ตอนที่ 226 ไม้หวงฮัวหลี

หลังจากที่หยางโปและคนอื่นๆเดินเข้าไปด้านในแล้ว หยางโปก็พบว่ามีโซฟาไม้สีแดงวางอยู่ด้านในแถมยังมีโต๊ะชาที่ทำมาจากไม้หวงฮัวหลี แถมยังมีดอกไม้วางอยู่บนนั้นด้วย

หยางโปมองของตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพบว่ามีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู๊ด เขาจึงหันไปถามตาเฒ่าเว่ยว่า “พวกคุณไม่ได้พักอยู่ที่นี่เหรอครับ?”

“อยู่สิ” ตาเฒ่าเว่ยพูดพร้อมกับดึงม่านให้เปิดออกพร้อมกับหันไปหาหยางโป “ห้องนอนพวกเราอยู่ห้องข้างๆนี่แหละ”

หยางโปหันไปมองก่อนที่จะพบว่ามีเตียงไม้เก่าๆแถมด้านบนเตียงยังมีผ้านวมและหมอนที่วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบแถมห้องก็ดูสะอาดมากอีกด้วย

 

หยางโปดูก็รู้แล้วว่าของที่อยู่ในนี้มากกว่าครึ่งเป็นของปลอมแถมเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ด้วย มีเพียงลัวย่าวหัวเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจแถมยังจ้องมองเครื่องพอร์ชเลนตรงหน้าไม่วางตา

เจ้าอ้วนหลิวที่กำลังเดินอยู่รอบบ้านก็เดินกลับมา

หยางโปหยิบกล่องบุหรี่ออกมาก่อนที่จะยื่นออกมาให้ตาเฒ่าเว่ย “เป็นบ้านของบรรพบุรุษของคุณเหรอครับ?”

ตาเฒ่าเว่ยยิ้ม “ใช่ ก่อนหน้านี้บ้านนี้เป็นบ้านส่วนตัวเนี่ยแหละ แต่หลังจากนั้นมันถูกเอามาใช้เป็นถนนสาธารณะแถมยังมีคนเข้ามาอยู่เยอะมากตอนนั้นในบ้านวุ่นวายไปหมดแถมยังมีการปฏิรูปประเทศฉันก็เลยได้บ้านกลับมา ยังไงก็เป็นบ้านของบรรพบุรุษฉันไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่ๆ”

 

หยางโปยิ้มก่อนที่จะหันไปมองรอบๆ “บ้านนี้พอเข้ามาดูเหมือนว่าจะไม่เกิน 300 ตารางวาเลยนะครับเนี่ย? “

ตาเฒ่าเว่ยพยักหน้า “โฉนดที่ดินมันเขียนไว้ว่ามีขนาดประมาณ 320 ตารางวา รูปแบบของบ้านนี้ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง การตกแต่งภายในนี้ก็เป็นของที่มาจากบรรพบุรุษด้วย”

หยางโปพยักหน้าแต่กลับไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่าย บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองแถมการเดินทางก็ค่อนข้างสะดวก หากได้บ้านหลังนี้มาและใช้เงินเพื่อเพิ่มเติมตกแต่งอีกสักเล็กน้อยคงจะดูดีมากอย่างแน่นอน

ในตอนนั้นเองลัวย่าวหัวก็ดูเหมือนว่าจะสนใจโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าซึ่งมีขนาดราวๆ 1 ตารางวาซึ่งทำมาจากไม้หวงฮัวหลี เขาจึงหันมาหาหยางโปพร้อมกับโบกมือเรียกเพื่อให้หยางโปเข้ามาช่วยดูให้

 

ในเวลานั้นเองตาเฒ่าเว่ยที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยิ้มออกมา

“โต๊ะตัวนี้เป็นยังไงบ้าง?” ลัวย่าวหัวกระซิบ

หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะยื่นมือไปลูบ เมื่อนึกได้ว่าหลังจากนี้ลัวย่าวหัวจะเปิดงานประมูลเขาก็พูดขึ้นมาว่า “นายยื่นมือมาลองสัมผัสเหมือนกับฉันสิ นี่เป็นวิธีการประเมินขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว”

