โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.312 – ใครๆก็อยากกินเนื้อ

 

ตามร่างกายของราชันย์กอริลล่า เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ

 

ฉินเฟิงระดมพลังสมาธิ เปลวไฟสีฟ้าลุกท่วมตัว ทิ้งดิ่งลงจากฟากฟ้า

 

ในความว่างเปล่า แสงสีฟ้าสดใสผุดขึ้นจากอากาศที่บางเบา ปีกนกยูงสยายออก

 

“เพลิงนกยูง!”

 

เพลิงฟ้าก่อร่างเป็นนกยูง โฉบเข้าใส่ราชันย์กอริลลา พริบตาเดียวไล่ตามทัน

 

ตูม!

 

เปลวเพลิงสีฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน ทิ่มแทงเข้าใส่ร่างของกอริลลามงกุฏสีชาด เกิดแรงระเบิดครั้งใหญ่ ราชันย์กอริลลาถูกแรงปะทะหน้าคว่ำ ร่างม้วนกลิ้งตกลงจากเนินเขา หินน้อยใหญ่ถล่มตามลงมา

 

แม้จะว่องไวเพียงใด อย่างไรเสียมันก็ยังมีขนาดตัวที่ใหญ่เกินไป ง่ายต่อการโจมตี!

 

ฉินเฟิงไม่มัวเสียเวลาย่ามใจ เขาระดมพลังสมาธิอีกครั้ง

 

“เทคนิคแมกมา!”

 

บนพื้นดินสันเขา พลันถูกปกคลุมไปด้วยลาวาเหนียวหนืด

 

ร่างของราชันย์กอริลลาร่วงตกลงในแอ่งลาวา

 

“อู อู อู อู!” มันร้องโหยหวนไม่เป็นภาษา ปัจจุบัน ตลอดทั้งแนวเขาลาดเอียงกลายเป็นแอ่งลาวาที่ทอดยาวไกลออกไป ทุกท่านคงสามารถจินตนาการได้ว่าตอนนี้พลังสมาธิของฉินเฟิงทรงพลังเพียงใด

 

ราชันย์กอริลลามิอาจปีนป่ายขึ้นมาได้ ยิ่งนานยิ่งจมลึกลงไปในพื้นลาวา สุดท้ายร่างมันก็แข็งทื่อไป เหลือเพียงส่วนหัวที่โผล่ออกมา

 

“จงกลับคืน!”

 

ฉินเฟิงเรียกรูนไฟกลับคืน เทคนิคแมกมาหยุดทำงาน เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นสีดำ และร่างของราชันย์กอริลลามงกุฏสีชาดที่กำลังตั้งท่าทางดิ้นรนค้างอยู่อย่างนั้น

 

–มันตายไปแล้ว!

 

ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า กุมมีดกษัตริย์ครามในมือ ใช้มืออีกข้างยกหัวของราชันย์กอริลลาขึ้น

 

ภายใต้ขนแดงเหนือหัวของกอรริลลามงกุฏสีชาด จริงๆแล้วเป็นส่วนเนื้อที่ค่อนข้างพิเศษ ถือเป็นสมบัติล้ำค่า

 

มันคือส่วนบนของแก่นอบิลิตี้

 

และภายในกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ ยังมีแก่นอบิลิตี้สีเขียวขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล

 

ส่วนร่างกายของราชันย์กอริลลามงกุฏสีชาด ไม่มีค่าใดๆ และเนื่องจากมันไร้ค่า ฉินเฟิงเลยทำลายลงในการต่อสู้

 

แตกต่างจากราชันย์พยัคฆ์เนตรเยือกแข็ง ที่ตลอดทั้งตัวของมันคือสมบัติ เป็นธรรมดาที่จะไม่ถูกทำลายให้สูญเปล่า

 

ฉินเฟิงตัดหัวของมันด้วยมีดกษัตริย์คราม

 

ปัจจุบัน สามราชันย์สัตว์ร้าย และจักรพรรดิสัตว์ร้ายชราภาพ ล้วนตกตายสิ้น และเป็นฉินเฟิงที่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆ!

 

ฟุบ ฟุบ ฟุบบบ!

 

หลายร่างปรากฏขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลฉินเฟิง ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ไม้ที่มารับภารกิจในครั้งนี้

 

ฉินเฟิงไม่ยอมอ่อนข้อ เมื่อถูกมองก็จ้องคนเหล่านั้นกลับไป

 

“ทุกท่านมีอะไรจะแนะนำงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่าคิดจะมาปล้นผม? ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหรอก ผมจะแบ่งให้เอง เอาเป็นเส้นขนลิงคนละเส้นเป็นไง?”

