บทที่ 51 ถามผมแล้วหรือยัง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

วันรุ่งขึ้น ด้วยเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เย่เทียนก็ตื่นจากสภาวะการฝึกฝน

เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาก็เห็นสายเรียกเข้าของซูเหมย

บอกตามตรง แม้ทั้งสองจะแลกเบอร์กันนานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเหมยโทรหาเขาก่อน

“จะชวนเราไปเดทเหรอ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเย่เทียน มีความคิดที่ฟุ้งซ่านเกิดขึ้นในใจเขา แต่นึกคิดแล้วมันน่าละอายไปหน่อย เขาจึงเก็บรอยยิ้มนั้นไว้แล้วกดรับสาย

“เย่เทียน แก๊งเสือดำตามหาฉันแล้ว”

ทันทีที่กดรับสาย คำพูดเร่งรีบของซูเหมยก็ดังขึ้น

เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นและได้ยินความกังวลพร้อมกับความกลัวของซูเหมยจากน้ำเสียงของเธอ เขาจึงพูดปลอบใจเธอว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่แก๊งเสือดำ ผมไม่กลัวอยู่แล้ว แล้วเขามาหาคุณเมื่อไหร่?”

“เปล่า เขาแค่โทรหาฉัน เชิญฉันไปเจรจาที่สโมสรหาดน้ำหนาว……” ซูเหมยตอบอย่างใจเย็น

“สโมสรหาดน้ำหนาวเหรอ? แล้วคุณอยู่ไหน ผมไปหาคุณ เดี๋ยวเราเจอกันก่อนค่อยว่ากัน”

เย่เทียนพยักหน้า แต่ในใจรู้สึกแปลกๆ เพราะเขาทำหูไห่ไปขนาดนั้น ยังไงก็ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายอยู่แล้ว แล้วบอกว่าแค่จะเจรจาได้อย่างไร?

“ฉันรอคุณที่ใต้ตึกแล้ว”

เมื่อซูเหมยพูดจบ เย่เทียนก็ถึงกับขำในใจ เขารู้ว่าเธอคงกังวลมากเกินไป ถึงได้มาเร็วขนาดนี้

ดังนั้น เย่เทียนจึงไม่พูดอะไรมาก หลังจากวางสายแล้วเขาก็หยิบเสื้อเชิ้ตออกมาสวมใส่ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยเขาก็เดินออกจากห้องทันที

และเมื่อเดินออกมา เขาก็เจอรถอาวดี้สีดำรุ่น A8 ของซูเหมยจอดอยู่ข้างถนน เขาจึงเดินเข้าไปแล้วเปิดประตูรถออก และในขณะนั้น หญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามและมีเสน่ห์ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเย่เทียน

ซูเหมยในวันนี้ได้เปลี่ยนจากชุดทำงานของเธอ ด้วยผมสีแดงทรงหยักศกเล็กน้อย ใบหน้าที่ละเอียดอ่อน ชุดสูทตัวเล็กๆ และด้านในคือชุดเดรสยาวสีดำ ซึ่งเปล่งประกายหุ่นอันงดงามและมีเสน่ห์ของเธอออกมา

และนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนได้เห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ ดวงตาของเขาจึงเป็นประกายแล้วยิ้มร้ายๆ ออกมา “ประธานซู คุณแต่งตัวแบบนี้ คนไม่รู้เขาอาจจะคิดว่าพวกเราไปเดทกันก็ได้นะ ไม่ใช่ไปเจรจาหรอก!”

ซูเหมยที่ได้ยินสิ่งนี้ก็กลอกตาขาวใส่เขาทันที

วันนี้เธอตั้งใจจะไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทของเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่าแก๊งเสือดำจะโทรหาเธออย่างกะทันหันแบบนี้ เธอจึงต้องยกเลิกนัดของเพื่อนแล้วรีบมาหาเย่เทียนโดยที่ไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนชุดก่อนเลยด้วยซ้ำ

“นี่มันสถานการณ์อะไรแล้ว ยังพูดจาเลอะเทอะแบบนี้อีก!”

