ตอนที่ 520 สมบัติล้ำค่าขับเคี่ยว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 520 สมบัติล้ำค่าขับเคี่ยว โดย ProjectZyphon

จริงอย่างที่ซย่าจื้อพูด

กระถางสมบัติเก้ามังกรนี้ หลอมขึ้นเพื่อผู้ที่จะฝึกจักรพรรดิวิถีพลังมังกรโดยเฉพาะ และมีเพียงผู้สืบเชื้อสายของจักรพรรดิอย่างจ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้นถึงจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หลินสวินแม้อิจฉา ก็รู้ว่าหนทางของสมบัติชั้นนี้กับตนไม่สมกัน ไม่เหมาะกับตัวเขาเอง

ชิ้ง!

ฉับพลันหลินสวินนำดาบหักสีดำสนิทเล่มหนึ่งออกมา นิ้วมือส่งพลังออกไป คมดาบพลันบังเกิดแสงดาวแวววาวไพศาลราวผีร้ายเหนือโลกา พลานุภาพน่าหวาดหวั่นฟื้นขึ้นมา

โครม!

ก็เห็นว่าตัวกระถางสมบัติเก้ามังกรพลันบังเกิดเงามายาเก้ามังกรคำรามชูคอ แผ่กระจายพลังกำราบฟ้าดินราวถูกท้าทาย

ชั่วพริบตานี้ ราวกับว่าอาวุธเทพสองชิ้นกำลังขับเคี่ยวกัน หนึ่งกระถางหนึ่งดาบบดขยี้พลานุภาพกันเอง ในชั่วครู่หนึ่ง แสงดาวราวธารดาราม้วนกลืน มังกรครวญราวฟ้าคำรน ห้ำหั่นดุเดือดในชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณแห่งนี้

ดวงตาดำของหลินสวินจ้องการฟาดฟันที่หาได้ยากยิ่งฉากนี้ตาไม่กะพริบ

ตู้ม!

เมื่อเห็นว่าไม่อาจจัดการกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้นได้ในชั่วพริบตา ดาบหักราวถูกยั่วโทสะ ระเบิดแสงดาราน่าหวาดหวั่นยิงพุ่งออกมารอบทิศ บดขยี้ทุกสิ่ง

ระหว่างที่กำลังงุนงงอยู่ ก็เหมือนมีดาวหางเต็มฟ้ากระจายออกมากำราบกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้น

ส่วนโดยรอบกระถางสมบัติเก้ามังกรก็อวลไปด้วยพลังจักรพรรดิวิถีแกร่งกล้า เก้ามังกรพุ่งทะลุเมฆ แยกหยินหยางฟ้าดิน ขับเคี่ยวกันบนทะเลดาราพราวฟ้า

หลินสวินเห็นว่าการปะทะยิ่งทวีความรุนแรง แทบจะทำลายหอหลอมวิญญาณชั้นเก้าทั้งชั้น ก็ชักมือกลับเพื่อหยุดทุกอย่างนี้โดยไม่ลังเล

ดาบหักพลันส่งเสียงคำรามเหมือนไม่พอใจ ดิ้นรนอยู่ในมือหลินสวินราวกับหมายใจจะพุ่งเข้าฟันกระถางสมบัติเก้ามังกรนั้น

จิตวิญญาณเกินธรรมดาเช่นนี้ดึงดูดซย่าจื้อที่อยู่ห่างออกไป ดวงตาจันทร์เสี้ยวสีดำเป็นประกายราวอัญมณีทั้งสองหรี่ลงเล็กน้อย

ในขณะเดียวกัน กระถางสมบัติเก้ามังกรก็แผดเสียงคำรามของมังกรราวไม่สบอารมณ์เป็นระลอก ทำให้ผู้สรรสร้างอย่างหลินสวินก็ลอบชื่นชมว่าสมบัติชิ้นนี้สมกับเป็นสมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิวิถี เพียงจิตวิญญาณเช่นนี้ก็ไม่เหมือนชุดศึกสลักวิญญาณอื่นแล้ว

ทว่าที่ทำให้หลินสวินตื่นตะลึงก็คือดาบหักที่อยู่ในมือนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น ที่มาที่ไปไม่อาจคาดเดาได้ แต่พลังร้ายกาจพลิกฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย

ยามหลินสวินได้พบมันครั้งแรก ก็เห็นว่าดาบหักนี้อยู่เหนือเวิ้งฟ้า โจมตีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งจนอกสั่นขวัญแขวน ทำให้มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะส่วนหนึ่งล้วนหนีหัวซุกหัวซุน ไม่กล้าสัมผัส

และทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดาบหักเล่มเดียวก่อขึ้น ไม่มีคนมาควบคุมสั่งการ แค่คิดก็รู้ว่าความร้ายกาจและจิตวิญญาณของมันจะสะท้านฟ้าปานไหน

ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยนำดาบหักนี้มาประมือกับอาสัญสลาย ผลลัพธ์ก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน แม้จะใช้พลังทำลายล้างสูงสุดของอาสัญสลาย แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็ยากจะสร้างความสะเทือนและข่มพลานุภาพร้ายกาจของดาบหักนี้ได้!

