บทที่ 143 ร่างมหาเทพ

บุหลันเคียงรัก

ฝูชางหรี่ตาลงมองทิวทัศน์ภายในเมืองฉยงซาง หลังกำแพงคือร่องน้ำลึก กลุ่มตำหนักเม็ดทรายตั้งอยู่กลางร่องน้ำลึกนี้ หอคอยและตำหนักสูงเหล่านั้นดูจากที่ไกลๆ เสมือนจริงมาก แต่ว่ามองใกล้ๆ แล้วถึงได้พบว่าพวกมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น ภายในหน้าต่างขนาดใหญ่ดำสนิท ไม่มีอะไรทั้งนั้น

 

 

เขาพลิกมือแล้วจับเสวียนอี่มาด้านหน้า มือทั้งสองกอดนางไว้แน่น แล้วกระโดดลงไปในร่องน้ำลึกโดยไม่กล่าวอะไร เสวียนอี่สูดลมหายใจเข้า เขาไม่ได้มีปีกอย่างตระกูลชิงหยางเสียหน่อย!

 

 

ไอขุ่นมัวที่เหนียวเหนอะพัดผ่านใบหน้าไป ฝูชางท่องคาถา ทรายสีขาวบนพื้นกลายเป็นใบไม้ขนาดยักษ์มากมายในพริบตา ร่างของพวกเขาร่วงลงไปบนใบไม้ที่อ่อนนุ่ม ก่อนจะเด้งขึ้นมาเบาๆ ราวกับหยดน้ำมิปาน พวกเขาลงมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ใบไม้หายไปในพริบตา ขาทั้งสองของฝูชางยืนชบนพื้นทรายอย่างมั่นคง

 

 

ลมหายใจที่อัดอั้นในอกของเสวียนอี่ก็ค่อยๆ ผ่อนออกมา ร่างนางถูกเขาวางลงที่พื้น เขาส่ายหน้า “ตื่นตูม”

 

 

ท่าทางอย่างนี้ เซ่าอี๋เลือกนางให้มาแก้ปัญหาทะเลหลีเฮิ่น ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยจริงๆ

 

 

เสวียนอี่แสร้งทำไม่รู้เรื่อง นางหันมองไปรอบๆ ทรายสีขาวไม่เพียงแต่จะก่อตัวกันเป็นตำหนักเท่านั้น ยังรวมกันเป็นลักษณะของต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงด้วย ใต้ต้นไม้ยังมีวังของตระกูลชิงหยางที่สร้างจากเม็ดทรายอีกรวมตัวกัน ในดินแดนที่เงียบสนิทไร้สุ้มเสียงอย่างนี้แลดูผิดปกติอย่างที่สุด

 

 

“เขาจะอยู่ที่นี่หรือ” ฝูชางถาม

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่ให้นางพูดหรือ เสวียนอี่จ้องไปที่เขา อย่างแฝงไปด้วยความโมโห

 

 

คราวนี้รู้จักฟังบ้างแล้ว ความโมโหในใจของฝูชางกลับลดไปอย่างน่าประหลาด เขายังคงปั้นหน้า แต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลขึ้นมา “ให้พูดได้ประโยคเดียว”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ เดินหาไปตามทางแล้วกัน”

 

 

นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมนางไม่ยอมตกลงเดินเที่ยวดูเมืองฉยงซางตามคำแนะนำของเซ่าอี๋ แม้ว่านางจะไปอยู่ที่นั่นหลายวัน แต่ว่านางก็ยังคงไม่รู้จักทาง ร่างมหาเทพจะไปอยู่ที่ไหน เมืองฉยงซางใหญ่ขนาดนี้ บินไม่ได้ก็ได้แต่ต้องเดินด้วยขาทั้งสองต้องเดินนานเท่าไหร่กัน

 

 

…นี่มันเรียกว่าไม่มีประโยชน์เลย ฝูชางส่ายหัว เขาไม่ควรไปหวังว่านางจะพึ่งพาได้ ฉุนจวินออกมาจากฝักอีกครั้งแล้วกลายเป็นแสงสีทองสายเล็กเส้นหนึ่ง มัวเร็วจนน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวก็วนไปตามทางของเมืองฉยงซางอ้อมไปหลายรอบแล้ว จากนั้นก็กลับเข้ามาในฝักอีกครั้ง เขาหมุนตัวเดินไปทางตะวันตก “มาทางนี้”

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วเดินตามหลังเขา ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย แปลกมาก นางไม่ใช่ว่าจะต้องร้ายกาจมากหรือ ก่อนหน้านี้ยังเก่งกาจมากอยู่เลย ทำไมคราวนี้ พอมาเทียบกับเขานางกลับราวกับไร้ค่าไปอย่างนั้น ไม่ควรเป็นเช่นนี้ จะต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่

 

 