เธอบ่นสั้นๆ คำเดียว แต่หลังจากการหยอกล้อของเย่เทียนแล้ว ความตึงเครียดแต่เดิมของเธอก็คลี่คลายลงบ้าง

เย่เทียนหัวเราะออกมาดังๆ แต่ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงแค่เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่นในรถ

“ไปกันเถอะ เราไปเจอกับแก๊งเสือดำสักหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมันคิดจะเล่นกลอะไร!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเหมยก็หรี่ตาลงและพยักหน้าเบาๆ เธอนั่งบนที่นั่งคนขับ จากนั้นหันหน้าไปข้างหน้าและขับรถตรงไปยังจุดหมายปลายทาง

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา รถอาวดี้ก็มาจอดที่หน้าคลับเฮาส์สุดหรูในย่านใจกลางเมือง

คลับเฮาส์แห่งนี้เป็นคลับระดับไฮเอนด์ของเมืองเจียงหนัน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน ความบันเทิง การพนัน ฟิตเนส ซึ่งเป็นศูนย์รวมของการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับคนรวยในเมืองเจียงหนันแห่งนี้

แต่เย่เทียนกับซูเหมยไม่ได้ตั้งใจมาเล่น ทั้งสองลงจากรถก็เดินตรงไปที่ประตู

หลังจากที่แจ้งจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ รปภ. หน้าประตูก็มองไปที่เย่เทียนกับซูเหมย นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรและเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวว่า “มากับผม!”

เย่เทียนไร้คำบรรยาย เป็นแค่รปภ. คนหนึ่ง จำเป็นต้องทำตัวกร่างขนาดนี้เลยหรือ?

แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ถือสาอะไรมากมาย ได้แต่เอามือล้วงกระเป๋าแล้วเดินตามเข้าไปอย่างเอ้อระเหยลอยชาย

ในทางกลับกัน ซูเหมยสีหน้าเคร่งขรึมมาก เธอได้แต่จับกระเป๋าไว้แน่นๆ ราวกับว่ามีอาวุธสังหารอยู่ในนั้น

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้มาถึงหน้าห้องวีไอพี

รปภ. ผลักประตูออกแล้วยืนอยู่ข้างๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เข้าไปสิ เจ้านายผมกำลังดื่มชาอยู่ข้างใน!”

เย่เทียนกับซูเหมยมองหน้ากันและเดินเข้าไปข้างใน

ในห้องวีไอพีอันกว้างใหญ่ที่มีพื้นที่เกือบหกสิบตารางเมตร ด้านในตกแต่งอย่างงดงาม บนที่นั่งหลักของโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เซตทรงผมโมฮอกนั่งอยู่

เขาแต่งตัวด้วยชุดจีนราชวงศ์ถังที่ดูสง่า และในตัวยังมีออร่าของความเป็นผู้นำที่น่าเกรงขามด้วย!

หลายๆ คนนั่งอยู่ด้านข้างของชายวัยกลางคนนั้น และหนึ่งในนั้นก็คือหูไห่

เห็นได้ชัดว่าคนที่สามารถนั่งอยู่ข้างชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือสมาชิกหลักของแก๊งเสือดำ

และข้างหลังเขานอกจากมีเหล่าอันธพาลหลายๆ คนแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นที่ยืนนิ่งเหมือนตอไม้ก็ดึงดูดความสนใจของเย่เทียนมากที่สุด

บุคคลนี้มีใบหน้าธรรมดามาก เขาจะไร้จุดเด่นทันทีเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ด้วยออร่าในตัว ซึ่งดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ฝึกพลังภายในเช่นกัน

“คนนี้อายุสามสิบต้นๆ ฝีมือน่าจะอยู่ที่แดนเหลืองระดับล่าง พอมีพลังภายในอยู่บ้าง แต่เราน่าจะฆ่าเขาได้ด้วยหมัดเดียวนะ”

เมื่อมองดูเขาสักพัก เย่เทียนก็หันมองกลับไปและคิดในใจ

ฉากที่ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าคนที่สามารถนั่งอยู่ตรงกลางได้ก็คือเชิ่งหู่ หัวหน้าของแก๊งเสือดำ!