และตอนนี้หลังจากประชันกับกระถางสมบัติเก้ามังกร ในที่สุดก็ทำให้หลินสวินได้ข้อสรุปแน่ชัดอย่างหนึ่งแล้วว่า…

ดาบหักที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลนี้ ถ้าว่ากันเรื่องพลานุภาพและจิตวิญญาณแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าชุดศึกสลักวิญญาณใดในปัจจุบันเลย

บางทีจุดด้อยเดียวของมันอาจอยู่ที่มันเป็นเพียงสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นชุดศึก ส่งเสริมพลังรอบด้านแก่ผู้ฝึกปราณได้

แต่พูดอีกที นี่ก็เป็นดาบหักที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง แต่เมื่อฟาดฟันกับอาสัญสลายหรือกระถางสมบัติเก้ามังกรต่างล้วนไม่ถูกกำราบ เท่านี้ก็พอจะรู้ได้ว่าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดาบหักนี้จะน่าหวาดหวั่นเพียงไหน

‘คราวหลังต้องหาโอกาสซ่อมแซมดาบหักนี้เสียแล้ว…’

หลินสวินแอบตั้งมั่นในใจ

แม้ตอนนี้เขามีฝีมือระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณ แต่กลับมองปริศนาของการหลอมดาบหักนี้ไม่ทะลุ กระทั่งไม่อาจดูออกว่าดาบหักนี้ใช้วัตถุดิบชั้นไหนหลอมขึ้น นี่ทำให้เขายิ่งรู้สึกได้ถึงความลี้ลับของมัน

เขาตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะสามารถซ่อมดาบหักนี้ได้!

“หลินสวิน สมบัติโบราณนี้เจ้าได้มาจากไหนหรือ ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบรรพกาลจากตัวมัน ดำรงอยู่ถึงตอนนี้อย่างน้อยก็น่าจะหลักแสนปีแล้ว”

ซย่าจื้อพลันส่งเสียงและเดินเข้ามา เงยใบหน้าน้อยที่งดงามราวภาพวาดขึ้นแล้วเอ่ยปากเสียงเรียบ มีเพียงยามไม่มีคนนอกเท่านั้น นางถึงจะเผยใบหน้าที่ปิดบังอยู่ใต้หมวกคลุม

เพราะนี่เป็นคำแนะนำของหลินสวิน และเพราะใบหน้านางงดงามเกินไป ผิวขาวกระจ่างเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ไร้ซึ่งตำหนิ เครื่องหน้าทั้งห้าพริ้งพรายหยดย้อยเหมือนงานชิ้นเอกจากสวรรค์ แทบจะเป็นเหมือนภาพมายา ประหนึ่งช่วงชิงความงามในใต้หล้าทั้งมวล ทำให้ฟ้าดินหมองหม่น!

หากไม่ปิดบังไว้ เพียงความงามหาใดเทียบเช่นนี้ก็สามารถก่อให้เกิดความสั่นคลอนและคลื่นลมนับไม่ถ้วนได้แล้ว นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริง โบราณมีคำกล่าวว่าหญิงงามชักนำเภทภัย อีกทั้งตอนนี้ซย่าจื้ออายุยังน้อย เมื่อนางโตขึ้น มีเพียงฟ้าที่รู้ว่านางจะกลายเป็นหญิงงามโดดเด่นในโลกเช่นไร

“แสนปีหรือ”

หลินสวินอึ้งงัน พูดขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้า…ยังมองอะไรออกอีกบ้าง”

ซย่าจื้อร้องอืม สายตาจับจ้องดาบหักในมือหลินสวินโดยตลอดแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกได้ว่านี่เป็นสมบัติที่น่ากลัวชิ้นหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แล้ว ย่อมไม่มีทางถูกเจ้าควบคุมได้เลย”

หลินสวินมุมปากกระตุก นี่กำลังชื่นชมว่าดาบหักเล่มนี้ร้ายกาจ หรือกำลังอาศัยสิ่งนี้โจมตีว่าพลังของตนอ่อนแอเกินไปกันแน่

ชิ้ง!

