คนเจ้าเล่ห์

ซวนเทียนเย่นั่งลงบนเก้าอี้ว่างถัดจากเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาแล้ว คุณหนูทุกคนต่างก็พากันเงียบและก้มหน้าลง ไม่มีใครอยากมีปัญหาใด ๆ แม้แต่เฟิงเฟินไดก็ไม่กล้ามองซวนเทียนเย่

ซวนเทียนเย่แตกต่างจากองค์ชายองค์อื่น ๆ เขาดูเหมือนจะโกรธอยู่ตลอดเวลา แค่มองเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว

เฟิงหยูเฮงก็ไม่มองเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามนางไม่ได้กลัวเขา นางหิวมากจริง ๆ ถ้านางไม่ใช้เวลาในการทานอาหารบนโต๊ะ มันจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

ซวนเทียนเย่จ้องมองนางแบบนี้จนกระทั่งนางกินปลาไปครึ่งตัว ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนดูต่อไปได้ เขาลดเสียงพูดและเอ่ยว่า “องค์หญิงแห่งมณฑล เจ้าบอกว่าทำปิ่นหงส์เพลิงหายไม่ใช่หรือ ? ”

เมื่อเฟิงหยูเฮงทานปลาเสร็จแล้ว บ่าวรับใช้ก็นำน้ำแกงมาขึ้นโต๊ะ นางนั่งจิบแล้วส่ายหัว “ไม่อร่อยเลย” จากนั้นนางก็วางช้อนและก็เริ่มพูดกับซวนเทียนเย่ อย่างไรก็ตามนางเริ่มด้วยคำถามของนางเอง “ใครบอกว่าปิ่นหงส์เพลิงของข้าหายไป ? ”

ซวนเทียนเย่ตกใจ และในที่สุดก็จำได้ว่าข่าวลือที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันทำปิ่นหงส์เพลิงหาย มันเป็นเพียงข่าวลือ ! ข่าวลือเกี่ยวกับการที่นางถูกฮ่องเต้ลงโทษโดยการกักขังในคฤหาสน์ก็เป็นเพียงข่าวลือด้วยเช่นกัน ! ใครคือคนที่บอกว่าเฟิงหยูเฮงทำปิ่นหงส์เพลิงหาย ? นี่เป็นหนี้ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้อย่างแท้จริง

ใบหน้าของเขายิ่งมืดครึ้มมากขึ้นและเขาดูเหมือนจะโกรธมากขึ้น ทำให้เด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่โต๊ะก้มหน้าลงมากกว่าเดิม

ในเวลานี้บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปยืนข้างโต๊ะพูดว่า “ท่านฮูหยินใหญ่กลับไปที่เรือนเทียนเซียงแล้วขอรับ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้พวกคุณหนูไปพบขอรับ”

เฟิงหยูเฮงดื่มชาอึกสุดท้ายแล้วจ้องมองที่ซวนเทียนเย่ จากนั้นนางจ้องมองบ่าวรับใช้ก่อนที่จะหันหลังกลับ และออกไปพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชา

ซวนเทียนเย่โกรธมาก ปอดของเขากำลังจะระเบิด แต่เขาจะปล่อยให้มันระเบิดได้อย่างไร เขาไม่สามารถทุบตีนางและเขาไม่สามารถสาปแช่งนาง หากคำพูดของเขาซึ่งโกรธแค้นหญิงสาวอย่างนางถูกรายงานที่พระราชวังของฮ่องเต้ คนที่แพ้ก็คงเป็นเขา ซวนเทียนเย่รู้สึกว่าเฟิงหยูเฮงเป็นคนที่ดุร้ายตามธรรมชาติ ใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในกำมือของนางและไม่ตายจากความโกรธจะต้องโชคดีมาก !

เมื่อบุตรสาวของตระกูลเฟิงเข้าไปในห้องหลักของเรือนเทียนเซียง ฮูหยินผู้เฒ่าก็นั่งอยู่ข้างในแล้วพูดคุยกับคังอี้ ทั้งสองคนไม่ได้พูดถึงเรื่องของรุ่ยเจีย คังอี้ซึ่งเคยร้องไห้อยู่ที่หน้าคฤหาสน์ได้แต่งหน้าใหม่ และนางก็ดูสง่างามเช่นเดิม

เมื่อเห็นเด็ก ๆ เข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็โบกมือให้พวกนาง “เรื่องก่อนหน้านี้เกิดขึ้นกะทันหันและพวกเจ้ายังไม่ได้คารวะมารดาเลย มาเร็ว ๆ แล้วคารวะมารดา”

เฟิงเฉินหยูนำทางและเดินไปข้างหน้าโค้งคำนับ “ลูกคารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”

