๊ะสองตัวพังยับเยินทันที!
“ฉันไม่ยกโทษให้แกแน่!”
ชายหนุ่มสองคนตกใจอย่างมากก่อนคว้าเก้าอี้ไว้แน่น ซึ่งนั้นทำให้เขามั่นใจว่าสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แน่นอน
“ให้ตายสิวะ! ในเมื่ออยากตาย! ฉันจะสงเคราะห์ให้!”
ตอนนั้นเอง หนึ่งในกลุ่มนั้นก็ยกเก้าอี้ขึ้นหมายจะฟาดไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย!
ขณะนี้ดวงตาอวี้ฮ่าวหรานฉายแววอาฆาตจนทำให้จิตใจอีกฝ่ายเกิดความกลัวทันที!
ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว!
โลกเปลี่ยนไปแล้ว รอยเลือดและเศษซากกระดูกมากมายกองอยู่รอบตัวเขา!
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นมหาเทพผู้ครอบครองสวรรค์และโลกมนุษย์กำลังต้องมองมาที่ตัวเอง!
เพียงเสี้ยววินาที วิญญาณของเขาแทบหลุดออกจากร่าง ร่างกายพลันแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้!
“ตึง!”
เก้าอี้ในมือชายหนุ่มเสื้อลายดอกไม้หล่นลงบนพื้น เมื่อภาพลวงตาหายไป เขาก็ทรุดตัวลวงคุกเข่า ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด
“ผมผิดไปแล้ว…ยกโทษให้ผมเถอะ ผมขอโทษ! ผมเป็นแค่มดแมลง…ไม่สิ! ผมเป็นแค่เหลือบไร…ยกโทษให้ผมด้วย…”
ดูเหมือนว่าตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานจะเปรียบเสมือนพระเจ้าในสายตาของอีกฝ่าย!
“หึ!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น อวี้ฮ่าวหรานจึงหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นมองชายหนุ่มอีกคนด้วยสายตาพึงพอใจ
“ถึงคราวแกแล้ว!”
“ฉัน…ฉัน…”
ชายหนุ่มมีท่าทีหวาดกลัวก่อนคุกเข่าลงร้องขอชีวิต
บ้าน่า ผู้ชายคนนี้เก่งกาจราวกับไม่ใช่มนุษย์ มีแต่คนเสียสติเท่านั้นแหละที่คิดจะสู้กับเขา!
ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงเช่นเดียวกับชายหนุ่มทั้งสี่คน
ทำไมพวกเขาสองคนถึงยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้?
คุกเข่าร้องขอชีวิตเนี่ยนะ?
แต่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าอวี้ฮ่าวหรานแผ่จิตสังหารออกมาจนทำให้อันธพาลเหล่านั้นหวาดกลัวจนหัวหด!
“โอเค! แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง…”
หลังจากจัดการกับพวกไม่มีสมองเสร็จแล้ว เขาจึงกลับไปที่โต๊ะเหมือนเดิน
“พวกเขา…ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ…”
ซูหว่านเอ๋อมองชายหนุ่มสองคนที่กำลังกระอักเลือดอยู่บนพื้นพร้อมถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คนพวกนี้หนังเหนียวจะตายไป”
อวี้ฮ่าวหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจ
คำพูดนี้ดังไปถึงหูของเหล่าชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่กำลังกระอักเลือดสองสามครั้ง
พวกเขาจะแกล้งกระอักเลือดไปเพื่ออะไร?
แต่ซูหว่านเอ๋อกลับเชื่ออย่างสนิทใจ
“ค่ะ”
เมื่อเห็นอย่างนั้น กลุ่มอันธพาลจึงตะลีตะลานออกจากร้านทันที ขณะอยู่ข้างนอกร้าน หนึ่งในนั้นก็สบถคำหยาบคายออกมา
“ไอ้หน้าอ่อน! ฝากไว้ก่อนเถอะ! พวกเรารู้จักนายน้อยฟ่าน! กล้าดียังไงมาทำร้ายเรา แกไม่ตายดีแน่!”
ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนในร้านก็เปลี่ยนไป
“นายน้อยฟ่าน? ฟ่านจินฮวาลูกชายเศรษฐีที่อาศัยอยู่ละแวกนี้ใช่ไหม?”
“จะเป็นใครได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่เขา! คนอันธพาลพวกนั้นรู้จักนายน้อยฟ่านจริงเหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวนายน้อยฟ่านเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่สองสามแห่ง พวกเขารวยเกินไปแล้ว!”
ผู้คนในร้านต่างพูดคุยกันด้วยท่าทีหวาดกลัว
เสียงสนทนาเหล่านั้นดังไปถึงหูซูหว่านเอ๋อ คิ้วของเธอจึงขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่ได้
“อวี้ฮ่าวหราน…ฉันเป็นคนทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”
เธอไม่อยากสร้างปัญหาเพราะความดื้อรั้นของตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นจะเล่นลูกไม้อะไรอีก”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจ ถ้ากลัวพวกเศษสวะ เขาจะยังเป็นมหาเทพฮ่าวหรานได้ยังไง?
แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“ประธานอวี้ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนเหรอครับ? ท่านต้องเซ็นเอกสารสองสามฉบับแล้วพาคนไปบริษัทที่บริษัทอิงเหมานะครับ”
“ผมอยู่ในเมือง…”
อวี้ฮ่าวหรานบอกที่อยู่ให้กับคนปลายสายอย่างไม่ตั้งใจ
แม้จะโอนสิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ให้อีกฝ่ายแล้ว แต่เขายังคงต้องลงนามกำกับเอกสารเหล่านั้นตามปกติเหมือนเดิม
“ดีเลยครับ! รออยู่ที่นั่นสักครู่ ผมจะเอาผมจะเอาเอกสารและสัญญาของบริษัทอิงเหมาไปให้คุณเซ็นเดี๋ยวนี้แหละครับ”
หวังจุนตอบอย่างมีความสุข
อวี้ฮ่าวหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนกดวางสาย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
ซูหว่านเอ๋อถามด้วยความสงสัย เธอกลัวว่าความดื้อรั้นของตัวเองจะกระทบกับงานอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรครับ แค่เรื่องเล็กน้อยที่บริษัทน่ะ”
อวี้ฮ่านหรานคลี่ยิ้มเล็กน้อย นี่คือเหตุผลที่เขาเลื่อนขั้นให้ลูกน้อง ถ้าไม่มีหวังจุน เขาคงไม่มีเวลาออกมากินข้าวที่ร้านอาหาร
เขาจะต้องจมอยู่กับกองเอกสารเหล่านั้นตั้งแต่เช้าจรดค่ำเหมือนกับหลี่หรงที่ต้องบริหารถึงสองบริษัทอย่างแน่นอน
อาหารถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าของร้านจึงเตือนด้วยความหวังดี
“พวกคุณกินเสร็จแล้วรีบกลับเถอะ ครอบครัวนายน้อยฟ่านรวยมาก อย่าไปยุ่งกับพวกเขาจะดีกว่า!”
เขาเตือนด้วยสีหน้าสยดสยอง
“ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราไม่เป็นไรหรอก”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ไม่นาน รถบีเอ็มดับเบิลยูสองคันก็ขับมาจอดบริเวณหน้าร้าน
“ใครเพิ่งกินดีเสือดาวมาวะ? แกกล้าทำร้ายลูกน้องฉันได้ยังไง?”
ชายร่างอ้วนเดินลงมาจากรถบีเอ็มดับเบิลยูด้วยสายตาเหยียดหยาม
บอดี้การ์ดนับสิบคนรีบวิ่งลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว!
“เป็นมันครับ! ไอ้ผู้ชายคนนั้น!”
บริเวณทางเข้าร้าน ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ยกมือชี้ไปที่อวี้ฮ่าวหราน
“ฮ่า ๆ ก็แค่ไอ้ขี้แพ้ แกจะให้ฉันจัดการเลยไหม?”
ทายาทเศรษฐีร่างอ้วนเยาะเย้ย
“นายน้อย! ผู้ชายคนนั้นต่อยตีเก่งจนเราทำอะไรมันไม่ได้ แต่แฟนของมันสวยเหมือนนางฟ้าเลยครับ”
ชายหนุ่มพูดด้วยความเขินอาย
ทายาทเศรษฐีที่ถูกเรียกว่านายน้อยฟ่านมีสีหน้าพึงพอใจทันที
“ไอ้หน้าจืดขี้แพ้มีแฟนสวยเหมือนนางฟ้างั้นเหรอ? ฮ่า ๆ ไม่เลวนี่”
เขากวาดสายตามองทุกคนในร้านด้วยสายตาเหยียดหยาม ถ้าผู้หญิงคนนั้นทำงานในไนท์คลับ เธอจะตาต่ำถึงขนาดไปคบกับไอ้ขี้แพ้เลยเหรอ?
เขาเดินเข้าไปในร้านสองสามก้าว เมื่อเห็นไปใบหน้าอีกฝ่าย เขาก็ตกตะลึงทันที
“เชี่ย! นี่…คนหรือนางฟ้า?”
เขามีสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมา ขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโลมเลีย
เธอสวยยิ่งกว่านางฟ้าซะอีก!
เรียกว่าสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาก็ได้!
สำหรับเขาแล้ว ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้!
“ฮ่า ๆ พวกแกทำให้นายน้อยตกใจอีกแล้ว!”
นายน้อยฟ่านตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนระเบิดหัวเราะ
ถ้าได้คนงามอย่างเธอมาอยู่ใต้ร่าง มันคงเป็นเหมือนสวรรค์บนดินแน่นอน!
“ไอ้หนู! ขอโทษนายน้อยตอนที่ยังอารมณ์ดีแล้วไสหัวไปซะ!”