ฉับพลันซย่าจื้อยกมือหยิบทวนยาวหนึ่งจั้งสองฉื่อที่ขาวราวกระดูกเล่มนั้นออกมา ดวงตาสุกสกาวฉายแววอยากรู้อยากลอง เอ่ยว่า “หลินสวิน ข้าอยากลองดาบหักเล่มนี้ดู”

ตั้งแต่หลินสวินพบกับนางครั้งแรก ทวนขาวเล่มนี้ก็อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด ที่มาไม่อาจคาดเดา และมีเพียงซย่าจื้อที่ใช้ได้ ประหนึ่งเป็นร่างเดียวกับนางอย่างไรอย่างนั้น

“ไม่ได้”

หลินสวินปฏิเสธเด็ดขาด รีบเก็บดาบหักลงไปแล้วเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สองสิ่งนี้ล้วนเป็นของล้ำค่าชั้นดี หากเสียหายไปจะทำอย่างไร”

ซย่าจื้ออึ้งไป กลอกตาอย่างเห็นได้ยากยิ่ง “เจ้าคนขี้งก”

หลินสวินยิ้มปะเหลาะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าหลอมอาวุธให้เจ้าอีกชิ้นไหม”

ซย่าจื้อปฏิเสธโดยไม่ลังเลว่า “ไม่เอาล่ะ”

นางเก็บทวนยาวแล้วเดินไปที่มุมหนึ่ง ร่างอ่อนนุ่มเอนนอนบนเตียงเล็กเตียงหยึ่ง ดวงตาปิดลง ชั่วพริบตาก็หลับไป

แล้วก็มาถึงช่วงเวลานอนหลับชนิดฟ้าผ่ายังไม่สะเทือนประจำวันของซย่าจื้อ…

หลินสวินก้าวเข้าไปมองดูซย่าจื้อที่หลับสนิทอยู่เงียบๆ ต่อให้ได้พบหน้ากันเป็นประจำ แต่ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าน้อยงดงามที่ขาวกระจ่างสงบนิ่งของนางนั้น ก็ยังทำให้เขาอดตะลึงงัน จิตใจเคลิบเคลิ้มไม่ได้

ความงามเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่โลกนี้สมควรมีได้ สมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว ทำให้คนเกิดความรู้สึกเกินจริง สามารถทำให้ทุกสิ่งตื่นตะลึง พลิกฟ้าพลิกดิน

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินถึงได้ยิ้มบางๆ ออกมา โน้มตัวลงไปอุ้มซย่าจื้อขึ้นมา ใช้หมวกคลุมปิดบังใบหน้าน้อยอย่างระมัดระวัง แล้วจึงหันกายออกจากชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณ

เขาปิดด่านเก็บตัวมาสองเดือนกว่าเพื่อหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกร และตอนนี้สมบัติก็หลอมเสร็จอย่างราบรื่น ย่อมได้เวลาออกไปแล้ว

หลินสวินวางแผนในใจไว้นานแล้วว่า หลังจากส่งมอบกระถางสมบัติเก้ามังกรให้จ้าวจิ่งเซวียน ก็จะเริ่มจดจ่อกับการฝึกปราณเพื่อเตรียมบรรลุระดับหยั่งสัจจะ

เมื่อหลายเดือนก่อนเขาก้าวไปถึงขั้นสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนของระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว พลังปราณ จิตวิญญาณ แม้กระทั่งพลังกายล้วนแต่ทะลวงขั้นสมบูรณ์ พลังแฝงกับรากฐานพลังทั้งหมดก็ล้วนถูกสำแดงออกมาถึงขีดสุดแล้ว

พูดได้ว่าหากหลินสวินในตอนนั้นต้องการ จะเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูแห่งระดับหยั่งสัจจะเมื่อไรก็ได้!

เพียงแต่ภายหลังด้วยวาสนาบังเอิญฉากหนึ่ง ทำให้หลินสวินหยั่งถึงพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำจากภูผาบันไดสวรรค์!

นี่ทำให้เขาพลันเกิดความรู้สึกว่าวิถียุทธ์ยังบกพร่อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้บุ่มบ่ามบรรลุระดับ

ในสายตาเขา พลังปราณ จิตวิญญาณ พลังกายถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้วแน่นอน แต่เมื่อมีพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำเพิ่มขึ้นมากะทันหัน กลับทำให้เขามีพลังและตัวแปรใหม่เพิ่มขึ้นมาในระดับมหาสมุทรวิญญาณ นี่พาให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็นำพาความไม่สมบูรณ์ในระดับขั้นมาด้วย

ไม่แน่ว่า เมื่อควบคุมพลังแห่งสัจวิถีธาตุน้ำสายหนึ่งนี้ได้อย่างไร้ที่ติแล้ว ถึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์หมดจดอย่างแท้จริง!

