ตอนที่ 317 เยือนกวนหยุนถายอีกครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 317 เยือนกวนหยุนถายอีกครา

ในอดีตคราที่อยู่บนท้องพระโรงเฉิงเทียนแห่งราชวงศ์หยู ฮ่องเต้ก็ได้กล่าวเช่นเดียวกันนี้กับฟู่เสี่ยวกวนถึงสองหน

และในวันนี้บนพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินก็จะกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยคำพูดแบบนี้เช่นเดียวกัน

คำพูดนี้ย่อมทำให้เหล่าเสนาบดีใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ประหลาดใจ พวกเขาจึงอดที่จะเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนในตอนที่เดินออกจากท้องพระโรงไปไม่ได้

แน่นอนว่า พวกเขาทำได้เพียงแค่มอง มีเพียงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ที่หยุดยืนอยู่หน้าฟู่เสี่ยวกวนชั่วครู่ ยิ้มจนตาปิดและกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันพลันที่ทูลให้ฝ่าบาททรงยกเลิกราชโองการ เจ้ามิเลวเลย”

เขาตบบ่าฟู่เสี่ยวกวน สองมือไขว้หลังและเดินจากไปอย่างลำพองใจ

และนั่นย่อมทำให้เหล่าเสนาบดีที่ยังไม่ออกไปจากท้องพระโรงประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ครุ่นคิดว่าชายผู้นี้เข้าหาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเมื่อใดกัน หรือว่า…ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดจะให้หนานกงตงเซวี๋ยหลานสาวของเขาตบแต่งกับฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

สถานการณ์เมื่อครู่บนท้องพระโรง ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายราวกับไก่ชนตัวหนึ่งที่คุกคามและโวยวายว่าพระราชโองการของฝ่าบาทนั้นไร้เหตุผล บรรยากาศสูสีกับตอนที่เขาตอบโต้กับเหวินสิงโจว

เจตนาเหล่านั้นของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้เป้าหมาย ชายชราผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก !

เมื่อได้วิเคราะห์ดู เสนาบดีมากมายต่างมองฟู่เสี่ยวกวนสูงขึ้นกว่าเดิม ความทระนงตนเมื่อครู่ได้ถูกวางลงไป จนถึงขนาดที่คณะเสนาบดีภายใต้การบังคับบัญชาของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ยังยกมือคำนับให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ก็รู้สึกดีกับเรื่องนี้ เขาย่อมตอบรับอย่างถ่อมตน เขาเองก็คำนับกลับเช่นกัน แม้จะไร้คำเอ่ยใด ๆ แต่ราวกับมีความรู้สึกของความอาลัยอาวรณ์

การกระทำทั้งหมดนั้นย่อมอยู่ในสายตาของจักรพรรดิเหวิน ในนัยน์ตาของเขาทอประกายยินดีขึ้นเรื่อย ๆ แววตาเผยให้เห็นร่องรอยของความปลื้มใจและความเอ็นดูอย่างไม่รู้ตัว

สีหน้านั้นย่อมตกอยู่ในสายตาของขันทีชราที่อยู่ข้างกายเขา ขันทีชราผู้นั้นกลับใจสั่น ก้มหน้าต่ำและชำเลืองมองฟู่เสี่ยวกวน บรรยากาศในตอนนี้ยากที่จะบรรยายได้

จนกระทั่งเหล่าเสนาบดีเดินออกไปจากท้องพระโรงจนหมด จักรพรรดิเหวินจึงได้ลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร โบกมือใหญ่ไปมา “ไปกันเถอะ เดินไปกับข้า”

ดังนั้น ภายใต้การปรนนิบัติของขันทีชรา ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามอยู่ด้านหลังจักรพรรดิเหวิน และเดินไปยังเขตวังหลวงที่ใหญ่โต

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่นสะท้านแต่อย่างใด เขาเพียงมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไปจากแคว้นหยู และเดินมาถึงตำหนักที่กว้างใหญ่โดยมิรู้ตัว

ตำหนักหยางซิน !