 

ศพราชันย์กอริลลาอยู่ในสภาพกะโหลกถูกแหวกออก เหลือเพียงครึ่งหัว และยังมีขนอีกหลายเส้นที่ยังไม่ไหม้อยู่บนใบหน้า

 

เล่ยเฉินและคนอื่นๆที่เคยถูกฉินเฟิงบังคับแบ่งผลประโยชน์มาแล้ว สีหน้ากลายเป็นเขียวคล้ำ คล้ายกับจู่ๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดข้างใน ชวนให้หายใจติดขัด

 

แต่สำหรับคนอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในตอนแรก สีหน้าของที่เหลือกลายเป็นหนักอึ้ง จ้องมองฉินเฟิงด้วยความไม่พอใจ

 

“คุณคือผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลี ฉินเฟิงใช่ไหม?” ไป่เทียนหยางเป็นคนแรกที่เอ่ยปากถาม

 

แม้ไป่เทียนหยางเป็นเทศมนตรีของเมืองเฉิงหยาง แต่ปกติเขามักจะวุ่นอยู่กับการต่อสู้ ไอ้ตำแหน่งเทศมนตรีเมืองนั่นน่ะ ก็แค่ธุรกิจอย่างเป็นทางการเท่านั้น จริงๆแล้วเวลาทั้งหมดของเขาทุ่มไปกับการต่อสู้และฝึกฝน เพราะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องความปลอดภัยของเมืองได้

 

อีกทั้งนี่ยังเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างฉินเฟิงกับไป่เทียนหยาง

 

เดิมทีไป่เทียนหยางไม่รู้จักฉินเฟิง แต่หลังจากที่ฉินเฟิงกวาดล้างหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฉิงหยาง อย่างตระกูลซินลง เขาก็เริ่มให้ความสนใจกับฉินเฟิง

 

“สวัสดีครับเทศมนตรีไป่” ฉินเฟิงพยักหน้าให้ไป่เทียนหยาง

 

แม้ปัจจุบันฉินเฟิงจะยังอยู่ในสังกัดของเมืองเฉิงหยาง แต่ตอนนี้เขามาถึงเลเวล D แล้ว ฉะนั้นทุกอย่างย่อมแตกต่างไปจากเดิม ฐานะพวกเขาถือว่าเท่าเทียมกัน

 

“นี่ทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ ความก้าวหน้าของคุณมันรวดเร็วมาก!” ในหัวใจของไป่เทียนหยางเต้นครึกโครม

 

นั่นเพราะหากเทียบกับคนอื่นๆในที่นี้แล้ว เขารู้จักฉินเฟิงดีที่สุด

 

เมื่อหนึ่งปีก่อน มีวัยรุ่นคนหนึ่งสามารถกลายเป็นเจ้าของสถานชุมชนเฟิงหลีได้ทั้งๆที่เพิ่งปลุกพลังได้แค่เพียง 1 เดือน

 

เดิมไป่เทียนหยางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่โชคดีเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่โชคดี เขายังแข็งแกร่งและมีพรสวรรค์อีกด้วย

 

เด็กคนนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามารถก้าวขึ้นสู่เลเวล D ได้ในระยะเวลาอันสั้น ความว่องไวในการยกระดับมันจะน่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว

 

“และทางผมต้องขอบคุณเทศมนตรีไป่จริงๆ สำหรับความช่วยเหลือในการฝึกฝน”

 

นี่คือประโยคทิ้งท้ายที่พูดเพื่อให้ดูสุภาพ เพราะทั้งคู่ต่างรู้ดี ว่าพวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

 

ในเวลานั้นเอง อาวุโสสี่ของตระกูลซงที่ไม่คิดยื่นมิตรไมตรี ทั้งยังเผยถึงเจตนาฆ่าและความละโมบในแววตา กล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “พวกเราทุกคนเฝ้ารอมาหลายวันแล้ว แต่เจ้ามาที่นี่แค่วันเดียว ทำเอาวุ่นวายกันยกใหญ่ แล้วจะยังคิดฮุบผลประโยชน์ทั้งหมดไปอีกหรือ? จงเอาสมบัติมาแบ่งให้ข้าเสีย มิฉะนั้น วันนี้อย่าหวังว่าจะได้จากไป!”

 

สายตาของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา หันไปมองซงหยูหมัง ปากหัวเราะหยัน

 

“จากกลิ่นอายนี้ ผมคิดว่าคุณคงจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลซงใช่ไหม ไม่ทราบว่าชื่ออะไร?”

 

เป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะแยกแยะคนของตระกูลซง เพราะกลิ่นอายเลือดบนตัวพวกเขา ไม่สามารถกลบซ่อนได้ แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่มีใครต้องการที่จะปกปิดเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

เมื่อได้ยินคำของฉินเฟิง ซงหยูหมังก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะหวาดกลัวชื่อเสียงของตระกูลซง เร่งกล่าวแนะนำตัวไป “ข้าคืออาวุโสสี่ของตระกูลซง ชื่อว่าซงหยูหมัง”

 

ฉินเฟิงพยักหน้า และกล่าว “อาวุโสสี่อยู่ในทุ่งล่ามาหลายวัน เกรงว่าจะยังไม่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก เอาล่ะ ผมจะบอกให้ฟัง ตอนนี้อาวุโส 3 , 5 , 6 และ 7 ของตระกูลซงตายกันไปหมดแล้ว คุณเป็นอาวุโสคนท้ายๆที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้น แน่ใจนะว่าต้องการจะสู้กับผม?”