มือถูกจูงไว้ ฝูชางหันกลับมามองนาง ความเย็นชาในดวงตาของเขายังคงอยู่ แต่ว่าแววตาของเขากลับนุ่มนวลขึ้นมาหลายเท่า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นนักรบได้ไม่มีระบบระเบียบเลย”

 

 

องค์หญิงมังกรนั้นมีหลายเรื่องที่นางทำวุ่นวายไร้ระเบียบแบบแผน ลายมือเขียนได้หวัดมาก เป็นศิษย์ที่หลายหมื่นปีไม่ยอมไปฟังบรรยาย เป็นนักรบแต่กลับจับกระบี่ยังไม่ได้ ทั้งยังเห็นแก่ตัวเอาแต่ตัวเอง แต่จู่ๆ กลับมาที่นี่ อยากจะเป็นวีรสตรีใจกล้าเพียงลำพัง โชคดีที่เขามาแล้ว

 

 

เสวียนอี่ยังคงก้มหน้าเงียบไม่กล่าวอะไร เขากล่าวอีกว่า “ทำไมถึงไม่รอข้า”

 

 

นางยังคงเงียบ

 

 

“ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” เสียงของฝูชางเย็นเฉียบ “หากว่ามีเรื่องอย่างนี้อีก ข้าจะจับเจ้าขังไว้ในกระบี่ฉุนจวิน”

 

 

…หมายความว่าเขาจะปล่อยปราณกระบี่แปลงเป็นมังกรมากัดนางหรือ ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เขาเองก็ปล่อยออกมาแล้ว เจ้าคนป่าเถื่อนที่โหดเหี้ยม

 

 

เสวียนอี่กุมมือเขาทั้งน้ำตา แล้วใช้ปลายนิ้วเขียนลายมือหวัดๆ ลงไปประโยคหนึ่งบนนั้นว่า ข้ายังอยากพูดอีกประโยค 

 

 

ในเวลาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนี้ ฝูชางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะดีหรือโมโหดี เขากุมมือนางแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ พลางกล่าวว่า “เจ้าเงียบหน่อยนั่นล่ะดีกว่า”

 

 

แขนเสื้อถูกดึงเบาๆ สองที เขาหันกลับไปอย่างไม่รู้ตัว องค์หญิงมังกรถลึงตากว้างมองจ้องเขา ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นของนาง ดวงตาที่ราวกับพูดได้ของนางคล้ายกำลังถามเขาว่า ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้

 

 

นึกไม่ถึงว่านางจะไม่พูดอะไรจริงๆ กลัวว่าเขาจะทำให้นางหมดสติไปจริงๆ หรือ

 

 

ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “จะถามทำไมกัน อย่างไรข้าก็มาแล้ว”

 

 

นางเงียบไป คิ้วขมวดแน่น น้ำตาพลันไหลลงมาและหายไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนมองแทบไม่ทัน ฝูชางมองนางครู่หนึ่งแล้วอ้าแขนออกช้าๆ รับนางเข้ามาในอ้อมอก เขาไม่ได้กล่าวอะไร ในเมื่อเขามาแล้ว ก็จะไม่ไปไหน

 

 

เสวียนอี่ฝังใบหน้าลงไปกับแผงอกเขา กลิ่นอายบริสุทธิ์ที่คุ้นเคย ทั้งยังมีเสียงหัวใจเต้นที่มีพลังอีก

 

 

หากว่าเขาไม่มา นางยังสามารถที่จะตัดสินใจเด็ดขาดและใช้ชีวิตเดิมพันได้ แต่เมื่อเขามาแล้ว นางราวกับโง่งมไป จะดับสูญที่นี่ด้วยกันหรือไม่ อยู่กับเขาแน่นอนว่าดี แต่ว่านางไม่อยากให้เขาดับสูญ เขาสามารถอยู่ต่อไปได้ คงมีสักวันที่เขาจะได้พบกับเทพธิดาที่เหมาะกับเขามากกว่านาง ไม่คอยเอาแต่ทะเลาะกับเขา และไม่คอยแต่จะหาเรื่องให้เขาต้องไล่ตามมาหลายหมื่นลี้และเอาชีวิตมาทิ้งกับนาง

 

 

เป็นเทพที่มีตาหามีแววไม่จริงๆ

 

 

ยากนักที่จะได้เห็นองค์หญิงมังกรอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงราวกับนกพิราบที่เปียกโชก ฝูชางลูบหัวนาง “ไม่ต้องกลัว”

 

 

เสวียนอี่กอดเขาแน่นสองทีแล้วจึงคลายมือ ฝูชางจูงมือนางแล้วเดินไปตามต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิง ชายชุดสีขาวของเขากับแขนเสื้อถูกไอขุ่นมัวและลมแรงพัดจนแกว่งไกวไม่หยุด นางจ้องลายเมฆาบนนั้นอยู่นานมาก มากจนเหม่อลอย

 

 