ลัวย่าวหัวได้ยินแบบนั้นเขาก็ทำตามทันที

หยางโปอธิบาย “ปกติแล้วไม้หวงฮัวหลีมักจะเป็นไม้หวงฮัวหลีจากไห่หนาน แต่ที่จะเห็นได้บ่อยที่สุดก็จะเป็นไม้หวงฮัวหลีจากเวียดนาม แม้ว่ามันจะอยู่ในละติจูดเดียวกันแต่ไม้จากสองที่นี่มีความต่างกันอย่างมากเลยล่ะ”

 

“ไม้หวงฮัวหลีจากไห่หนานของจริงจะมีความมันวาวแถมยังมีผิวลื่นเหมือนกับผิวเด็ก แต่ไม้ของเวียดนามจะมีความหยาบกว่า เมื่อลองสัมผัสแล้วจะรู้ได้ว่ามันยังมีความสากอยู่”

พูดจบหยางโปก็หันไปมองลัวย่าวหัวเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ทันใดนั้นลัวย่าวหัวก็ชะงักไปเล็กน้อย “แล้วความรู้สึกของความลื่นมันวาวกับความหยาบมันต่างกันยังไงล่ะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าของชิ้นนี้มันก็ลื่นมือแถมยังมันวาวด้วย”

เจ้าอ้วนหลิวที่อยู่ข้างๆได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ย่าวหัวยังไม่มีประสบการณ์ ฉันว่านายอธิบายด้วยวิธีอื่นเถอะ”

หยางโปยิ้มและพยายามที่จะพูดด้วยความใจเย็น “เพราะนายไม่เคยสัมผัสมันหรือเคยเห็นมันมาก่อนไง นายเลยไม่สามารถที่จะแยกความต่างของมันได้ งั้นเราลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการดมแทนก็แล้วกัน”

 

พูดจบหยางโปก็ย่อตัวลงพร้อมกับใช้จมูกของเขาดมไปที่โต๊ะ “ไม้ของเวียนดนามจะมีกลิ่นจางๆ ส่วนของไห่หนานกลิ่นจะแรงกว่า ซึ่งมันเป็นกลิ่นคล้ายๆกันกับตอนที่ดมกลิ่นยาจีนแล้วรู้สึกสดชื่นนั่นแหละ”

ลัวย่าวหัวรีบก้มลงดมก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น “ฉันว่าโต๊ะนี้กลิ่นจางๆนะ”

เจ้าอ้วนหลิวยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หยางโปอธิบายต่อ “เพราะว่าเฟอร์นิเจอร์มีมานานแล้วด้านนอกมีชั้นเคลือบไว้ซึ่งเกิดจากการออกซิเดชั่นเป็นเวลานาน มันเลยทำให้กลิ่นแตกต่างออกไปจากความเป็นจริง ดังนั้นตอนที่เราพิจารณาและตัดสินใจจึงต้องใช้ทั้งสองอย่างมาประกอบกัน”

 

พูดจบหยางโปก็ชี้ไปที่โต๊ะตรงหน้า “สำหรับคนที่มีประสบการณ์แล้วการใช้สายตามองเป็นวิธีการที่ดีที่สุด จุดเด่นของไม้ของไห่หนานคือตรงกลางจะตันมีจุดสีดำๆแล้วก็จะมีทั้งจุดที่เป็นขรุขระและผิวละเอียด แต่สำหรับไม้เวียดนามจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะรอบๆของจุดตรงกลางจะกลวงเป็นโพรง”

ลัวย่าวหัวจ้องอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วสรุปว่าของชิ้นนี้มันตันหรือเป็นโพรงกันแน่? ทำไมฉันดูเหมือนว่ามันจะตันเลย แถมผลที่ออกมามันก็ไม่สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ฉันประเมินด้วย”

หยางโป “นายไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ประเมินวัตถุโบราณเลยนะ สายตาของนายเนี่ย”

ลัวย่าวหัวยิ้ม “ถ้าฉันมีปัญญาประเมินด้วยตัวเองได้ นายคิดว่าฉันเปิดงานประมูลแล้วฉันยังจำเป็นต้องมีนายอีกไหมล่ะ?”

