บทที่ 1311+1312 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 1311 ไปหานาง 3
ความเจ็บปวดจากการแขนขาดปวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูก ทว่าไป๋หลี่เช่อก็เป็นชายชาตรีเช่นกัน มีจิตวิญญาณกาต่อสู้เยี่ยงหมาป่าเดียวดาย ไม่ได้เจ็บจนสลบไป เขากัดฟันกลืนโอสถ ค่อยเป็นค่อยไป ใช้ผ้ารัดแขนที่ขาดไว้ จับอาวุธด้วยมือซ้าย เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง…
พยัคฆ์ร้ายก็ยังเกรงฝูงหมาป่า นับประสาอะไรกับหมาป่าที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีฝูงนี้เล่า?
ผนวกกับกู้ซีจิ่วสามารถไปมาได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ต่อให้มังกรปีศาจจะทรงอำนาจมากแค่ไหน สุดท้ายก็เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว…
มังกรชนิดนี้ดุร้ายยิ่งนัก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเสียเปรียบแล้ว ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีเลย ส่งผลให้บนร่างมีบาดแผลโชกเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อย่นระยะเวลาต่อสู้ให้เร็วขึ้น กู้ซีจิ่วจึงทายาพิษหลายอย่างไว้บนอาวุธด้วย ถ้าชนิดหนึ่งไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้อีกชนิดหนึ่ง ทดลองกับร่างของมังกรปีศาจ…
และในขณะนี้เอง ลู่อู๋น้อยได้ตามมาถึงแล้ว
เจ้าตัวน้อยคึกคักยิ่ง พอมาถึงก็กระโจนเข้าร่วมการต่อสู้ทันที!
เจ้าตัวเล็กถึงแม้จะตัวไม่ใหญ่ เมื่อเทียบกับมังกรปีศาจตัวนี้แล้ว มันก็เหมือนนกกระจอกที่ยืนอยู่ข้างช้าง แต่มันกลับมีความสามารถในการต่อสู้ยิ่งนัก พวกหางทั้งเก้าโบกสะบัดดั่งแส้ยาว ทุกครั้งที่ฟาดก็จะมีลำแสงสายหนึ่งเฆี่ยนลงบนผิวของมังกรปีศาจ ทำให้คนมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
อีกทั้งมันก็รู้วิธีต่อสู้ประสานกับกู้ซีจิ่วยิ่งนัก เพียงเจ้าสัตว์น้อยตัวนี้ตัวเดียวก็เทียบได้กับยอดฝีมือหกเจ็ดคนแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างไร้ข้อกังขา ผ่านไปสิบนาที มังกรปีศาจก็ถูกสังหาร ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ชักกระตุกสองสามครั้งแล้วแน่นิ่งไป
ลู่อู๋น้อยปรีดายิ่ง กระโจนข้าใส่ศีรษะของมังกรปีศาจอย่างคุ้นเคย พร้อมตวัดกรงเล็บเปิดกะโหลกมังกรปีศาจ ล้วงเอาแก่นพลังด้านในออกมา ยัดใส่ปากแล้วกลืนลงไปทันที
ฝูงชนมองตาค้างอ้าปากหวอ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลู่อู๋น้อยล่าสัตว์ ไม่นึกเลยว่ามันจะร้ายกาจปานนี้
หลังจากลู่อู๋น้อยเขมือบแก่นพลังเข้าไปถึงนึกขึ้นได้ว่าตนจะมาทำอะไร จึงร้องแง้วๆ แอ้วๆ ใส่กู้ซีจิ่ง พวงหางทั้งเก้าโบกสะบัดบิดม้วน คล้ายจะบ่งชี้ถึงใครบางคน
เนื่องจากไม่มีเจ้าหอยยักษ์คอยเป็นล่ามอยู่ข้างตัว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เข้าใจเลยว่ามันอยากพูดอะไร เวลานี้เธอไม่มีแก่ใจมาคาดเดา ดังนั้นเธอเลยตบหัวลู่อู๋น้อยเบาๆ “เด็กดี กินแก่นปราณแล้วต้องย่อยนะ ไม่เช่นนั้นเส้นระเลือดจะระเบิดเอา รีบไปโคจรพลังย่อยเถอะ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้…”
ผละจากมันแล้วเดินไปหยุดข้างกายไป๋หลี่เช่อ ไป๋หลี่เช่อเจ็บจนหน้าซีดเผือดแล้ว ทว่ามือกลับกอดแขนที่ขาดข้างนั้นของตนไว้ เขาไม่อยากเป็นผู้กล้าแขนเดียว มองกู้ซีจิ่วอย่างเปี่ยมความหวัง “ซีจิ่ว แขนขาดๆ นี่สามารถต่อคืนได้จริงหรือ?“
กู้ซีจิ่วตรวจสอบตอแขนที่ขาดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “ได้!”
