บทที่ 442 การต่อสู้อันดุดัน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 442 การต่อสู้อันดุดัน! โดย Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อตระหนักได้ทันทีว่าชายทั้งสามเป็นใคร ชุดเกราะแปลกตาและนัยน์ตาสีแดงบ่งบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนภายในสหพันธรัฐ!

กระจ่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้คือผู้ใด

*เหล่าผู้ฝึกตนจากอารยธรรมภายนอก ผู้ก่อการร้ายบนดาวพุธ!*หวังเป่าเล่อสงบใจที่แตกตื่นลงได้อย่างประหลาดเมื่อทราบตัวตนของอีกฝ่ายรวมถึงภัยอันตรายที่คอยอยู่ บอกได้เลยว่าครั้งนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่เคยเจอมา

หากมีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ร่างกายและวิญญาณของชายหนุ่มคงจะแหลกสลายไม่มีชิ้นดี โชคดีที่อีกฝ่ายต้องการตัวเขาเป็นๆ แม้ว่าทั้งสามจะใช้คาถาตรึงร่างตนไว้ แต่ก็ไม่ได้คุมจิตแต่อย่างใด อาจเพราะพวกเขามั่นใจในตัวเองมากหรือไม่ก็ด้วยเหตุผลอื่น ทำให้สติของหวังเป่าเล่อยังอยู่ครบแม้จะขยับร่างไม่ได้

เขาสามารถปล่อยเคล็ดวิชาลับได้ในสภาพสติครบสมบูรณ์เช่นนี้! แต่ก็ต้องระวังเรื่องจังหวะให้เหมาะสม ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรอคอยเวลาอย่างใจเย็นแม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายก็ตาม

ไม่ต้องรอนาน หลังจากความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในหัว หนึ่งในสามผู้ฝึกตนก็เดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะยกมือขวาเอื้อมมาคว้าตัวหวังเป่าเล่อไป!

ผู้ฝึกตนอีกสองคนไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะมีดอกบัวสีเขียวไม่ทราบระดับอยู่ในกาย แต่คนเหล่านั้นก็มองชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนหนึ่งเท่านั้น

ทั้งคู่จ้องมองไปยังส่วนลึกสุดของสุสาน ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

แม้จะอธิบายมายืดยาว แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ขณะที่ผู้ฝึกตนสองคนจ้องมองไปทางส่วนลึกสุดของสุสาน หวังเป่าเล่อร้องคำรามขึ้นในใจ

“เบิก…”

ขณะที่ถ้อยคำดังก้องอยู่ในหัว ฟากฟ้าของดาวอังคารก็สั่นคลอน เมฆาหมุนวนปั่นป่วนสรวงสวรรค์ พลังจากสุดขอบของจักรวาลพุ่งทะลุดวงดาราฟาดฝ่าเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

ทันใดที่พลังกล้าแกร่งปรากฏ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่จับตัวหวังเป่าเล่ออยู่ก็ผงะไป ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงขณะถอยหลังกลับตามสัญชาตญาณ ก่อนจะลั่นวาจาออกมาด้วยความตื่นตกใจ

“ใครกัน!”

ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวที่ตื่นตกใจ ชายหน้าตะขาบและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดถูกดึงสติกลับมาด้วยความตื่นตระหนก ทั้งคู่รีบถอยกลับพลางเอ่ยขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น!”

“พลังนี่มัน…”

เกิดเสียงปริแตกดังออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ คาถาที่สะกดชายหนุ่มไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขากลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ รีบพุ่งไปยังวงแหวนปราณเพื่อส่งสัญญาณเตือนทันทีที่ขยับตัวได้!

ทันทีที่เขาส่งสัญญาณเตือนสำเร็จ ผู้คนภายนอกเช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะเตรียมตัวพร้อมรบ เจ้านครเองก็จะเอะใจเมื่อพบการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร

แม้ชายหนุ่มจะรู้ดีว่าตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย แต่วิธีนี้ก็เป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้

ทันใดที่หวังเป่าเล่อกลับมาเคลื่อนไหวได้และกำลังจะพุ่งไปยังวงแหวนปราณเพื่อส่งสัญญาณเตือน ดวงตาของชายหน้าตะขาบก็พลันฉายแสง เขาตั้งผนึกฝ่ามือขึ้นแม้จะยังตื่นตกใจอยู่ เข็มทิศมายาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในทันที มันเรืองแสง ปล่อยลำแสงมากมายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวลำแสงก็ก่อตัวเป็นเกราะกำบังกันหวังเป่าเล่อไม่ให้เข้าใกล้วงแหวนปราณ

