ตอนที่ 273-2 หนังสือกล่าวโทษตนเอง

ชายาเคียงหทัย

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งสอนหลักการเจ้าไป ว่าหากไม่ต้องการให้ผู้อื่นมารังแก ก็ต้องทำให้ตนเองมีความสามารถ ก่อนที่เจ้าจะมีความสามารถ ก็ให้พ่อรังเกเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน คนที่เอาแต่ฟ้องนั้นไม่มีอนาคตหรอกนะ”

“ฮือๆ…” ม่อตัวน้อยมองท่านแม่ของตนที่ดูเรื่องสนุกอยู่ด้วยสายตาน่าสงสาร

เยี่ยหลีอมยิ้มยักไหล่ ต่อให้รักอย่างไรก็ช่วยอันใดไม่ได้

นายน้อยม่อรู้ความเป็นอย่างดี จึงเปลี่ยนมาทำหน้าสำนึกผิดเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ให้อภัยลูกด้วยเถิด…”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว หันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “เจ้าเด็กคนนี้รู้จักที่จะยืดเป็น หดเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เขารู้จักยืดเป็นหดเป็นมาตลอดนะเพคะ”

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ม่อตัวน้อยนอกจากเวลาอยู่ต่อหน้าบิดาของตนแล้ว น้อยครั้งนักที่จะเป็นตายก็ต้องรักษาหน้าตา และไม่ยอมรับโทษ หนึ่งคือไม่อยากเสียหน้า สองคือด้วยเพราะมั่นใจว่า บิดาของเขาไม่มีทางทำอันใดเขาอย่างแน่นอน ยามนี้ดูท่า แม้แต่เรื่องหน้าตาด่านสุดท้ายก็เป็นอันแก้ไขได้แล้ว ดังนั้น ต่อไปนายน้อยม่อ ก็คงไร้ซึ่งศัตรูแล้ว

ม่อตวนอวิ๋นเมื่อเห็นภาพที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขที่อบอวลตรงหน้า ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก องค์ชายหกได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมเอาใจมาตั้งแต่เล็กๆ ม่อจิ่งฉีรักใคร่เอ็นดูเขา ถึงขั้นมากกว่าพี่น้องชายบุตรของหลิ่วกุ้ยเฟยเสียอีก ด้วยเพราะความเย็นชาของหลิ่วกุ้ยเฟยทำให้มีนิสัยเงียบขรึม แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ม่อตวนอวิ๋นก็ไม่เคยกล้าทำตัวเอะอะโวยวายไม่รักษากฎระเบียบต่อหน้าเสด็จพ่อของเขาเช่นนี้ เมื่อเห็นเด็กชายในวัยห้าหกขวบหน้าตาหล่อเหลา ประพฤติตนงอแงอยู่กับอกของติ้งอ๋องที่มีผมสีขาวทั้งศีรษะแล้ว ในใจม่อตวนอวิ๋น ก็บังเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มของม่อตัวน้อย เขาก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ

ม่อซิวเหยากำลังหยอกล้ออยู่ม่อตัวน้อยจึงมิได้สนใจ แต่ขันทีที่คุกเข่าอยู่กับพื้นกลับสังเกตสีหน้าของม่อตวนอวิ๋นได้อย่างชัดเจน จนอดร้องโอดครวญขึ้นในใจไม่ได้

บุคคลสองสามคนตรงหน้านี้ มิใช่คนที่องค์ชายหกตัวน้อยๆ อย่างท่านจะล่วงเกินได้นะ หากทำให้ติ้งอ๋องเกิดมีน้ำโหเข้า อย่าว่าแต่ฮ่องเต้คิดอยากให้ติ้งอ๋องช่วยสนับสนุนท่านเลย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของท่านก็คงต้องทิ้งไว้ที่นี่แล้ว

“ที่แท้การอบรมสั่งสอนของตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่เท่าไรสินะ!” ในที่สุด ม่อตวนอวิ๋นก็ไม่สนใจความเป็นห่วงกังวลของบ่าวไพร่ เขาจ้องม่อตัวน้อยแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดออกมา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสามคนที่เดิมทียังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าก็ต่างพากันนิ่งเงียบไป

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยกับม่อตวนอวิ๋นว่า “การอบรมสั่งสอนของตำหนักติ้งอ๋องเป็นอย่างไร เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายหกมาวิจารณ์ องค์ชายหกเชิญกลับไปเถิด ที่นี่คับแคบ คงไม่เหมาะกับฐานะอันสูงส่งของท่าน”