 

สีหน้าของซงหยูหมังแปรเปลี่ยนไป

 

เรื่องของตระกูลซง ใครบ้างเล่าจะไม่รู้?

 

ซงหยูหมังจ้องมองฉินเฟิงอย่างเดือดดาล เขม็งราวกับงูพิษ

 

ในที่สุดซงหยูหมังก็ทราบว่าฉินเฟิงรู้จักตระกูลซง แต่มันไม่เกรงกลัวอิทธิพลของตระกูลซงเลย

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า ‘บลัดฮันเตอร์’ นั่นแท้ๆ ศักดิ์ศรีของตระกูลซงเลยถูกบดขยี้จนป่นปี้ กลายเป็นตัวตนให้ทุกคนคอยเหยียบย่ำและหัวเราะเยาะ

 

“พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้ากล้าจะสังหารข้างั้นหรือ?” ซงหยูหมังกล่าวด้วยต่ำ

 

สีหน้าของฉินเฟิงที่เย็นชาอยู่แล้ว เย็นชายิ่งกว่าเดิม “อาวุโสสี่ตระกูลซง คุณและผมไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม แล้วทำไมผมถึงจะฆ่าคุณไม่ได้? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คุณน่ะเป็นคนเริ่มหาเรื่องก่อน!”

 

“ไอ้หนู อย่าลามปามให้มันมากไป ต่อให้ตระกูลซงของพวกเราสูญเสียอาวุโสไปถึง 4 คน แต่พวกเราก็ยังมีเลเวล C อยู่!”

 

ฝูงชนรอบข้างที่กำลังยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นคล้ายกับถูกน้ำเย็นสาดใส่

 

นั่นสินะ … ต่อให้ตระกูลซงอ่อนแอลง แต่พวกเขายังมีตัวตนทรงพลังเลเวล C อยู่

 

อำนาจในการหาเงินของเลเวล C น่ะแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถจินตนาการได้ หากเลเวล C ตระกูลซงงัดขุมสมบัติตระกูลขึ้นมา ย่อมสามารถฟื้นฟูตระกูลซงได้แน่นอน

 

ซงหยูหมังกำลังเตือนสติคนอื่นๆ ว่าเสาหลักตระกูลซงของพวกเขายังไม่พังทลายลง

 

“เอาล่ะๆ ทุกคนใจเย็นๆกันก่อนถอะ” ไป่เทียนหยางรีบเข้ามาแทรกกลาง ช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้น

 

เลเวล D ถือเป็นจุดสูงสุดของสามเฉิงและสี่เมืองทะเลเหนือ และทุกคนในสถานที่นี้ ต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพลในเขตของตนเอง

 

นั่นหมายความว่าการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในระดับยักษ์ใหญ่ มันไม่ง่ายเหมือนกับพวกระดับล่างอีกต่อไป

 

หากมีปัญหากัน ผลพวงที่ตามมาคงมหาศาลเกินกว่าจะรับไหว

 

ดังนั้นพวกเขาจึงแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยการพูดคุยกันเกือบทุกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ซงหยูหมังไร้เดียงสาเกินไป เขาคิดจริงๆน่ะหรือว่าจะใช้ปากกัดแย่งเอาชิ้นเนื้อไปจากฉินเฟิงได้

 

ฉินเฟิงกวาดตามองฝูงชน เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกผิดใดๆเลย เขาก็อดเย้ยหยันไม่ได้

 

“จริงอยู่ที่ทุกท่านมาที่นี่ตั้งสิบกว่าวันแล้ว และผมเองก็รู้ว่ามันลำบาก แต่พวกคุณทำอะไรบ้าง? เกรงว่าระหว่างนั้นคงเอาแต่มุดหัว ไม่กล้าออกไปไหนไม่ใช่หรือ!” ฉินเฟิงเปิดโปงความจริง

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้คนเหล่านี้จะแข็งแกร่ง บางคนเป็นตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสูง , บางคนเป็นยอดนายพล แต่อย่างไรก็ไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขั้นต่อกรกับราชันย์สัตว์ร้ายอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันจากพวกราชันย์สัตว์ร้าย คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าลงมือตามอำเภอใจ

 

หรือเรียกสั้นๆว่าไม่ทำห่าอะไรเลยนั่นเอง แต่พอถึงเวลานี้ ยังคิดจะมาแย่งปลาจากแหของคนอื่นอีก?