ตอนที่ 957 เอ๊ะ? มีรังสีอำมหิต!

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

เจี่ยซิ่วฟางพอใจในตัวลูกสาวมาก

คนวัยนี้ นอกจากจะแข่งกันเรื่องใช้เครื่องประทินผิวราคาเท่าไร สามีอยู่ทำงานระดับไหน ยังแข่งกันเรื่องลูกใครได้ดีกว่ากันด้วย

ฟู่กุ้ยกับเสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่ในบรรดาญาติๆของเจี่ยซิ่วฟางที่มีแต่คนธรรมดาแล้วเลย ต่อให้เป็นคนวัยเดียวกับพ่อเลี่ยวที่ทำงานในระดับเดียวกัน ลูกที่ทำได้ขนาดนี้โดยไม่พึ่งพ่อแม่มีอยู่ไม่มาก ดังนั้นเจี่ยซิ่วฟางจึงได้หน้าอยู่ตลอด

มีแต่ลูกชายที่สร้างความหนักใจให้ตลอด

“ต้าหลงไม่เรียนไม่ใช่เรื่องดีเหรอ? ก่อนหน้านี้เขาเคยคุยกับหมิงหลางว่าอยากเป็นทหาร”

“เป็นทหาร?! ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าสอบไม่ติดแล้วไปเป็นสักสองปีฆ่าเวลาแบบนั้นยังไม่เท่าไร แต่นี่สอบติดแล้วจะไปเป็นทำไม?”

“แม่ อยากมีเรื่องกับหนูเหรอ? เป็นทหารฆ่าเวลางั้นเหรอ? เสี่ยวเฉียงของหนูเป็นทหารแล้วไม่ดีตรงไหน? หนูยึดกระเป๋าไว้ดีกว่า ในเมื่อแม่ดูถูกลูกเขยขนาดนี้…”

เสี่ยวเชี่ยนทำท่าจะดึงกระเป๋ากลับ เจี่ยซิ่วฟางรีบแย่งเอากลับมาทาบที่ตัว

“เด็กคนนี้นี่อย่ามาทำเป็นตีความมั่ว! ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น หมิงหลางไม่เหมือนกันสักหน่อย เขาเป็นทหารสัญญาบัตรอนาคตไกล แต่น้องแกไม่ได้จบโรงเรียนทหารเสียหน่อย ไปเป็นทหารก็เป็นได้แค่ทหารระดับล่าง ออกมาจะไปมีอนาคตอะไร?”

“เครื่องสำอางก็ไม่ให้แล้ว นี่แม่กล้าพูดกับสะใภ้ทหารว่าเป็นทหารแล้วไม่มีอนาคตเหรอ? ปู่ของเสี่ยวเฉียงเมื่อก่อนก็เคยเป็นทหารระดับล่างสวมรองเท้าฟางสร้างผลงานยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้การเสียสละของพวกเขา พวกเราจะใช้ชีวิตได้มีความสุขอย่างทุกวันนี้เหรอ?”

คำพูดแต่ละประโยคของเสี่ยวเชี่ยนนั้นเสียดแทงใจแม่ตัวเอง เจี่ยซิ่วฟางทั้งเซ็งทั้งพูดไม่ออก

“แกรู้ดีแก่ใจว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…สถานการณ์ของน้องแกจะไปเหมือนกับตระกูลอวี๋ได้ไง?”

เจี่ยซิ่วฟางพูดจาไม่เป็น พอร้อนใจก็เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก

“แม่อยากจะบอกว่า คนเก่งไปที่ไหนก็โดดเด่น? คนขี้เกียจไปอยู่ไหนชีวิตก็แย่?” เสี่ยวเชี่ยนสรุปได้ตรงเป๊ะ เจี่ยซิ่วฟางเอามือตีหัวตัวเอง หมายความแบบนั้นนั่นแหละ!

ฐานะของตระกูลอวี๋มาจากไหน? ล้วนมาจากการพึ่งพาตัวเอง ต่อสู้ด้วยความยากลำบากทั้งนั้น รุ่นหลานอย่างอวี๋หมิงหลางสอบเข้าโรงเรียนทหารด้วยตัวเอง ทำงานได้เลื่อนขั้นก็ด้วยฝีมือตัวเอง บวกกับความฉลาดที่เป็นกรรมพันธุ์สืบทอดกันมา จึงไม่แปลกที่จะโดดเด่นกว่าคนอื่น