เยี่ยหลีเริ่มโกรธเข้าให้แล้วจริงๆ ที่ม่อตวนอวิ๋นเอ่ยเมื่อครู่ มิได้เป็นเพียงการต่อว่าม่อตัวน้อยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกคนในตำหนักติ้งอ๋องที่อบรมสั่งสอนม่อตัวน้อยมาด้วย  ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ เยี่ยหลีย่อมมองออก ซึ่งมิใช่ด้วยเพราะเขาเคยมีเรื่องผิดใจอันใดกับตำหนักติ้งอ๋อง แต่เพียงเพราะเขาริษยาม่อตัวน้อยเท่านั้น องค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานอย่างมากมาตั้งแต่เล็กๆ ถึงขั้นกล่าววาจาว่าร้ายเช่นนี้ด้วยเพราะนึกริษยาเด็กตัวเล็กๆ แค่ด้วยนิสัยเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกไม่พอใจแล้ว

“ข้ามิได้พูดอันใดผิดเสียหน่อย!” ไม่คิดเลยว่าแค่เพียงเอ่ยปาก เยี่ยหลีก็จะไล่แขกกลับไปเสียแล้ว ม่อตวนอวิ๋นจึงไม่พอใจขึ้นมาบ้าง

ยามอยู่ในวัง ถึงแม้มารดาของตนจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่เสด็จพ่อโปรดปรานเขา แม้แต่บุตรของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังต้องยอมอ่อนให้เขาอยู่หลายส่วน

“การอบรมสั่งสอนบุตรชาย เป็นเรื่องของบิดามารดาอย่างพวกข้าเท่านั้นที่จะต้องใส่ใจ ไม่รู้ว่าองค์ชายหกเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ด้วยฐานะอันใด” เยี่ยหลีเอ่ยถามเรียบๆ

ม่อตวนอวิ๋นไม่รู้จะตอบเช่นไร ทำได้เพียงถลึงตาดุๆ ใส่ม่อตัวน้อย

ม่อตัวน้อยกลับไม่ยินดีที่จะกระโดดออกมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาในยามนี้ แต่กลับทำประหนึ่งไม่ได้รับการอบรมมาจริงๆ กระนั้น ส่งเสียงหึอย่างถือดีทีหนึ่ง ก่อนจะซุกลงกับอ้อมแขนของม่อซิวเหยา “เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว กลับไปลูกจะต้องขอให้ท่านตาสั่งสอนเรื่องมารยาทให้ข้าสักหน่อยแล้ว”

ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง หันไปเอ่ยกับพวกจั๋วจิ้งที่ยืนคอยท่าอยู่ว่า “เชิญองค์ชายหกกลับไป”

แค่เพียงจั๋วจิ้งโบกมือ ก็มีองครักษ์เดินออกมาส่งแขกทันที ขันทีที่ยังคงเทินราชโองการอยู่ในมือ ยังจำหน้าที่ของตนได้อยู่ จึงรีบเอ่ยว่า “ติ้งอ๋อง…นี่…นี่คือราชโองการของฝ่าบาท…”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “ราชโองการของฮ่องเต้แห่งต้าฉู่เกี่ยวข้องกันใดกับข้าด้วย เจ้านำกลับไปเถิด ไปบอกม่อจิ่งฉีว่า สายตาของเขา…ไม่เลวเลยทีเดียว”

ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการรู้ดีว่าธุระของตนคงจะไม่ได้จัดการแล้ว จึงทำได้เพียงเก็บราชโองการกลับมา “ฝ่าบาทได้มีรับสั่งลงมาแล้วว่า ให้ยกเลิกการปิดตำหนักติ้งอ๋อง ทรัพย์สมบัติของตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงที่ถูกยึดไว้ ก็ให้คืนให้กับท่านอ๋อง ที่โรงเตี๊ยมไม่สะดวกสบาย เชิญท่านอ๋องกลับไปพักที่ตำหนักติ้งอ๋องเถิด พระชายากับซื่อจื่อจะได้ไม่ลำบากไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองขันทีผู้นั้น แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถือว่าเจ้ารู้จักพูด กลับไปบอกม่อจิ่งฉีว่า ของขวัญชิ้นนี้ ข้ารับไว้แล้ว”

อย่างน้อยก็ถือว่าได้ทำสำเร็จไปอย่างหนึ่ง ขันทีผู้นั้นนึกเบาใจไป รีบเอ่ยขอตัวออกมาด้วยความเคารพ