“เจ้ารอที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ดังนั้น จักรพรรดิเหวินจึงเดินไปในตำหนักหยางซิน ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านนอกตำหนัก ขันทีอาวุโสผู้นั้นมิได้ตามจักรพรรดิเหวินเข้าไป และยืนรออยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ขอบังอาจถามท่านขันที ท่านมีนามว่าเยี่ยงไรหรือขอรับ ? ”

“ข้าแซ่จ้าว เป็นปิ๋งปี่ซือหลี่เจี้ยนแห่งหน่วยงานขันที”

“ขันทีจ้าว…ข้าได้ยินมาว่าอำนาจของหน่วยงานขันทีนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เยี่ยงนั้นหัวหน้าขันทีเกาก็มิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ขันทีจ้าวใจสั่นสะท้าน และรีบตอบกลับไปว่า “ทั้งหมดนี้ต่างได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มบาง ๆ ขันทีชราจ้าวผู้นี้มิได้ปฏิเสธหรือตอบรับ ดูเหมือนว่าขันทีเกาจะเหมือนกับเว่ย์จงเสียนแห่งราชวงศ์หมิงผู้นั้น

เขามิได้เอ่ยถามอันใดอีก แต่กลับเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าสดใด ก็ได้เห็นห่านป่าฝูงหนึ่งบินผ่านมา

ขันทีจ้าวมิได้เข้าใจความหมายของประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนถามออกมา เขาคิดไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ได้ยินมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขัดแย้งกันระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและบุตรชายของหัวหน้าขันที ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมาว่า “คุณชายเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากคุณชายมิได้อยู่ที่เมืองกวนหยุนนี้นานเท่าใด บางเรื่องก็อย่าได้นำมาใส่ใจ แล้วปล่อยมันไปเสียเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ข้าก็หวังจะปล่อยเขาไปเช่นกัน

และก็ได้มีม้าสี่ตัวสีดำสนิทลากรถม้าออกมาจากตำหนักหยางซิน รถม้าได้หยุดอยู่หน้าประตู ผ้าม่านได้ถูกเลิกขึ้น จักรพรรดิเหวินกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้า และกวักมือเรียกฟู่เสี่ยวกวน “ขึ้นรถ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก นี่ต้องไปที่ใดกัน ?

เขาขึ้นรถม้า ขันทีจ้าวเฝ้ามองจนรถม้าคันนั้นหายไปจากครรลองสายตา จึงได้หันหลังกลับ เดินไปยังตำหนักเจิ้งหยาง นั่นคือตำหนักของจักรพรรดินีเซียวของราชวงศ์อู๋ในปัจจุบัน

เขาต้องนำข่าวคราวนี้ไปบอกกับจักรพรรดินีเซียว เพราะเขาเกิดความสงสัยในข่าวลือที่เคยมีภายในเขตวังหลวงนี้มากยิ่งขึ้น น่ากลัวว่าจะเป็นความจริง

…..

ภายในรถม้า จักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งตรงข้ามกัน และสนทนาอย่างเป็นกันเอง

“ข้ามิทราบว่าเจ้าได้รับความอยุติธรรมที่เมืองฝานหนิง เป็นข้าที่มิได้คิดให้รอบคอบ เจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจ”

“ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องตำหนิตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ หากข้ายังใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น เกรงว่าใจของข้าคงจะเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย”

จักรพรรดิเหวินยกยิ้ม “มาแคว้นอู๋เป็นคราแรก คุ้นชินบ้างแล้วหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างประหลาดใจ มิเข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋พระองค์นี้ถึงได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับตนเองถึงเพียงนี้ คาดมิถึงว่าจะเป็นห่วงเป็นใยกัน

เขาเองก็หัวเราะ และตอบกลับไปว่า “ขอมิปิดบังกับฝ่าบาท กระหม่อมได้ย้ายไปพักอาศัยที่คฤหาสน์จิ้งหูแล้ว การพักอยู่ในสถานทูต มิค่อยสะดวกสบายนัก กระหม่อมจึงไตร่ตรองว่าในเมื่อบิดาของกระหม่อมได้ซื้อคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว และได้ใช้เงินซื้อถึงหนึ่งล้านตำลึง หากกระหม่อมพ่ายแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้…คฤหาสน์จิ้งหูหลังนี้ก็มิใช่ของกระหม่อมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นขอใช้ชีวิตไปวัน ๆ ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเหวินนึกสนุก ครุ่นคิดว่าสถานทูตของราชวงศ์หยูอยู่ที่ใดกัน ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะแย่มากยิ่งนัก ? เรื่องนี้คงต้องถามไถ่ในวันพรุ่งนี้