เรื่องนี้หากถูกผู้ฝึกปราณอื่นๆ รู้เข้าคงต้องคลุ้มคลั่งไปแน่

ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนอื่นๆ หมายจะบรรลุระดับหยั่งสัจจะให้เร็วที่สุด แต่หลินสวินกลับดีนัก ไม่เพียงทะลวงพลังปราณถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด แม้แต่จิตวิญญาณและพลังกายล้วนถูกเคี่ยวกรำจนถึงระดับสูงสุดแล้ว

แต่ตอนนี้เขากลับต้องการควบคุมพลังสัจวิถีธาตุน้ำสายนั้นให้ได้อย่างหมดจดก่อน ถึงค่อยเลือกบรรลุระดับ นี่จะไม่ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงได้อย่างไร

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณทั้งใต้หล้า น่ากลัวจะหาผู้ที่เหมือนหลินสวินไม่ได้สักคน เป็นสัตว์ประหลาดที่ยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าระดับหยั่งสัจจะ ก็สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้แล้ว!

นี่ย่อมเป็นการแหวกขนบที่เคยเป็นมา บุกเบิกสร้างปาฏิหาริย์ใหม่ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ต้องสร้างความครึกโครมในโลกการฝึกปราณแน่

แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องที่หลินสวินครอบครองพลังแห่งสัจจะ ใต้หล้านี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ล่วงรู้ นี่เป็นความลับที่เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

……

หลินสวินออกจากการปิดด่านโดยที่ไม่ได้ทำให้ผู้ใดตกใจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งก็คือ จ้าวไท่ไหลผู้เจ้าเล่ห์หาใดเปรียบคนนี้ กลับรอเขาที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว

ที่แท้จ้าวไท่ไหลก็มาตั้งแต่หลายวันก่อนและไม่เคยจากไปเลย รอฟังข่าวดีจากหลินสวินมาโดยตลอด

เมื่อเด็กหนุ่มนำกล่องที่ผนึกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา ลมหายใจของจ้าวไท่ไหลก็เปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นมา

สำเร็จแล้ว!

ต่อให้เชื่อมั่นในตัวหลินสวินมาก แต่เมื่อแน่ใจว่าเขาหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรสำเร็จจริงๆ จ้าวไท่ไหลก็ยังคงตื่นเต้นและตกตะลึงอย่างยากบรรยายได้

สมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ทำให้ปฐมาจารย์สลักวิญญาณมากมายล้วนจนปัญญามาหลายพันปี บัดนี้ในที่สุดก็ถูกหลอมขึ้นมาแล้ว นี่ทำให้จ้าวไท่ไหลตื่นเต้นและสั่นสะท้านไปทั้งตัว

และถ้าภายนอกรู้เข้าว่าในระยะเวลาสองเดือน หลินสวินก็หลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดที่สองสำเร็จอีก ก็ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความครึกโครมใหญ่โตเพียงใด

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือจ้าวไท่ไหลก็ล้วนไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กระถางสมบัติเก้ามังกรนี้มีความเกี่ยวพันมากมายนัก ทั้งยังเป็นอาวุธสำคัญของราชวงศ์ ศาสตราคู่จักรพรรดิวิถี ย่อมไม่อาจเปิดเผยได้โดยง่าย หาไม่แล้วไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาหมายปองกี่มากน้อย

“ดี! ดี! ดี!”

จ้าวไท่ไหลร้องเสียงดังลิงโลด ขาดแค่ไม่ได้ยกไม้ยกมือขึ้นร่ายรำเท่านั้น เนื้อแก้มอวบอ้วนล้วนไหวกระตุก ตบไหล่หลินสวินอย่างแรงกล่าวว่า “เจ้าหนู ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่แล้ว!”

“เช่นนั้นท่านคิดว่า ในเมื่อข้าสร้างผลงานใหญ่เช่นนี้ จะตกรางวัลให้ข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินถามพลางยิ้มตาหยี

จ้าวไท่ไหลพลันระแวดระวังขึ้นมา กระแอมแล้วพูดว่า “วางใจได้ ราชวงศ์ต้องจดจำน้ำใจนี้ของเจ้าไว้แน่ เอาล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะกลับไปรายงานก่อน บางทีไม่นานนักองค์หญิงจิ่งเซวียนอาจจะมาขอบใจเจ้าด้วยตัวเองก็เป็นได้”

ยังไม่ทันพูดจบ ชายอ้วนผู้นี้ก็เหมือนเท้าทาน้ำมันไว้ หายตัวไปเร็วกว่าใครเพื่อน

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจลอบด่าเจ้าอ้วนผู้นี้ว่าช่างเจ้าเล่ห์เหมือนผี คิดจะเอาเปรียบเขายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก

——