เมื่อส่งแขกกลุ่มใหญ่กลับไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ม่อจิ่งฉีทำเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน นี่คือละครฉากเด็ดที่ท่านพูดถึงหรือ”

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “มิใช่ละครฉากเด็ดหรอกหรือ ข้าเคยบอกไว้ก่อนนานแล้วว่า ม่อจิ่งฉีผู้นี้…นิสัยกลับไปกลับมา แต่ที่เป็นปกติคือมักเปลี่ยนท่าทีอย่างไร้เยื่อใย เขาโปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยมาตั้งกี่ปี จาบจ้วงไทเฮาก็เพราะนาง จนทำเหมือนไม่เห็นหัวไทเฮา หากมิใช่เพราะเขายังพอเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง คงได้กำจัดภรรยาเพราะโปรดปรานอนุไปแล้ว ด้วยเพราะเหตุนี้ ต่อให้ทุกวันนี้เขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว แต่เมื่อรู้ถึงสิ่งที่หลิ้วกุ้ยเฟยได้กระทำลงไป ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็จะต้องกล่าวโทษหลิ่วกุ้ยเฟยให้ได้ หากแย่กว่านี้ก็คงถึงขั้นเกลียดนางเข้ากระดูกดำ เมื่อวานยังมาถูกไทเฮากับข้าทำร้ายจิตใจเข้าไปเช่นนั้นอีก ยามนี้เขาคงไม่สนใจว่าแผ่นดินต้าฉู่จะเป็นเช่นไรแล้ว แค่เพียงต้องการล้างแค้นคู่แม่ลูกม่อจิ่งหลีกับตระกูลหลิ่ว แล้วจะมีอันใดที่เขาทำไม่ได้บ้าง”

“ท่านจะบอกว่า ม่อจิ่งฉีเสียสติไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“ก็มิได้บอกว่าเสียสติไปหมดแล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็ครึ่งบ้าครึ่งเอ๋ออยู่แล้วเท่านั้น เขามิได้มีความแค้นต่อตำหนักติ้งอ๋อง เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากระทำกับตำหนักติ้งอ๋องก็ด้วยเพราะเกรงว่าตำหนักติ้งอ๋องจะเป็นภัยต่อตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาเท่านั้น แต่ยามนี้หรือ…เขาใกล้จะตายอยู่แล้ว แต่ข้าก็ยังมิได้เป็นภัยต่อตำแหน่งฮ่องเต้ของเขา แต่กลับเป็นมารดาแท้ๆ น้องชายแท้ๆ และคนข้างหมอนของเขาที่คอยจ้องจะเล่นงานเขาด้วยความโกรธเกลียด เมื่อเทียบกับข้าแล้ว เขาจึงทำได้เพียงนึกโกรธแค้นพวกเขา ยามนี้อย่าว่าแต่ตำหนักติ้งอ๋องเล็กๆ เลย ต่อให้ข้าอยากเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขาก็จะรับปาก เขาถูกความแค้นเข้าครอบงำจิตใจ จนคิดเพียงอยากจะแก้แค้นเท่านั้นแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ

เยี่ยหลีนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก็เห็นจริงอย่างที่ม่อซิวเหยาพูด อันที่จริงคนนิสัยเช่นม่อจิ่งฉีนี้ไม่เหมาะกับการเป็นฮ่องเต้ เขาอ่อนไหวและขี้ระแวงจนเกินไป ความสามารถก็พอเรียกได้ว่าปานกลางเท่านั้น และด้วยเพราะเขารู้ถึงความธรรมดาของตนเองจึงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อใดก็ตามที่อำนาจอันยิ่งใหญ่อยู่ในมือ ก็ง่ายนักที่จะไปจนสุดโต่ง

เช่นเดียวกับเรื่องของตำหนักติ้งอ๋องในยามนั้น ราชวงศ์ต้องการตัดอำนาจของตำหนักติ้งอ๋อง แน่นอนว่ามิได้เพิ่งมีมาในสองรัชสมัยนี้ แต่ฮ่องเต้หลายพระองค์ที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดที่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามเยี่ยงเขา เพียงแต่อาจด้วยเพราะเขาทำไปโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด จึงทำให้เขาเกือบทำสำเร็จ น่าเสียดายก็เพียงสวรรค์ยังตัดตำหนักติ้งอ๋องไม่ขาด คงกล่าวได้เพียงว่านี่คือบัญชาสวรรค์ กล่าวโดยสรุปก็คือ ม่อจิ่งฉีเป็นผู้ที่ไม่ถนัดด้านการถ่วงดุลเอาเสียเลย ส่วนสิ่งสำคัญที่สุดที่ประมุขควรมีนั้น ก็คือการรู้จักถ่วงดุล