พลังที่น่าตื่นตะลึงนี้เป็นพลังลึกลับที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก เขาสัมผัสได้ว่าตนถูกตัดการเชื่อมต่อกับวงแหวนปราณในทันใด

“บ้าจริง!” ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ไม่มีเวลามัวครุ่นคิด เขาเตรียมหลบหนีออกไปขณะท่องเคล็ดวิชาอยู่ในใจ ดวงจิตจากสุดขอบจักรวาลตื่นขึ้นอีกครั้ง ความเร็วของหวังเป่าเล่อพวยพุ่งขึ้นจนเกินขีดจำกัด

แต่ชายหนุ่มก็มีระดับการฝึกตนเพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น…ขณะที่เขากำลังจะพุ่งออกจากสุสานไป ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งสามก็ได้สติ แม้จะตื่นตกใจและหวาดเกรงดวงจิตที่แกร่งกล้า แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงพลังหลอกๆ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งแค่นเสียงทางจมูกและยกมือหนาขึ้นโบก ทันใดนั้น พลังรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นในอากาศ ก่อนจะพวยพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มร่างกระตุก กระอักเลือดออกมาทางปาก อาภรณ์ของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นชุดเกราะอาวุธเวทระดับแปดที่แตกร้าว ชุดเกราะอาวุธเวทช่วยไม่ให้หวังเป่าเล่อตายจากการโจมตีเมื่อครู่ แต่อวัยวะต่างๆ ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก โชคดีที่ชายหนุ่มอึดพอและฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นเขาก็ยังกระอักเลือดออกมาหลายระลอกส่งผลให้สติเริ่มพร่ามัว

“เจ้านั่นใส่ชุดเกราะ! แถมยังมีอะไรแปลกๆ มาช่วยกันจัดการมันก่อน!”

“เจ้านั่นมีดอกบัวสีเขียวอยู่ในกาย แถมยังสามารถปล่อยพลังกล้าแกร่งได้ระดับนั้น…ไหนจะมาฝึกวิชาอยู่ที่นี่อีก อาจเป็นบุตรแห่งโชคลาภของอารยธรรมนี้ก็เป็นได้!” ชายหน้าตะขาบกล่าว ก่อนจะพุ่งตามหวังเป่าเล่อไป ผู้ฝึกตนอีกสองคนก็ตามหลังไปเช่นกัน แม้ทั้งสามจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณในขณะที่เป้าหมายอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ใจระดับขั้นการฝึกตนแล้ว

มูลค่าของหวังเป่าเล่อทวีคูณขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ

เมื่อทั้งสามร่วมมือกัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณยังรับมือได้ยาก แถมหวังเป่าเล่อก็ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ความตายกำลังคอยเขาอยู่ไม่ไกล ความสิ้นหวังฉายชัดในแววตา ระดับขั้นที่ต่างกันมากทำให้ชายหนุ่มไร้ซึ่งหนทางตอบโต้ ที่เขาทำได้มีเพียงเท่านี้จริงๆ

ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้องตายแน่หากโดนโจมตี!

ขณะที่กำลังเข้าตาจนเมื่อผู้ฝึกตนทั้งสามมาปรากฏตัวข้างๆ ทันใดนั้นก็มีแสงจ้าพวยพุ่งออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ หน้ากากนิลลอยออกมา พลันแสงสีดำก็ระเบิดออกส่องแสงจ้าก่อนจะก่อตัวเป็นร่างมายาของแม่นางน้อย!

แม่นางน้อยมีสีหน้าเคร่งเครียด นางยกมือขวาชี้นิ้วไปทางกลุ่มผู้ฝึกตน ตาข่ายมายาหลายชั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศก่อนจะร่วงใส่ชายทั้งสาม ขัดขวางพวกเขาไว้

เห็นได้ชัดว่าตาข่ายนี้คงจะกันไว้ได้แค่ชั่วครู่ นางมีพลังจำกัดเพียงเท่านี้ ร่างของนางเริ่มจางลง แม่นางน้อยกระซิบบอกเสียงแข็ง เสียงของนางดังก้องอยู่ในหัวชายหนุ่ม

“รีบหนีไป!”

หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปเมื่อได้ยินที่แม่นางน้อยพูด รู้ดีว่าการจะหนีออกไปข้างนอกเป็นคงยาก ถึงหนีออกไปได้ก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อ…

ชายหนุ่มไม่มีวิธีรับมือเพื่อประวิงเวลารอเจ้านครมาช่วย และหากหนีออกไปด้านนอกก็จะเป็นอันตรายกับนครใหม่ หวังเป่าเล่อรู้ว่าทั้งสามไม่อยากให้ตัวตนถูกเปิดเผยจากการที่พวกเขาพยายามห้ามไม่ให้ตนส่งสัญญาณเตือน หมายความว่าตราบใดที่ตัวตนของเหล่าผู้บุกรุกไม่ถูกเปิดโปง นครใหม่ก็จะไม่โดนทำลาย!

หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่น เหลือตัวเลือกอยู่เบื้องหน้าเพียงหนึ่งเดียว!

นั่นก็คือ…สุสานอาวุธเทพใต้ดิน!

แม่นางน้อยเคยบอกว่าวัตถุเวทแห่งความมืดเป็นของนาง ชายหนุ่มจึงคิดจะเสี่ยงดวงกับมันดู!

ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น หายใจถี่รัว เลิกล้มความตั้งใจที่จะหนีออกไป เขาหันกลับมุ่งหน้าทะยานลึกเข้าไปในสุสานด้วยความเร็วเต็มพิกัด โดยมีกำแพงน้ำแข็งที่ส่วนลึกสุดของสุสานเป็นจุดหมาย

“หวังเป่าเล่อ เจ้าจะไปไหน” ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว เสียงของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล

“แม่นางน้อย เจ้าช่วยคุมวัตถุเวทแห่งความมืดให้เปิดทางให้ข้าได้ไหม”

“ข้า…” แม่นางน้อยอึ้งไปในทันที

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสุสานพลางสนทนากับแม่นางน้อย ผู้บุกรุกทั้งสามก็ปลดปล่อยพลังทำลายตาข่ายของแม่นางน้อยทิ้งได้สำเร็จ

“ไอ้เวรนี่มีความลับอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้!”

“วิญญาณวุธนั่นมันอะไรกัน ดูอ่อนแอแต่แค่ชี้นิ้วก็สามารถหยุดพวกเราไว้ได้พักหนึ่ง!”

ชายทั้งสามหายใจถี่รัว ความหิวกระหายฉายชัดในแววตา การโจมตีที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาเมื่อครู่ทำให้นัยน์ตาของพวกเขาแดงก่ำไปด้วยความโลภ

พวกเขารีบพุ่งตามหวังเป่าเล่อไปในทันที นอกจากจะรวดเร็วมากแล้วยังใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตาทำให้เกือบจะตามชายหนุ่มได้ทัน หวังเป่าเล่อพบว่าตนไม่มีเวลาเหลือให้เจรจากับแม่น้อยอีก เขาร้องคำราม เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นขึ้น ปลดปล่อยแรงสูบดึงร่างของตนไปยังกำแพงเบื้องหน้า เขาเคลื่อนตัวเร็วเสียจนทิ้งร่างเงาไว้เบื้องหลัง ร่างกายของชายหนุ่มไม่สามารถทนความเร็วอันล้นเหลือนี้ได้ จึงเริ่มผุดรอยฉีกขาดมากมายขึ้นบนผิวขณะเคลื่อนตัวไป

เขากัดฟันทนความเจ็บปวด ยกกระบี่บินอาวุธเวทระดับเจ็ดโยนไปข้างหน้าพร้อมตะโกนสุดเสียง

“จงระเบิด!”

แรงระเบิดของอาวุธเวทระดับเจ็ดจะส่งคลื่นพลังมหาศาลไปทั่วสุสาน หากไม่มีใครหยุดการระเบิดหรือแรงปะทะหลังจากระเบิดไว้ แรงปะทะก็จะไปกระตุ้นวงแหวนปราณ อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปนอกสุสานทางอ้อมด้วย

หวังเป่าเล่อวางเดิมพันไว้ เขาเดิมพันกับการที่ชายทั้งสามไม่อยากให้ตัวตนถูกเปิดโปง พวกเขาจึงยอมให้อาวุธเวทระเบิดทำลายตัวเองไม่ได้ แล้วถ้าทั้งสามเลือกหยุดการระเบิด หวังเป่าเล่อก็จะมีเวลามากขึ้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่ามีค่ามากสำหรับชายหนุ่ม!