ถ้าคิดจะต่อแขนที่ขาดจำเป็นต้องทำการผ่าตัดภายในหนึ่งชั่วโมง และการผ่าตัดย่อมไม่อาจทำในแดนรกร้างกันดารเช่นนี้ได้ ต้องกลับไปที่หมู่บ้าน…
เรื่องราวเร่งด่วน ยามนี้กู้ซีจิ่วจึงไม่แยแสข้อห้ามระหว่างชายหญิงอันใดแล้ว ขณะที่กำลังพยุงไป๋หลี่เช่อเตรียมใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไป เจ้าหอยยักษ์ก็กลิ้งฝุ่นตลบมาแต่ไกล “เจ้านาย! ข้าพาผู้ช่วยมาให้ท่านแล้ว…”
พริบตาเดียวก็มาถึง ทันใดนั้นเมื่อมองเห็นมังกรปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้ว ก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “เอ๋ เจ้านาย พวกท่านสังหารมันไปแล้ว! เจ้านาย ท่านร้ายกาจจริงๆ!”
ยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมไม่มีแก่ใจมาพูดจาไร้สาระกับเจ้าหอยยักษ์ ดังนั้นเธอจึงสั่งการเพียงประโยคเดียว “เจ้าหอยยักษ์ ประเดี๋ยวเจ้าเลาะเอ็นของมังกรปีศาจตัวนี้ออกมาด้วย ข้าต้องใช้”
ไม่รอให้เจ้าหอยยักษ์ได้เปิดปากอีก เธอก็ดึงแขนของไป๋หลี่เช่อ “ไปกับข้า!” เคลื่อนย้ายหายไปทันที
เจ้าหอยยักษ์ทึ่มทื่อไปแล้ว…
มันอ้าฝาอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง จากไปเช่นนี้เลยรึ?!
————————————————————————————-
บทที่ 1312 ท่านมาดูอาการให้เขาก่อน!
มันมองเข้าไปในฝาแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ พบว่าตี้ฝูอีที่นั่งสมาธิอยู่ด้านตลอดเพิ่งจะลุกขึ้นยืน มองทิศทางที่กู้ซีจิ่วหายลับไปด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวอย่างยิ่ง…
เจ้าหอยยักษ์กระแอมคราหนึ่ง “นาง…นางรีบร้อนต้องการช่วยชีวิตคน คงจะมองไม่เห็นท่าน เอาเช่นนี้แล้วกัน…ข้าบรรทุกท่านกลับไปอีกรอบดีไหม?”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร ทว่าร่างกายกลับซวนเซเล็กน้อย เหม่อมองออกไปไกลๆ อย่างเงียบงัน
ยามนี้ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนรอบข้างก็กลับมาแล้วเช่นกัน มองตี้ฝูอีที่อยู่ในฝาเจ้าหอยยักษ์ พวกเขายังคงค่อนข้างฉงนยิ่งนัก “ผู้นี้คือ?”
เจ้าหอยยักษ์เคยเปิดโปงฐานะของตี้ฝูอีจนถูกผู้อื่นล้อมโจมตีมาแล้ว ดังนั้นหนนี้มันจึงมีบทเรียนแล้ว กล่าวอย่างคลุมเครือประโยคเดียวว่า “เขาคือผู้มาใหม่…”
ไม่รอให้ฝูงชนได้ซักถามต่อความยาวสาวความยืด มันก็เสริมขึ้นมาอีกประโยค “และเป็นคู่หมั้นคู่หมายของนายข้าด้วย”
ตกตะลึง คือสีหน้าของฝูงชน
สงบนิ่ง คือการแสดงออกของตี้ฝูอี เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว “กลับไป!”