เมื่อเห็นเย่เทียนเข้ามา ดวงตาของหูไห่ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเขาก็กระซิบข้างหูเชิ่งหู่เบาๆ

ในขณะนี้ เชิ่งหู่ถึงจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองเย่เทียนด้วยสายตาที่เฉียบคมเหมือนดาบ

“คุณก็คือเย่เทียนที่ทำร้ายลูกน้องของผมสองคนและยังทรมานพี่น้องของผมใช่ไหม?”

เย่เทียนเห็นว่าเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบาร์ แต่กลับยิงคำถามตรงใส่เขาเลย เขาจึงยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

“ถูกต้อง ผมคือเย่เทียน ไม่รู้ว่าคุณเป็นใครหน้าไหนเหรอ?”

ซึ่งคำนี้ก็ทำให้ทุกคนในห้องต้องรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

หลายๆ คนลุกขึ้นอย่างกะทันหันและมองเย่เทียนด้วยสายตาที่โกรธจนลุกเป็นไฟ

“ไอ้หนู แกอยู่เป็นไหม!”

“เชื่อไหมว่าข้าจะฆ่าแกได้?”

“กล้าดูถูกเจ้านายเราเหรอ อยากตายใช่ไหม!”

ในขณะนั้น ลูกน้องของพวกเขาหลายๆ คนก็เตรียมจะเข้ามาทำร้ายเย่เทียน

ซูเหมยเองก็เริ่มรู้สึกกลัวและแอบคิดในใจว่าเย่เทียนประมาทเกินไปแล้ว คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือหัวหน้าของแก๊งเสือดำเชียวนะ ทำไมถึงถามเขาว่า ‘ไอ้หน้าไหน’ ได้?

เชิ่งหู่แทนที่จะโกรธ แต่กลับโบกมือแล้วหัวเราะอย่างไม่หยุด จากนั้นเขาให้คำแนะนำเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก

“ไอ้หนุ่ม คุณบุคลิกก็ดีนะ แต่ทำตัวหยิ่งทะนงไปหน่อย ถ้าแบบนี้อีกไม่นานคงต้องลำบากแน่!”

“ใช่เหรอ?”

เย่เทียนได้แต่เม้มปากและทำหน้าไม่สนใจ แก๊งเสือดำไม่อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ แล้วเขาจะกลัวเชิ่งหู่คนนี้ได้ยังไง

เชิ่งหู่หัวเราะเบาๆ “ผมชื่นชมคุณมากนะ ฝีมือไม่เลว วิธีการก็ชาญฉลาด วันหลังมาทำงานให้ผมไหม!”

“สำหรับร้านดรุณียั่วรักแล้ว ผมยกให้คุณเป็นคนจัดการ ทุกเดือนคุณคืนให้ผมสามล้าน ส่วนเงินปันผลห้าแสนผมให้คุณ คุณคิดว่าไง?”

เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาและไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ

ดูเหมือนเขาอยากจะเก็บเย่เทียนไว้เพื่อตั้งใจจะมอบความเมตตาอันยิ่งใหญ่ให้กับเย่เทียน และประโยคเดียวของเขาก็สามารถตัดสินอนาคตและยึดบาร์แห่งนี้ไปได้!

ซูเหมยได้แต่มองไปที่เย่เทียนและรู้สึกประหม่า

สำหรับเงินปันผลห้าแสนฟรีๆ นี้ เธอเชื่อว่าทุกคนต้องยอมรับและไม่อาจต้านทานสิ่งล่อใจนี้ได้แน่นอน

นอกจากนี้ซูเหมยก็รู้ดีว่าแก๊งเสือดำมองเธอเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งที่ไม่อาจมีสิทธิ์มีเสียงได้ และการตัดสินใจของพวกเขาก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ในขณะที่ซูเหมยกำลังจะถอดใจ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเย็นชาของเย่เทียนก็ดังขึ้น