ใครๆต่างคิดว่าลูกตัวเองดีทั้งนั้น เจี่ยซิ่วฟางเองก็รักลูกชาย แต่รักก็ส่วนรัก เรื่องต่างๆต้องมองตามความเป็นจริง ต้าหลงกับอวี๋หมิงหลางเทียบกันแทบไม่ได้ เจี่ยซิ่วฟางเคยได้ยินพ่อเลี่ยวบอกว่า ตอนนี้ทหารทั่วไปในกองทัพถ้าอยากจะก้าวหน้าก็ต้องเก่งมากๆ เพราะตอนนี้ทางกองทัพตั้งเงื่อนไขเรื่องวุฒิการศึกษาด้วย หากต้าหลงอยากได้ดีในการเป็นทหารไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน

“ในความเป็นจริงหนูกับเสี่ยวเฉียงเคยคุยเรื่องนี้กันไว้นานแล้ว แม่ฟังหนูวิเคราะห์นะ…”

เสี่ยวเชี่ยนพูดเรื่องข้อดีข้อเสียออกมา ตอนแรกเจี่ยซิ่วฟางฟังแล้วก็รู้สึกไม่น่าไว้ใจเท่าไร แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเข้าที

“…ก็เหมือนที่หนูพูดไป คนอย่างต้าหลงน่ะ ส่งเข้าไปเรียนมหาลัย ถ้าเจอสภาพแวดล้อมแย่หน่อย ก็จะเที่ยวทำตัวอวดรวยทำตัวเท่ห์ไปวันๆ ทะเลาะกันแย่งผู้หญิง ยังไม่ทันเรียนจบมีหวังได้อุ้มหลานมาให้แม่เลี้ยงแน่ นี่ยังไม่เท่าไรนะ ถ้าไปมีเรื่องจนถูกตัดแขนตัดขาหรือไม่ก็ไปทำคนอื่นแขนจขาดขาขาดขึ้นมา…”

เจี่ยซิ่วฟางได้ฟังเสี่ยวเชี่ยนอธิบายจนเห็นภาพขนาดนั้นก็เริ่มกลัว “ไม่มีทาง น้องแกไม่ใช่คนแบบนั้น…”

“ไม่ใช่เหรอ? แล้วปกติต้าหลงใช้เงินมือเติบไหมล่ะ? เคยคิดอยากให้ใช้เส้นสายฝากเข้าทำงานไหม? เห็นคนอื่นขับรถหรูต้าหลงมีท่าทางยังไง? ดวงตาลุกวาวบอกว่ารถดีอย่างนั้นอย่างนี้อยากมีไว้ขับสักคัน?”

เรื่องเปลี่ยนความคิดคนเป็นงานถนัดของประธานเชี่ยน ขอแค่พูดเรื่องที่เป็นจริงไม่กี่เรื่อง หลังจากนั้นจะหลอกอะไรก็ง่ายแล้ว

ตามคาด เจี่ยซิ่วฟางนิ่งไปสักพัก ไม่พูดอะไรอีก

เสี่ยวเชี่ยนพูดเสริมต่อ

“แม่อยากให้น้องใช้เวลาไม่กี่ปีเติบโตทางด้านจิตใจ หรืออยากเห็นน้องใช้ชีวิตแบบนักเลงไปวันๆ?”

“แต่น้องแกสอบติดแล้วนะ ถ้าไม่ไป…” เจี่ยซิ่วฟางยังคงลังเล

“ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่ให้เรียน ก็แค่ให้พักไว้ก่อนแล้วไปเป็นทหาร รอฝึกทหารเสร็จสองปีถ้าน้องอยากเรียนก็ให้กลับไปเรียน แต่ถ้าสามารถสอบเข้าโรงเรียนทหารได้ แบบนั้นไม่ยิ่งเก่งกว่าเหรอ”

“ถ้ายังจะกลับไปเรียนแล้วจะเสียเวลาสองปีทำไม…ถ้าน้องแกไปเป็นทหารสองปีแล้วค่อยเข้าไปเรียนอายุก็มากกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเรื่องทำงานหรือหาคู่มันดูเสียเปรียบทั้งนั้น” เจี่ยซิ่วฟางเป็นห่วงอนาคตของลูกชาย

เสี่ยวเชี่ยนกะไว้แล้วว่าแม่ต้องคิดแบบนี้ เธอจึงค้นกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อนต่อ

“แกพกอะไรมาให้ฉันอีก? บอกแล้วว่าที่บ้านไม่ขาดอะไร ไม่ต้องเอาอะไรมา”

“หนูว่าแม่ควรดูสิ่งนี้หน่อย” เสี่ยวเชี่ยนหยิบหนังสือรวมข่าวออกมา

นี่เป็นข้อมูลข่าวต่างๆที่ไป๋จิ่นรวบรวมไว้ มีเพื่อนเป็นนักข่าวก็ดีแบบนี้ ข้อมูลแน่น