“ขอรับ!” เจ้าหอยยักษ์ตอบรับ หันหลังกลับทันที ตี้ฝูอีที่อยู่ในฝามันพลันโซเซ กระอักโลหิตออกมาในทันใด พ่นไปทั่วร่างกายที่อยู่ในฝาของเจ้าหอยยักษ์
เจ้าหอยยักษ์สะดุ้งโหยง พอก้มหน้ามองก็เห็นสีหน้าของตี้ฝูอีซีดขาวดั่งหิมะ หลับตาแน่นิ่ง
ถึงแม้เจ้าหอยยักษ์จะไม่รู้วิชาแพทย์ แต่มันก็สามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งอ่อนแอจากกลิ่นอายของมนุษย์ได้ กลิ่นอายของท่านตี้ฝูอีอ่อนแอยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่ามีสัญญาณของการสิ้นชีพอยู่จริงๆ…
เจ้าหอยยักษ์โง่งมไปแล้ว ใช้รยางค์เท้าตรวจสอบร่างเขาอย่างระมัดระวัง แทบจะสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจตี้ฝูอีไม่ได้เลย
นี่เป็นเรื่องจริงหรือว่าเสแสร้ง?
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีช่วงเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้ด้วยหรือ?!
เป็นไปไม่ได้กระมัง? เขาแข็งแกร่งไร้พ่ายมาโดยตลอดนะ จะอ่อนแอจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เมื่อกี้เขายังปานพยัคฆ์ผาดมังกรโผนอยู่เลย ยังจับยอดฝีมือคนหนึ่งมาเป็นตัวประกันได้สบายๆ ด้วย…
เจ้าหอยยักษ์ใช้รยางค์ผลักตี้ฝูอีต่อเนื่องกันถึงสามครั้ง ผลคือเขายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม สีหน้าก็ซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ โลหิตที่ไหลซึมออกมาจากมุมปากมีไม่น้อยที่เปรอะเปื้อนใบหน้าเขา เขาก็ไม่ยกมือขึ้นมาเช็ดเลยเหมือนกัน…
ชีวิตนี้เจ้าหอยยักษ์ยังไม่เคยเห็นตี้ฝูอีตกอยู่ในสภาพจนตรอกถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ในที่สุดมันก็ตระหนกแล้ว ไม่สนใจคำสั่งที่ได้ยินจากเจ้านายว่าให้ไปเลาะเอ็นมังกรแล้ว หุบฝาแล้วแล่นกลับไปทันที
เจ้านาย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาการหนักแล้ว!
ท่านมาดูอาการให้เขาก่อน!
ครั้งนี้ตี้ฝูอีไม่ได้เสแสร้งจริงๆ ต้นถันภังคีเป็นต้นไม้จู้จี้ที่ไม่ยอมบกพร่องในมาตรฐาน ผู้ที่ไม่ตกอยู่ในอันตรายจนใกล้สิ้นชีพจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นตี้ฝูอีตกอยู่ในอันตรายจนใกล้สิ้นชีพจริงๆ ถึงเข้ามาได้
ถึงแม้เขาจะวางแผนไว้ล่วงหน้า ตระเตรียมโอสถรักษาชีวิตไว้ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กินลงไปแล้ว แต่บาดแผลทั้งหมดบนร่างกลับไม่ทุเลาลงเลยสักนิด อ่อนแอจนถึงขีดสุดอย่างแท้จริง
ดูเหมือนเขาจะควบคุมคนอื่นได้สบายๆ ทว่าเขาต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ไป ถึงทำให้คนทั้งหลายตกตะลึง แต่เขาก็เป็นม้าตีนปลายแล้วจริงๆ เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดฝืนค้ำยันไว้เท่านั้น ในยามนั้นอย่าว่าแต่ยอดฝีมือเลย ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่แข็งแรงคนหนึ่งก็สามารถล้มเขาได้แล้ว!
เทพเป็นอมตะ แต่นั่นก็เป็นเพียงความแข็งแกร่งทางวิญญาณเท่านั้น ดวงวิญญาณไม่สูญสลาย เมื่อได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจริงๆ กายเนื้อของเขายังคงสูญสลายได้
เพียงแต่เขามีความสามารถในการประกอบกายเนื้อแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ได้ เมื่อกายเนื้อสิ้นชีพ ดวงวิญญาณต้องใช้เวลายี่สิบปีถึงจะประกอบร่างขึ้นใหม่ได้ และต้องฝึกฝนนับร้อยปีถึงจะฟื้นฟูพลังอย่างสมบูรณ์
และชีวิตนี้เขาก็ยังไม่เคย ‘ตาย’ มาก่อน ร่างนี้ยังคงเป็นร่างที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อน!
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่สนใจจริงๆ ว่ากายเนื้อของตนจะสิ้นชีพหรือไม่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่…
————————————————————————————-