กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 512
ในขณะที่กำลังตัดสินใจอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์รวบรวมความกล้ามาจากไหน มันทำเสียงฝ่อออกมาและร่างกายก็พองขึ้นทันที ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็พยายามอ้าปากอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยทำลายปากทางเข้าของค่ายกลอาคม

เมื่อจอมมารเห็นเช่นนั้นก็คิดอยากจะเข้าไปในค่ายกล แต่กลับถูกเยี่ยจิ่งหานแย่งเข้าไปได้ก่อน

“บัดซบ”

จอมมารสบถด่าขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้หยุดพลังฝ่ามือเลยสักนิด แต่กลับปล่อยพลังฝ่ามือเข้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เพราะเกรงกลัวว่าค่ายกลอาคมจะกลับมาประสานกันอีกครั้ง

หลังจากที่เยี่ยจิ่งหานเข้าไปยังค่ายกล เขาราวกับเทพแห่งการสังหาร มือหนึ่งถือขลุ่ย อีกมือหนึ่งปัดเส้นละมุนดรรชนีเผาที่อยู่ข้างกายของกู้ชูหน่วนออก ราวกับเข้าไปยังดินแดนที่ไร้ผู้คน

เมื่อขลุ่ยหยกขาวชนเข้ากับเส้นละมุนดรรชนีเผาก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น

“อาหน่วน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เยี่ยจิ่งหานเฝ้าอยู่ตรงหน้าของกู้ชูหน่วนและชายชราทั้งสาม เพื่อปกป้องพวกเขาจากค่ายกลเส้นละมุนดรรชนีเผาที่ชั่วร้ายนี้

“ซู่……”

เส้นละมุนดรรชนีเผาเปลี่ยนรูปร่างตลอดเวลาตามเวลาที่ผ่านไป และรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังของมันก็ร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ

หากมีเขาเพียงคนเดียว ค่ายกลโบราณสังหารที่ชั่วร้ายนี้ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ชั่วคราว แต่เขายังต้องคอยปกป้องกู้ชูหน่วนที่ใกล้จะหมดลมหายใจและชายชราทั้งสาม รวมไปถึงการกำเริบของพิษเหมันต์ในร่างกายของเขาก็ยังไม่หายดี และดันมาบาดเจ็บสาหัสเพราะจอมมารอีก จึงทำให้เขาเสียพละกำลังไปเยอะในเวลาเดียว

จอมมารพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “เยี่ยจิ่งหาน หากเจ้าไร้ความสามารถ เช่นนั้นก็ออกมาควบคุมค่ายกลข้างนอก และให้ข้าเข้าไปช่วยเอง”

“(เสียงดังกึกก้อง)……” ขลุ่ยหยกขาวเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก ราวกับลืมตาขึ้นมาก็มีพวกมันรายล้อมพวกเขาเอาไว้ และกระทบกันเพื่อต่อต้านค่ายกลเส้นละมุนดรรชนีเผาที่มีความอำมหิต

เยี่ยจิ่งหานประคองกู้ชูหน่วนขึ้นมาและมือของเขาอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมา “อาหน่วน……อาหน่วน……”

กู้ชูหน่วนเจ็บปวดจนใบหน้าบูดเบี้ยว “ตะโกนอะไรของท่าน ข้าไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย”

นางเพียงแค่เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวก็เท่านั้น

ชายชราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างในกล่าวว่า “ท่านอ๋อง พระชายาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะคอยปกป้องพวกข้า พวกข้ารู้สึกผิดเหลือเกิน”

เยี่ยจิ่งหานหามกู้ชูหน่วนขึ้นและคว้ามือขึ้นหยิบหนึ่งในขลุ่ยหยกขาว จากนั้นจึงก้าวออกจากค่ายกลเส้นละมุนดรรชนีเผาและนำทางพวกเขาออกไปจากที่นั่น

“(ชิ่ว)……”

ค่ายกลอาคมเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

ทันใดนั้น ตาข่ายขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนค่ายกลและได้กลายเป็นเกราะเพื่อครอบคลุม จากนั้นเส้นละมุนดรรชนีเผาก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นตาข่ายและปิดกั้นกักขังพวกเขาเอาไว้ทุกทิศทาง

เยี่ยจิ่งหานทำสีหน้าเคร่งขรึม

เขารู้ว่าข้างหน้านั้นมีอันตรายรออยู่ แต่ยังหามกู้ชูหน่วนเพื่อพุ่งออกไปอย่างกล้าหาญ

ภายในค่ายกลมีความอันตรายอย่างมาก ด้านบนยังมีตาข่ายขนาดใหญ่ที่สามารถสังหารทุกคนที่สัมผัสปกคลุมอีกชั้น แถมยังมีควันพิษที่ไม่รู้มีที่มาจากไหนปรากฏขึ้นอีก