“อะไรน่ะ? ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ เอาไปให้อาเลี่ยวของแกไป” เจี่ยซิ่วฟางเห็นลูกสาวหยิบหนังสือขึ้นมาก็รีบบอกปัด ที่ลูกชายอ่านหนังสือแล้วปวดหัวคงได้จากเธอมา

“แม่ควรอ่านมันหน่อย มา เดือนนี้ปีนี้ ลูกเศรษฐีก่อคดีเมาแล้วขับทำให้มีคนตายสองเจ็บหนึ่ง แม่ดูรูปถ่ายจากเหตุการณ์นั้นสิ จึ๊ๆๆ”

เสี่ยวเชี่ยนพูดพลางชี้ไปที่รูป เจี่ยซิ่วฟางดูแล้วก็กลัว เสี่ยวเชี่ยนพลิกหน้าถัดไปพลางพูด “ดูข่าวนี้ นักศึกษาชายมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยเสพยาเสพติด เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินให้จึงก่อคดีชิงทรัพย์ พอถูกจับได้ก็สำนึกผิด เดี๋ยวหนูอ่านให้ฟังนะ ‘ผมเกลียดแม่ที่สุดทำไมไม่สั่งสอนผมให้ดี!’แล้วก็มีนี่อีก—”

“พอได้แล้ว!”

หนังสือรวมข่าวเล่มหนานี้สร้างอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี เสี่ยวเชี่ยนเลือกเอาเฉพาะข่าววัยรุ่นที่ขาดการดูแลจากผู้ปกครองจนก่อคดีใหญ่ๆ เล่นเอาเจี่ยซิ่วฟางตกใจหน้าซีด ข่าวพวกนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ไป๋จิ่นไปสัมภาษณ์เอง ดังนั้นรูปถ่ายทั้งหลายที่ไป๋จิ่นถ่ายจึงเป็นรูปค่อนข้างน่ากลัว บางรูปเป็นรูปนองเลือดสภาพสยดสยองไม่ได้ถูกรวมไว้ในนี้ น่ากลัวเกินไป

เสี่ยวเชี่ยนต้องการผลแบบนี้นี่แหละ พอเห็นแม่ตัวเองดูกลัวมาก เธอก็พลิกหนังสือไปหน้าท้ายๆที่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนช่วงแรก เป็นข่าวเกี่ยวกับทหารทั้งหมด

“แล้วแม่ดูนี่ หมิงหลางตัดเอาข่าวมาจากในค่ายตัวเอง นี่เป็นการเปรียบเทียบภาพคนก่อนเป็นทหารกับหลังเป็นทหาร แถมยังมีเรื่องราวต่างๆของแต่ละบุคคล แม่ดูสิ แต่ละคนก่อนเข้าไปอยู่ในค่ายทำตัวผ่าเหล่าแค่ไหน พอเข้าไปฝึกนะ กลายเป็นคนเก่งขึ้นมาทันที”

เจี่ยซิ่วฟางเหลือบมอง แต่ละคนก่อนเป็นทหาร สภาพอย่างกับนักเลง หลังเข้าไปเป็นทหารตัดผมหัวเกรียนแต่งตัวเรียบร้อย ดูมีชีวิตชีวา เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน สลัดคราบนักเลงไปจนหมดสิ้น

“แต่เคยมีคนพูดไว้ไม่ใช่เหรอว่า ทหารมีแต่ป่าเถื่อน ออกมาไม่เห็นมีอนาคต…”

เอ๊ะ? เจี่ยซิ่วฟางเบรคทัน รังสีอำมหิตมาจากไหนกัน?

“ใครพูด? บอกหนูมาเดี๋ยวนี้ จะให้เสี่ยวเฉียงไปจัดการ จะให้จับมัดไว้กับจักรยานแล้วลากไป จากนั้นจะเอาหนังสติ๊กไปยิงกระจกบ้านมัน! แม่ลองคิดดูสิ ช่วยน้ำท่วม งานเสี่ยงอันตรายต่างๆใครไปเป็นแนวหน้า? เกิดแผ่นดินไหวใครเข้าช่วย? เกิดสงครามใครปกป้องประเทศ? ได้สัมผัสกับทหารที่แท้จริงอยู่กี่คนถึงได้กล้าพูดแบบนี้ออกมา? เห็นพวกทหารที่ไม่ได้เรื่องไม่กี่คนแล้วจะมาเหมารวมทั้งหมดเหรอ? ทหารเก่งๆเขาจะออกจากกองทัพกันง่ายๆไหมล่ะ? คนพวกนั้นเคยเจอแบบไหนมาแล้วทำพูด? คนอื่นจะเห็นด้วยก็ช่าง แต่แม่จะมาพูดมั่วๆไม่ได้นะ”