เด็กสาวอีก 3 คนก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ทักทายว่า “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของคังอี้นั้นเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อนางช่วยพวกนางอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ลุกขึ้นเร็ว พวกเจ้าเป็นเด็กดีมาก ในอนาคตเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด” หลังจากพูดอย่างนี้นางมองเฟิงหยูเฮงแล้วจับมือนางกล่าวว่า “อาเอเฮงอย่าตำหนิรุ่ยเจีย เป็นเพราะเสด็จลุงที่ทำให้นางนิสัยเสีย อย่างที่ข้าเห็นนี่เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้นางเข้าใจได้เร็วขึ้นว่าการอยู่ในราชวงศ์ต้าชุนนั้นไม่เหมือนกับอยู่ในเฉียนโจว วันนี้นางทำผิด แต่ถ้ามีวันหนึ่งที่นางทำผิดในพระราชวัง เราจะไม่โชคดีอย่างวันนี้ ข้าจะขอโทษเจ้าแทนรุ่ยเจียด้วย หากเจ้ามีปัญหาใด ๆ โปรดมาบอกข้าเกี่ยวกับพวกมัน ถ้าข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะสนับสนุนเจ้าแน่นอน”

คำพูดของคังอี้นั้นฟังดูดีมาก และแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องพยักหน้า นางถอนหายใจ และคิดว่านี่เป็นองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว พระธิดาของนางถูกตี แต่นางก็ยังสามารถยิ้มได้หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ ความสามารถแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติมี

เฟิงหยูเฮงมองการแสดงออกที่เหมาะสมของคังอี้และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้จากก่อนหน้านี้ นางเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านแม่ ข้าพึ่งนึกถึงบางอย่างขึ้นได้”

คังอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “พูดมา”

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าสนใจเรือนเหลียงซินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนเทียนเซียง ข้าจะหาโอกาสคุยหลังจากงานแต่งงาน ข้าอยากให้ท่านแม่คุยกับท่านย่าให้เจ้าค่ะ ข้าจะย้ายมาที่เรือนเหลียงซินได้หรือไม่เจ้าค่ะ เนื่องจากท่านแม่ได้กล่าวไว้แล้ว อาเฮงจะขอให้ท่านแม่สนับสนุนข้าเจ้าด้วยค่ะ ! ”

คังอี้กังวลอย่างแท้จริงว่านางจะขอ ตอนนี้นางได้ยินว่านางแค่ต้องการเรือนในคฤหาสน์เฟิง นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบ ๆ “ได้สิ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้า”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้ามองที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ตอนนี้ท่านแม่สามารถจัดการเรื่องของครอบครัวได้แล้ว ท่านย่าจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นเยอะเลยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสุข แต่ไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการมอบเรือนแก่เฟิงหยูเฮง เดิมทีนางวางแผนที่จะจัดระเบียบเรือนในคฤหาสน์เฟิงสำหรับเฟิงหยูเฮงที่จะอาศัยอยู่ นอกจากนี้นางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ด้วยสถานะที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะมอง ตระกูลเฟิงก็ไม่อาจปฏิบัติต่อนางไม่ดีได้ แต่นั่นก็ต่อเมื่อนางเป็นคนทำ ตอนนี้ที่คังอี้ให้สิ่งนี้กับนาง มันไม่ได้บอกชัดเจนว่านางกำลังแบ่งอำนาจของนางหรือไม่ ?

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มดูไม่ดี คังอี้รีบเกลี้ยกล่อมนางอย่างรวดเร็วโดยกล่าวว่า “ท่านแม่ได้โปรดเข้าใจลูกสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ ลูกสะใภ้หวังจะรักษาความสัมพันธ์กับอาเฮง โปรดดูสิ่งนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์สำหรับลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้จะไม่ลืมความเมตตาของท่านแม่ สำหรับเรื่องใหญ่ ๆ ในคฤหาสน์ ลูกสะใภ้เป็นเพียงคนต่างแคว้น ข้าจะเข้าใจกฎของราชวงศ์ต้าชุนได้อย่างไร ข้าจะไม่สามารถจัดการพวกมันได้”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกสบายใจ ผงกศีรษะนางพูดกับเฟิงหยูเฮง “เจ้าเป็นบุตรของตระกูลเฟิง เจ้าควรมีเรือนเป็นของตัวเองอยู่ แม้ว่าจะมีเรือนศจีอยู่แต่มันก็โทรมเกินไป เรือนเหลียงซินค่อนข้างดีและอยู่บนพื้นดินที่สูงขึ้นเล็กน้อย มีหอคอย 3 ชั้นอยู่ข้างในด้วย มันเหมาะที่จะไว้ชมทิวทัศน์และเหมาะมากสำหรับเจ้าที่จะเข้าไปอยู่”

