นางกำลังจะถูกบีบบังคับรับเข้าเป็นศิษย์ มู่เฉียนซีมองชายชราผู้ปราดเปรื่องผู้นั้นและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าปฏิเสธล่ะ ?”
ผู้อาวุโสเจ็ด “ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นหเยียน มีแต่คนมาขอร้องร่ำไห้ขอเป็นศิษย์ทว่าถูกข้าปฏิเสธ เจ้ากล้าปฏิเสธข้าเช่นนั้นรึ ?”
“ข้าไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มคนที่ขอร้องอ้อนวอนเหล่านั้น ดังนั้นข้าขอปฏิเสธ” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเรียบ
“ไม่มีผู้ใดปฏิเสธข้าได้!”
ทันใดนั้นดวงตาของผู้อาวุโสเจ็ดเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
“คุณชายมู่!” เมื่อเห็นผู้อาวุโสเจ็ดกำลังจะลงมือ เฟิงหลิงอวิ๋นรีบรุดเข้าไปขวางหน้ามู่เฉียนซีด้วยความกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
“เป็นเพียงกลุ่มนักผจญภัยเล็ก ๆ กล้ากล่าวปฏิเสธข้างั้นรึ ?!” ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวดูแคลน
มู่เฉียนซี “ตาเฒ่าเอ๋ย ท่านคิดจะบีบบังคับให้ข้าไปเป็นศิษย์เช่นนั้นหรือ ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่าท่านจะจับข้าไปเป็นศิษย์ได้หรือไม่” กล่าวจบมู่เฉียนซีก็ล่องหนไปรอบ ๆ ป่าด้านนอก อุบายการแก่งแย่งคว้าชิงเช่นนี้ของสำนักอวิ๋นเยียน นางเห็นมานักต่อนักแล้ว
นางแสดงท่าทางบอกเป็นนัยกับเฟิงหลิงอวิ๋นว่าไม่ต้องเป็นห่วงเลย
“ไปจับตัวมาให้ข้า”
ปฏิเสธการเป็นศิษย์เขาไปคราหนึ่งแล้ว ยังจะกล้าวิ่งหนีเขาอีก ผู้อาวุโสเจ็ดจะทนได้อย่างไรกันเล่า
พวกเขาวิ่งตามมู่เฉียนซีกันไปหมด จนในที่สุดก็เหลือเพียงแค่คนของกลุ่มนักผจญภัยหลิงอวิ๋น
“ท่านผู้นำกลุ่ม คุณชายมู่คนเดียวรับมือไหวจริง ๆ หรือขอรับ ?” พวกเขากล่าวถามเบา ๆ
เฟิงหลิงอวิ๋น “เขาไม่มีวันทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจแน่นอน พวกเรากลับเมืองกันไปก่อนเถอะ”
ความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นถือได้ว่ารวดเร็วราวลมพายุ ถึงแม้ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเจ็ดจะมีมาก เขาเป็นถึงขั้นจักรพรรดิระดับเก้า แต่เขาก็ไม่อาจไล่ตามมู่เฉียนซีทัน อีกทั้งความสมบูรณ์ของเทือกเขาชีชงทำให้นางหลบซ่อนตัวได้ดี พวกเขาจึงหาตัวมู่เฉียนซีไม่เจอ
ผู้อาวุโสเจ็ดกรุ่นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในฐานะที่อวิ๋นปู้หลัวเป็นเจ้าสำนักของสำนักย่อย เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสเจ็ด ระงับโทสะก่อนเถอะขอรับ ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นจะหนีอย่างไร แต่สุดท้ายมันก็ต้องกลับเข้าเมืองแน่นอน ตราบใดที่มันย่างเท้าเข้าเมืองก็ไม่มีวันหนีรอดไปจากกำมือท่านได้แน่”
ผู้อาวุโสเจ็ด “อืม… ที่เจ้ากล่าวมา ข้าคิดว่าถูกต้อง”