ควันพิษนั้นมีความชั่วร้ายมาก แต่กู้ชูหน่วนไม่กลัวพิษและร่างกายของเยี่ยจิ่งหานก็มีพิษมาตั้งแต่เด็กและเขาก็ไม่กลัว แต่การต่อต้านของชายชราทั้งสามนั้นไม่ได้แข็งแรงเช่นนั้น

พวกเขาแต่ละคนล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

เยี่ยจิ่งหานหรี่ตาลงและยอมเสียโอกาสในการวิ่งหนีออกไป แต่กลับใช้พลังฝ่ามือของเขาทำให้ชายชราทั้งสามเด้งออกไป

เมื่อชายชราทั้งสามเพิ่งออกไปได้ไม่นาน ค่ายกลอาคมก็เปลี่ยนแปลงรูปร่างอีกครั้ง เดิมทีที่อยู่ติดกับพื้นดิน จู่ๆ ก็โผล่โครงกระดูกมือออกมาจำนวนมาก โครงกระดูกมือเหล่านั้นรัดแน่นไปที่ขาของเยี่ยจิ่งหาน ไม่ว่าเขาจะออกแรงสะบัดเพียงใดก็ไม่สามารถหลุดออกไปได้

นอกจากโครงกระดูกมือแล้ว ผนังทั้งสี่ด้านของค่ายกลก็มีใบเลื่อยที่แหลมคมจำนวนมากพุ่งเข้ามา

ใบเลื่อยยิ่งเข้ามาใกล้จากทั้งสี่ทิศ หากคิดจะหลบหนีจากใบเลื่อยนี้ไปได้มีเพียงการกระโดดขึ้นข้างบนเท่านั้น แต่เท้าของเขาก็ถูกรั้งเอาไว้ และยังมีเส้นละมุนดรรชนีเผาผสมผสานเข้ากันเส้นแสงสะท้อนและเกราะตาข่ายปกคลุมขนาดใหญ่ เยี่ยจิ่งหานรู้สึกสับสนและยุ่งเหยิงไปหมด

“ตุ่บ……”

เยี่ยจิ่งหานได้รับบาดเจ็บจากการถูกเส้นแสงสะท้อน เพราะต้องการปกป้องกู้ชูหน่วน ทันใดนั้นชุดสีม่วงก็เบ่งบานออกเป็นดอกบัวโลหิต

คนที่อยู่ภายนอกต่างจับตาดูอย่างเหงื่อตก เพราะเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

แม้แต่จอมมารก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก

“เยี่ยจิ่งหาน หากเจ้าไม่มีความสามารถก็ไม่ควรแย่งเข้าไป ดูเจ้าสิช่างอ่อนแอเหลือเกิน”

จอมมารลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่

หากเขาเข้าไปและค่ายกลปิดประสานกลับเป็นเหมือนเดิม หากพวกเขาคิดอยากจะเปิดมันจากข้างในก็เป็นเรื่องยากอย่างมาก อีกทั้งที่นี่ไม่มีใครสามารถเปิดรอยแตกของค่ายกลอาคมได้

ใบหน้าของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

นายท่าน……

ท่านรีบออกมาเร็วๆ สิ

หากยังไม่ออกมา มันต้องฝืนต่อไปไม่ไหวแน่

“อื่ม…….”

เยี่ยจิ่งหานกลืนเสียงอู้อี้ของเขากลับเข้าไปในลำคอ ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายมากเพียงใด และถึงแม้จะต้องยอมแลกด้วยชีวิตของเขา เขาก็พร้อมจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องกู้ชูหน่วน

กู้ชูหน่วนที่อยู่บนหลังของเขาเกิดความซาบซึ้งใจขึ้นมา

“ปล่อยข้าเสียตรงนี้ และท่านหนีออกไปเถอะ”

“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่มีวันยอมทิ้งภรรยาและลูกของข้าและหนีตายไปคนเดียวหรอก”

กู้ชูหน่วนพยายามลืมตาที่ใกล้หมดสติของนางขึ้นและพูดอย่างอ่อนล้า “คนโง่ ข้าหลอกใช้ท่านมาตลอด ท่านดูไม่ออกเลยหรือ?”