เรือนเหลียงซินมีหอคอย 3 ชั้น และนี่คือสิ่งที่เฟิงหยูเฮงให้ความสนใจ ประการแรกมันเป็นสถานที่ที่สูงกว่า และอย่างที่สองนางต้องการแปลงหอคอยแห่งนี้ให้เป็นร้านขายยา มันจะสะดวกกว่าที่จะใช้งาน

“แต่…” ฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีปัญหาและพูดว่า “ไม่มีใครที่จะอยู่ในเรือนเหลียงซิน การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่เครื่องเรือน… ปกติแล้วทางคฤหาสน์ควรให้เงินคุณหนูเพื่อตกแต่งเรือนของพวกเขา แต่ที่คลังไม่มีเงิน ! ” พูดอย่างนี้นางมองไปรอบ ๆ ห้อง และความโกรธปรากฏบนใบหน้าของนาง

คังอี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่านี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงพูดอย่างรวดเร็ว “สามีทำสิ่งนี้เพื่อลูกสะใภ้และลูกสะใภ้เข้าใจดี ท่านแม่ได้โปรดอย่ากังวล สามีปฏิบัติต่อคังอี้เป็นอย่างดี ดังนั้นคังอี้จะทำอย่างดีที่สุดเพื่อพิจารณาเรื่องตระกูลเฟิงของเรา ไม่กี่วันที่ผ่านมาลูกสะใภ้ส่งจดหมายถึงน้องชายของข้าแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ราชทูตควรจะเดินทางมาแล้ว การดูแลเรือนภายในของอาเฮง ลูกสะใภ้จะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ ท่านแม่โปรดสบายใจ ส่วนเรือนซูหยา ข้าจะให้ของบางอย่างด้วย ท่านแม่คิดดูก่อนเจ้าค่ะว่าท่านแม่อยากได้อะไร”

เมื่อได้ยินคังอี้พูดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็สงบลงเช่นกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เป็นเช่นนั้น ในฐานะองค์หญิงใหญ่ของต่างแคว้น สินเดิมที่มาจากเฉียนโจวจะไม่น้อยหน้าใครอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าคังอี้จะเป็นคนที่สมเหตุสมผล พร้อมกับบุตรสาวของนาง ทั้งสองจะอาศัยอยู่ในราชวงศ์ต้าชุน หากไม่มีการสนับสนุนใด ๆ พวกเขาจะลงหลักปักฐานในราชวงศ์ต้าชุนได้อย่างไร พวกเขาต้องเริ่มจากตระกูลเฟิงก่อน หากพวกเขาต้องการลงหลักปักฐานในตระกูลเฟิง พวกเขาจะต้องติดสินบนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า ขณะที่นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “เช่นนั้นเราจะทำตามที่มารดาของเจ้าพูด เซี่ยชาน” นางเรียกบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “ดูแลท่านฮูหยินใหญ่อย่างดี ไปเรียกพวกบ่าวรับใช้ในความดูแลของฮูหยินใหม่มา ยังต้องปฏิบัติตามกฎของราชวงศ์ต้าชุนอีกด้วย”

เซี่ยชานกล่าว “เจ้าค่ะ ! ท่านฮูหยินผู้เฒ่าอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้คนนี้จะดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่นี่อย่างแน่นอน”

มีแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้สึกพึงพอใจและพาทุกคนออกไปจากห้อง เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงเดินไปข้าง ๆ นางก็คิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมากในการแสดงพลังครั้งแรก แม้ว่าการแต่งงานของนางจะเป็นผลดีต่ออาชีพการงานของบิดาของเจ้า แต่นางก็ยังต้องรู้สึกยับยั้งชั่งใจเรื่องคฤหาสน์อีกเล็กน้อย นางไม่สามารถมองตนเองในฐานะองค์หญิงต่างแคว้นได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นในอีกสองปี ข้ากลัวว่านางจะไม่สามารถอยู่ในคฤหาสน์ต่อไปได้”

เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “โดยไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่น ข้ากลัวว่าท่านย่าจะต้องมอบหน้าที่ของท่านย่าให้ท่านแม่” นางพูดอย่างนี้จากนั้นก็เพิ่มความเร็วของนาง และมุ่งหน้าไปที่ลาน

ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดเดิน เมื่อนึกถึงหน้าที่ของนาง นางเริ่มรู้สึกเศร้าใจในทันที อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงนั้นพูดถูกต้อง เมื่อฮูหยินใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะดูแลสิ่งเหล่านี้ต่อไป