“ซิวเหยารู้ก่อนนานแล้วหรือว่าจะเป็นเช่นนี้”

ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ยว่า “ต่อสู้กันมาก็หลายปีเช่นนี้ ถึงอย่างไรข้าก็ยังพอรู้จักเขาอยู่หลายส่วน แค่เพียงน่าเสียดาย…ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นจะจงรักภักดีต่อต้าฉู่ แค่ครานี้ข้าคงไม่มีทางรับปากเขา แผนที่เขาวางเอาไว้คงเสียเปล่าเสียแล้ว”

“เพราะเหตุใด” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว

ถึงแม้กระบวนท่านี้ของม่อจิ่งฉีจะเป็นกระบวนท่าที่มั่วซั่ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นกระบวนท่าที่มึนงงนัก หากม่อจิ่งฉีตายลงเสียแล้ว การปฏิเสธของตำหนักติ้งอ๋องคงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหมู่ประชาชน ซึ่งมิใช่เพราะชาวบ้านไม่รู้ว่าอันใดถูกอันใดผิด แต่ด้วยเพราะคนบนโลกนี้ให้ความสำคัญกับหนังสือกล่าวโทษตนเองกันมากจนเกินไป

ในประวัติศาสตร์ของทุกราชวงศ์ที่ผ่านมา หากมิใช่เพราะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริง ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดที่ใช้หนังสือกล่าวโทษตนเองมาช่วยแก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าฮ่องเต้จะกระทำสิ่งใด ขอเพียงออกหนังสือกล่าวโทษตนเองออกมา ก็จะได้รับการให้อภัยจากชาวบ้านทั่วไปทันที เพราะถึงอย่างไร ความคิดที่ว่าต้องภักดีต่อประมุข ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของประชาชนทุกคนอยู่วันยังค่ำ

ม่อซิวเหยาระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ก้มหน้าลงมองม่อตัวน้อยที่ผล็อยหลับคาอกเขาไปเสียแล้ว

เมื่อครู่เขาเพิ่งงอแงไป ม่อตัวน้อยฟังบิดามารดาพูดคุยกันไม่ถึงครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ อย่างคนหลับสนิทไปเสียแล้ว ที่ริมฝีปากยังมีรอยน้ำลายปรากฏให้เห็นอีกด้วย

“เจ้าเด็กคนนี้ดูว่าว่านอนสอนง่ายดีหรอก แต่เอาเข้าจริงกลับมีความมั่นใจและถือดีอยู่เต็มเปี่ยมทีเดียว ถือดีกว่าข้าสมัยเด็กๆ เสียอีกหลายส่วน เกรงว่าเมื่อโตขึ้นก็คงมิอาจยอมก้มหัวให้ผู้อื่นสักสามส่วนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้ตำหนักติ้งอ๋องก็ถือว่าหลุดออกมาจากกรงขังของต้าฉู่ได้แล้ว ต่อไปจะเป็นเช่นไรก็คงขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว หรือว่าข้าผู้เป็นบิดาจะยังสามารถจับเขากลับเข้าไปขังด้วยมือตนเองได้อีก ผ่านมาก็หลายปีเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าในใจผู้ใด ก็ไม่มีทางที่จะไม่มีความรู้สึกไม่ดีอยู่เลย ถึงยามนั้นความยากลำบากของตำหนักติ้งอ๋องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คงได้กลับมาแสดงให้เห็นอีกครั้ง”

เยี่ยหลีเข้าใจความหมายของเขา ต่อให้ราชวงศ์ทำตามคำมั่นสัญญา ในยุคนี้ม่อซิวเหยามีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ ตำหนักติ้งอ๋องก็จะรุ่งเรืองอย่างหาใดเปรียบ แต่ลูกหลานรุ่นต่อๆ มา ก็จะตกเข้าไปอยู่ในวังวนของสถานการณ์อันเลวร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หรืออาจถึงขั้นแย่กว่านั้น

“ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเห็นเช่นไร ข้ากับตัวน้อยก็จะคอยอยู่เคียงข้างท่าน” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ข้ารู้ พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”