 

เจ้าอ้วนหลิวตกตะลึง “พวกนายหุ้นกันเปิดงานประมูลงั้นเหรอ?”

ลัวย่าวหัวพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราแบ่งหน้าที่กันคนนึงรับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการทั้งหมด อีกคนเป็นฝ่ายรับผิดชอบเรื่องเทคนิคน่ะ”

พูดจบลัวย่าวหัวก็หันไปหาหยางโป “เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วว่าฉันไม่เหมาะกับเรื่องพวกนี้ นายไม่ต้องเวิ่นเว้อให้เสียเวลา ฉันว่านายบอกมาตรงๆเลยดีกว่า”

หยางโป “ที่จริงฉันก็แค่อยากจะสอนเทคนิคติดตัวให้นายเล็กๆน้อยๆ โต๊ะตัวนี้ไม่ใช่ไม้ที่มาจากไห่หนานแล้วก็ไม่ได้มาจากเวียดนามด้วย แต่มันเป็นโต๊ะจากไม้พุทธาจีนที่มีหวงฮัวหลีเคลือบอีกชั้นยังไงล่ะ”

 

ลัวย่าวหัวจ้องโต๊ะเล็กๆตรงหน้าด้วยท่าทางตกตะลึงก่อนที่จะยื่นมือออกไปเคาะ 2 ครั้งจนเกิดเสียงดังขึ้นทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกว่ามันมีความกลวงอยู่ตรงกลาง

ตาเฒ่าเว่ยได้ยินหยางโปพูดแบบนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “โต๊ะตัวนี้แพงมาก เป็นไม้ไห่หวงที่ใช้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ อย่าทำให้มันพังล่ะ”

ลัวย่าวหัวยิ้ม “ถ้ามันเป็นไม้ไห่หวงจริงๆคุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหาย ผมว่าเรามาพนันกันดีไหมล่ะว่าถ้าโต๊ะตัวนี้ไม่ได้ทำมาจากไม้ไห่หวงจริงๆ คุณจะให้ผมเลือกของชิ้นไหนภายในบ้านนี้ก็ได้”

อีกฝ่ายส่ายหน้าทันที “ไม่ฉันไม่พนันอะไรทั้งนั้นแหละ! ที่นี่เป็นที่ของฉันของในนี้ก็เป็นของของฉัน ทำไมฉันต้องมาพนันกับนายด้วย”

 

ลัวย่าวหัวยิ้มหึหึออกมาพร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีเรื่องตื่นเต้นกำลังรอเขาอยู่

หยางโปยังคงเงียบพร้อมกับคิดในใจต่อว่าเขาจะสามารถซื้อบ้านนี้ได้ยังไง สำหรับซื่อเหอย่วน(เรือนสี่ประสาน) นั้นเป็นของหายากแถมตอนนี้ที่ปักกิ่งก็ไม่อนุญาตให้สร้างแบบซื่อเหอย่วนแล้วและมีโอกาสที่จะถูกย้ายและรื้อถอนออกได้ตลอดเวลา จึงทำให้จำนวนของซื่อเหอย่วนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

ถ้าหากเขาสามารถใช้ซื่อเหอย่วนในการลงทุนได้ก็สามารถที่จะนำมาพักอาศัยเองหรือไม่ก็อาจจะปล่อยเช่า มันคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีมากแน่ๆ แต่ตอนนี้ปัญหาติดอยู่ตรงที่ว่าตาเฒ่าเว่ยที่อยู่ตรงหน้าอาจจะไม่ยินยอมขายมันให้กับเขา