แต่ปากของเขากลับถามอีกปัญหาหนึ่งออกไปแทน “อะไรกัน ในฐานะแนวหน้าของนักวรรณกรรม เจ้ายังต้องกังวลอยู่อีกหรือ ? ”

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณกาล วรรณกรรมไร้ที่หนึ่ง ยุทธจักรไร้ที่สอง เยาว์ชนในใต้หล้านั้นเปรียบเสมือนทะเลดวงดาว กระหม่อมจะกล้ากล่าวได้เยี่ยงไรว่าบทกวีหรือบทความของกระหม่อมจะสามารถครอบงำคนทั่วไปได้ ? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”

จักรพรรดิเหวินหัวเราะอย่างสุดเสียง รู้สึกว่าคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนนั้นน่าสนใจมากยิ่งนัก “ข้าเคยได้อ่านความฝันในหอแดงของเจ้า และอีกทั้งยังเคยได้อ่านเยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้า ข้ายังได้ให้สำนักศึกษาฮ่านหลินแก้ไขตัวอักษรเยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้าสองตัว และได้แก้เป็นเยาว์ชนราชวงศ์อู๋กล่าว และเผยแพร่ไปทั่วราชวงศ์อู๋เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าชื่อผู้ประพันธ์ยังคงเป็นเจ้า”

เพียงชั่วขณะ จักรพรรดิเหวินก็กล่าวอีกว่า “ข้าชื่นชอบบทความนี้ของเจ้ามากยิ่งนัก ชื่นชอบเสียยิ่งกว่าบทกวีเหล่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก และส่ายหน้า

ข้ามิใช่พยาธิในท้องของเจ้า จะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าคิดอันใดอยู่ อีกทั้งเจ้ายังคัดลอกเอกสารฟรี มิได้เสียเงินแม้แต่อีแปะเดียว !

“ข้ามองเห็นภาพจำของตัวข้าในวัยเท่าเจ้า ในบทความของเจ้า ! ”

นี่มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนหน้ามุ่ยขึ้นเล็กน้อย เป็นไปมิได้ที่เจ้าจะเกิดความตระหนักขึ้นมาในยามที่อายุเท่าข้า

“ข้าเขียนบทความแบบเจ้ามิได้ แต่ข้ากระทำมาโดยตลอด เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ ในสิบปีมานี้ข้าได้ทำงานอย่างหนัก ก็เพื่อทำให้ราชวงศ์อู๋นี้ได้เป็นแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้านี้ บทความของเจ้าเป็นกำลังใจให้แก่เยาว์ชนทั่วทั้งใต้หล้า ทั้งยังเป็นกำลังใจให้ข้าในยามที่รู้สึกเหนื่อยล้าอีกด้วย”

“ดังนั้น…” จักรพรรดิเหวินดูปลงอนิจจังยิ่ง เขานั่งตัวตรง และได้มีบรรยากาศแปลก ๆ แผ่ออกมาจากตัวเขา “ดังนั้นข้าจึงอยากพบเจ้ามาโดยตลอด อยากพบชายหนุ่มผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงอันเป็นอมตะ อยากจะพบชายผู้ประพันธ์เยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวที่โด่งดังผู้นั้น ดังนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงครานี้ ข้าจึงเชิญเจ้าเพียงผู้เดียว กลัวอยู่เช่นกันว่าเจ้าจะมิมา”

“ยังดี ที่สุดท้ายเจ้าก็มา”

รถม้าหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้าแล้วชะงักไปชั่วครู่ กวนหยุนถาย !

จักรพรรดิเหวินเองก็ลงจากรถม้าเช่นกัน และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าทราบว่าเจ้าได้มาชมแล้วในเมื่อวาน ข้ามิได้พาเจ้ามาชมทะเลหมอก แต่เพียงอยากจะถามเจ้า…ยามที่มารดาของเจ้าสิ้นใจไป ได้ฝากอะไรไว้กับเจ้าหรือไม่ ? ”