ในเวลานี้งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุก เฟิงจินหยวนต้อนรับแขกและดื่มกับแขก ด้วยเหตุนี้เขาจึงดื่มมากขึ้น แต่องค์ชายไม่ต้องการดื่ม องค์ชายรอง องค์ชายสี่ และองค์ชายห้ากลับไปแล้ว ในขณะที่องค์ชายใหญ่กำลังรอหมอหลวงที่จะมารักษาอาการบาดเจ็บของรุ่ยเจีย หลังจากรักษาแล้วเขาจะออกเดินทางพร้อมรุ่ยเจีย สำหรับองค์ชายสาม เขาก็นั่งที่ศาลาซึ่งไกลออกไปเล็กน้อยจากงานเลี้ยงกับองครักษ์ บางครั้งเขาก็มองไปที่เฟิงจินหยวน และดูเหมือนว่าเขากำลังรอให้เขาทำธุระให้เสร็จก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเขา

เมื่อเฟิงหยูเฮงกลับมา นางมองซวนเทียนเย่จากที่ไกล ๆ แล้วคิดเล็กน้อย นางหยิบผลไม้จากโต๊ะแล้วเดินไปที่ศาลา

ซวนเทียนเย่เฝ้าดูนางเดินมาหาเขา และคิ้วขวาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ 2 ครั้ง ทุกครั้งที่เขาคุยกับเฟิงหยูเฮง เขาไม่เคยได้รับชัยชนะแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้กำลังเริ่มที่จะมาพูดคุยกับเขา ซวนเทียนเย่อดใจไม่ได้ที่จะคาดเดาว่านางต้องการอะไร

ก่อนที่เขาจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ นางก็มาถึงแล้ว ด้วยเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมเมฆาเคลื่อนคล้อยอันประณีต และปิ่นหงส์ทองที่บนหัวของนางซึ่งทำให้เฟิงหยูเฮงดูฉลาดมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่านางมีสถานะที่สูงส่งกว่าเขา ราชวงศ์ต้าชุนไม่ได้มีองค์หญิงใด ๆ แต่แม้ว่าจะมีบางทีพวกเขาไม่สามารถห้ามองค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้ได้ !

“พี่สาม มาที่นี่เพื่อซ่อนและผ่อนคลายหรือเพคะ” นางมาถึงศาลาและพูดทันที ”อาเฮงเห็นท่านนี่นั่งอยู่ที่นี่คนเดียว และท่านดูเหงามาก ข้าเลยถือจานผลไม้มาด้วย ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยดับความกระหายของท่าน”

นางไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เกินไป และนางไม่ได้วางจานผลไม้ลงบนโต๊ะด้วยตัวเอง นางยื่นมือออกไปให้องครักษ์แทน

องครักษ์ไม่ได้คิดมากนักเพราะเขาเป็นบ่าวรับใช้ นี่เป็นสิ่งที่เขาทำบ่อยครั้งมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าก่อนที่เขากำลังจะรับ เฟิงหยูเฮงก็ปล่อยทันที จานผลไม้ตกลงไปที่พื้นทันที

ผลไม้และแตงโมกระจัดกระจาย จานแตกเป็นชิ้น ๆ

เฟิงหยูเฮงโกรธมาก “เจ้าช่างบังอาจ ! องค์หญิงแห่งมณฑลคนนี้ได้นำผลไม้มาให้เจ้านายของเจ้า แต่เจ้ากล้าที่จะทิ้งมันหรือ ? นี่เป็นอาชญากรรมแบบไหน ? ”

เฟิงหยูเฮงตะโกนอย่างน่ากลัวอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เสียงจะแหลมมันเต็มไปด้วยความโกรธ และความรุนแรง เขาอยู่กับซวนเทียนเย่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงมีภูมิคุ้มกันเล็กน้อยต่อการแสดงออกที่น่าหดหู่ของผู้อื่น อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาเห็นการจ้องมองของเฟิงหยูเฮง เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากความตกใจได้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกทันทีที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

เฟิงหยูเฮงกล่าวเพิ่ม “บ่าวรับใช้คุกเข่าลงเดี่ยวนี้ ! ”

หลังจากที่เฟิงหยูเฮงพูดจบ หวงซวนที่อยู่ข้าง ๆ เตะที่หัวเข่าของเขา ชายที่มีความทนทานสูงประมาณ 7 ฟุตรีบเข้าคุกเข่าลง

สิ่งที่โชคร้ายที่สุดคือองครักษ์คุกเข่าบนจานที่แตก เลือดไหลออกจากหัวเข่าของเขาทันที

ไม่เพียงแค่นี้ ในทันทีที่เขาคุกเข่าเขาก็รู้สึกว่านอกเหนือจากจานหักดูเหมือนจะมีเข็ม มีหลายเล่มตั้งตรงและมันก็แทงลงไปที่เข่าของเขา ความเจ็บปวดที่ได้รับเกือบทำให้เขากัดลิ้นตัวเอง