เยี่ยจิ่งหานยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

เขาโง่มากที่รู้อยู่แก่ใจว่านางไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย อย่างมากก็เพียงแค่หลอกใช้เขา แต่เขากลับยอมทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้

มีเส้นแสงสะท้อนอีกเส้นหนึ่งที่เดิมทีจะโดนร่างกายของนาง แต่กลับถูกเยี่ยจิ่งหานเข้าไปขวางกั้นเอาไว้

กู้ชูหน่วนรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากและพยายามดิ้นรนเพื่อจะลงจากหลังของเขา แต่เยี่ยจิ่งหานกลับจับนางแน่นและไม่ปล่อยให้นางดิ้นหลุดลงมา

กู้ชูหน่วนด่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนโง่ ในท้องของข้าไม่มีเด็กเลยสักนิด ข้าเพียงแค่หลอกใช้ท่านก็เท่านั้นเอง”

ตู้ม……

เยี่ยจิ่งหานราวกับถูกฟ้าผ่าและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด

“เจ้า…….เมื่อสักครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ”

เป็นเพราะเขาขาดสติ ทำให้ร่างกายของเขามีดกรีดเข้าไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

หากไม่ใช่เพราะจอมมารลงมือได้ทันเวลาและสังเกตเห็นดอกไม้กินคน เกรงว่าเขาคงถูกเส้นละมุนดรรชนีเผาตัดขาดออกเป็นสองท่อนเสียแล้ว

“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของท่าน เยี่ยจิ่งหาน ข้าเพียงแค่หลอกใช้ท่านก็เท่านั้นเอง ข้าไม่เคยรักท่านเลยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ท่านยังไม่รีบปล่อยข้าลงอีกหรือ”

…….

ทุกคนต่างพากันอ้าปากค้าง

พระชายาไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของนายท่าน…….

นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง?

จอมมารตกตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ไม่มีลูก?

เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องเลี้ยงเด็กแทนคนอื่นแล้ว?

ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

พระชายาช่างมีความกล้าอย่างมาก กลับกล้าโกหกเรื่องเช่นนี้ได้

หัวใจของเยี่ยจิ่งหานเต้นเร็วและแรงมาก ราวกับหากเต้นเร็วกว่านี้ก็จะแตกสลายออกมา

เขารู้สึกว่างเปล่าและในหัวก็เต็มไปด้วยคำพูดนั้นของกู้ชูหน่วน

“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของท่าน เยี่ยจิ่งหาน ข้าเพียงแค่หลอกใช้ท่านก็เท่านั้นเอง ข้าไม่เคยรักท่านเลยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ท่านยังไม่รีบปล่อยข้าลงอีกหรือ”

นางไม่สนใจเขา……

นางไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกของเขา……

เพราะอะไร……

โกหกเขาเพื่ออะไร?

เหตุใดที่หมอตรวจจับชีพจรแล้วบอกว่านางตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา……

ยอดฝีมือต่อสู้กันและจะพ่ายแพ้ไม่ได้ อีกทั้งเขายังถูกขังและตกอยู่ในค่ายกลโบราณพลังสังหารชั่วร้ายเช่นนี้ สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือทั่วไปสามารถต่อสู้และเผชิญหน้าได้เลย

เยี่ยจิ่งหานถูกโจมตีต่อเนื่องอย่างหนัก

ไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากค่ายกลอาคมหรือเพราะเขาโมโหกู้ชูหน่วนที่ทำให้ร่างกายของเขาราวกับน้ำแข็งที่เยือกเย็นและเขาได้กระอักเลือดสีดำออกมา

“ท่านอ๋อง……”

“นายท่าน……”

กู้ชูหน่วนตะโกนออกมา “เยี่ยจิ่งหาน ท่านมัวยืนเฉยอยู่ทำไม หากจะยืนเฉยเช่นนี้ก็รอให้ท่านออกไปให้ได้เสียก่อน ท่านยังไม่รีบปล่อยข้าลงอีก”

นางเริ่มสะบัดดิ้นอีกครั้ง แต่เยี่ยจิ่งหานกลับจับนางไว้แน่นขึ้น ราวกับว่าหากเขาปล่อยมือ เช่นนั้นเขาก็จะสูญเสียนางไป

กู้ชูหน่วนยอมแพ้ นางหยิบอาวุธลับออกมาจากกระเป๋าวงแหวนอวกาศของนาง ต่อให้ร่างกายของนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด นางก็ยังยิงออกไปที่โครงกระดูกมือที่อยู่ที่พื้นเหล่านั้น

โครงกระดูกมือไม่กลัวอาวุธลับและมันไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด แต่กลับรัดขาของเยี่ยจิ่งหานแน่นขึ้นเรื่อยๆ

กู้ชูหน่วนจึงหยิบยาพิษออกมาและโรยลงไปบนโครงกระดูกมือจำนวนมาก

โครงกระดูกมือยังคงไม่มีความรู้สึกหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย และรวมไปถึงที่นางใช้ดาบฟันก็ไม่ได้ผลอะไรสักนิด