ลมแรงราวกับมีดเฉียดใบหน้าและร่างของนางไป ฝีเท้าของฝูชางชะงักและระมัดระวังยิ่งขึ้น ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงจากเม็ดทรายรอบด้านหนาตาขึ้นอย่างประหลาด ทางใต้เท้าเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราบเรียบไม่หยาบอีก อ้อมต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงที่มีสีสันไปไม่กี่ต้น ตำหนักขนาดใหญ่ที่งดงามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

 

 

ไม่เหมือนกับทิวทัศน์อย่างอื่นในเมืองฉยงซาง ที่นี่ทุกอย่างไม่ต่างอะไรกับเมืองฉยงซางจริงๆ เลย ประตูตำหนักสีสดราวกับเปลวเพลิง กระทั่งลายดอกไม้สลักที่เล็กเบาบางยังเห็นได้อย่างชัดเจน พื้นแก้วสีดำสนิทภายในตำหนักใหญ่สะอาดไร้รอยฝุ่น กิ่งก้านใบไม้สีทองที่งดงามพัดรัดไปที่หน้าต่าง ม่านหน้าต่างปักลายนกสีดำไว้จนเต็ม

 

 

ภายในตำหนักใหญ่ไม่มีเงาใครสักคน กระทั่งเทพขุนนางที่สร้างจากทรายก็ยังไม่มี ฝูชางกุมกระบี่ฉุนจวินแน่น ระหว่างนั้นก็เหยียบย่างไปบนพื้นแก้วสีดำอย่างแผ่วเบาและระวัง ประตูหลังตำหนักพลันเปิดออก แสงสว่างสีทองและดำสลับกันอย่างดงามราวกับสายน้ำราวกับเมฆ สว่างมากจนทำให้ตำหนักที่ดูเศร้าหมองนั้นสว่างไสว

 

 

ผ่านตำหนักใหญ่เข้าไป เสวียนอี่ก็ยืดคอมองเข้าไป ที่นี่ราวกับคือเรือนที่เด่นออกมา ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิงต้นใหญ่บดบังท้องฟ้ากว่าครึ่งไป ภายใต้ใบไม้ที่งดงามและรกครึ้ม มีเงาร่างในชุดโบราณสีดำสนิทนั่งอยู่ เขาหันหลังพิงไปที่ต้นอู๋ถงพฤกษาเพลิง ท่าทางของเขาดูเกียจคร้านมาก

 

 

เรือนผมยาวสีดำทิ้งตัวลงไปประบ่า เส้นไหมสีทองเล็กๆ พันรอบเปียที่ถักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้านล่างยังห้อยด้วยหงส์หินโมราที่งดงามประณีตเอาไว้

 

 

ทันใดนั้นผมยาวก็สะบัดน้อยๆ เขาเอียงหน้าหันมา ท่าทางเขาเหมือนเซ่าอี๋ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแค่ที่หน้าผากของเขาไม่มีไข่มุกวิเศษวิญญาณเทพเท่านั้น แต่มองดูแล้วเขาดูสุขุมมากกว่าเทพอายุเพียงห้าหมื่นปีอย่างเซ่าอี๋มากหลายเท่า

 

 

เสวียนอี่สูดลมหายใจอย่างอดไม่อยู่ นี่คือร่างของเขาหรือ ร่างของตระกูลชิงหยางมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้หรือ!

 

 

เขาราวกับไม่ได้สังเหตเห็นว่าในเรือนพลันมีเทพสององค์ปรากฏตัวขึ้น ฝ่ามือเขาไม่รู้มีใบไม้ขึ้นมาใบหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอามาวางไว้ริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ ท่วงทำนองขาดๆ หายๆ ทำลายความเงียบงันของทะเลหลีเฮิ่น นี่คือเพลงนั้นของเซ่าอี๋ เพียงแค่ไม่ปะติดปะต่อกัน ราวกับจำทำนองไม่ได้แล้ว

 

 

เสวียนอี่เดินเข้าไปหาเขา แต่ร่างกลับถูกฝูชางจับเอาไว้แน่น เขาปรายตามองที่นางอย่างเข้มงวด แล้วดีดปลายนิ้วครั้งหนึ่ง ฉุนจวินก็กลายเป็นมังกรทองตัวเล็กตัวหนึ่งพุ่งไปบนบ่าของมหาเทพอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ลมเย็นทำให้หงส์หินโมราที่ห้อยอยู่ที่เปียของเขาสั่นไหว แต่เขากลับไม่ใส่ใจ

 

 

เมื่อเป่าท่วงทำนองขาดๆ หายๆ นั่นจบแล้ว มหาเทพก็ทิ้งใบไม้ในมือไปพลังหมุนตัวกลับมา แววตาของเขามองไปที่ร่างของเสวียนอี่อย่างแม่นยำ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวพึมพำว่า “หลิวซางรึ ไม่ได้มีหน้าตาอย่างนี้นี่”

 

 

กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อ เสวียนอี่รู้สึกว่าหมอกสีดำและทรายสีขาวโถมมาที่นางอย่างมืดฟ้ามัวดิน