ทันทีที่มีข่าวของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ออกมา คนของหุบเขาหมอเทวดาก็หายตัวไปทันที คาดว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์คงจะตกอยู่ในมือของพวกเขาไปแล้วกระมัง ? พวกเขาไม่อาจไปแย่งชิงและต่อกรกับสำนักนิกายระดับสองได้ ดังนั้นจึงเตรียมตัวกลับเข้าเมือง
มู่เฉียนซีกลับเข้าเมืองชางแล้ว นางเปลี่ยนเป็นชุดสตรีที่เรียบง่าย ต่อให้นางยืนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นปู้หลัว อวิ๋นปู้หลัวก็จำนางไม่ได้
มู่เฉียนซีเข้าพักอยู่ในโรงเตี๊ยม จากนั้นร่างสูงก็ปรากฏอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซี เข้ามาโอบกอดนางเอาไว้
มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าติดตามข้ามาโดยตลอด เจ้าไม่มีอะไรทำแล้วรึ ? หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปทำก่อนก็ได้ รอให้อาถิงตื่นขึ้นมาข้าจะหาทางส่งข่าวไปที่จวนเยี่ยอ๋องเอง”
จิ่วเยี่ยติดตามนางราวกับเงาตามตัว ทว่าทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น นางกลับไม่รู้สึกอะไรเลย …นางชาชินไปเสียแล้ว
จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม “ศาลาเรือนรางเก้าชั้นตื่น ข้าต้องการรู้ข่าวนี้เร็วที่สุด ตามเจ้าไปทุกที่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
“แต่…”
จิ่วเยี่ยมีพลังความแข็งแกร่งมากเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ว่างจนไม่มีอะไรทำเด็ดขาด
“เรื่องอื่นจื่อโยวจัดการได้ ข้าเพียงแค่ติดตามเจ้าและรอให้ศาลาเรือนรางเก้าชั้นตื่นขึ้นมาก็พอแล้ว …ซีไม่มีสิทธิ์ไล่ข้าไปไหนทั้งนั้น” กล่าวจบริมฝีปากของจิ่วเยี่ยก็ประกบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อของมู่เฉียนซี จุมพิตนี้เป็นจุมพิตที่ยาวนานราวกับไม่มีวันจบสิ้น
“ฮืม… อา…”
การที่ได้อยู่กับนาง คอยดูการเติบโตของนาง ได้ใกล้ชิดนาง ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่าการนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงศักดิ์นัก
มู่เฉียนซีรู้สึกจนปัญญา คนผู้นี้ก็เหมือนกันกับนาง เขาเผด็จการ เอาแต่ชี้นิ้วสั่งการนาง ทว่าที่ต่างกันคือเขาชอบมาทำลามกกับนาง
นางนั้นไม่อาจผลักชายที่อยู่ตรงหน้าออกได้ ลมหายใจนางขาดห้วงประหนึ่งถูกกัดเซาะทีละน้อย สุดท้ายก็ถลำลึกไปจนไม่อาจขัดขืนได้
มู่เฉียนซีซบจิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวว่า “รอให้หาหม้อเทพนิรันดร์เจอ สิ่งแรกที่ข้าจะทำก็คือรักษาขาของท่านอา ถัดมาก็เป็นเรื่องแก้คำสาปให้เจ้า คำสาปนี้ไม่เพียงแต่ทรมานเจ้า แต่มันยังทรมานตัวข้าด้วย”
ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยเปล่งประกายด้วยความไม่พอใจขึ้น
— แควก! —
อาภรณ์ของมู่เฉียนซีขาด เขาฉีกเสื้อผ้าของนางออก!
บทลงโทษ!
ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะเห็นเขาเป็นที่สองไปตลอด เหตุนี้จึงทำให้จิ่วเยี่ยไม่พอใจ สุดท้ายผลที่ตามมาก็คือการทรมานมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง
ใบหน้าของมู่เฉียนซีในเวลานี้แดงก่ำ ดวงตาดำจ้องมองใบหน้าบุรุษตรงหน้า ผู้ที่งดงามอย่างไร้ที่เปรียบนี้ เจ้าก้อนน้ำแข็งผู้นี้กำลังโกรธ!
อารมณ์ของเยี่ยอ๋องผู้นี้แปรปรวน ยากนักที่จะเข้าใจ ทว่านางไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้าหรือ ?
จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงแหบแห้ง “ซี… บุรุษผู้นั้นสำคัญกับเจ้ามากรึ ?”
“บุรุษผู้นั้น ผู้ใดรึ ?” มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าเขาหมายถึงผู้ใด
“มู่อวู่ซวง” จิ่วเยี่ยพ่นนามหนึ่งออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยจิตสังหาร
มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารนั้น สีหน้านางเคร่งขรึมขึ้นมา “ใช่ สำหรับข้าแล้ว ท่านอาเล็กเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้า ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าแตะท่านอาของข้า ข้าไม่มีวันปล่อยมันผู้นั้นไปแน่”
“รวมถึงข้าด้วยรึ ?” แสงสลัวปรากฏขึ้นในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
“รวม… อ๊ะ! อืม…” มู่เฉียนซีกล่าวยังไม่ทันจบ จิ่วเยี่ยก็ประกบริมฝีปากมาอีกครั้ง
สตรีผู้นี้สั่งสอนเท่าไหร่ก็ไม่เคยหลาบจำ อีกทั้งยังไร้ความรู้สึกอย่างแปลกพิกล จะไม่ทำให้จิ่วเยี่ยโกรธได้อย่างไร ?
มู่เฉียนซีโหยหวน “จิ่วเยี่ย… อื้อ… เจ้า… หยุด…”
“จิ่วเยี่ย หากมีใครมาทำร้ายเจ้า ข้าก็ไม่มีวันปล่อยมันผู้นั้นไปเช่นกัน” ที่นางกล่าวไปเช่นนี้ ไม่ใช่ว่านางจะขอร้องให้เขาหยุด แต่เป็นความจริงจากใจนาง
จิ่วเยี่ยกอดนางเอาไว้แน่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าขัดใจเขา ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใด เขาก็จะได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ทว่าสตรีที่เขาปกป้องด้วยหัวใจกลับเห็นเขาเป็นที่สองในชีวิตเสมอ มันจึงทำให้เขาเสียใจอย่างมาก
แต่แน่นอนว่าจิ่วเยี่ยไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ ต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะเอามู่อวู่ซวงออกจากตำแหน่งที่หนึ่งในใจของมู่เฉียนซีให้ได้
ความโกรธและความหึงหวงของจิ่วเยี่ยนั้นไม่ง่ายเลยที่จะสงบลง มู่เฉียนซีจึงทรมานอย่างมาก สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจนได้
สตรีผู้นี้ช่างไร้หัวใจยิ่งนัก ปลายนิ้วของเขาเลื่อนตกลงที่หน้าอกซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจของสตรีร่างบาง เขาอยากจะควักหัวใจของนางออกมาดูเสียจริง ๆ ว่าภายในนั้นมีอะไร มีเขาอยู่หรือไม่…
จิ่วเยี่ยยั้งมือ หยุดความคิดอันโหดร้ายและกระหายเลือดนั้นลง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำนางไม่ลง
…
ในช่วงนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเซี่ยโจว นั่นก็คือศิษย์ผู้เป็นอัจฉริยะในสำนักย่อยของสำนักอวิ๋นเยียนถูกลอบสังหารอย่างประหลาด
นี่เป็นการแก้แค้นสำนักอวิ๋นเยียนอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่สำนักอวิ๋นเยียนได้ขึ้นแท่นเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งในเซี่ยโจวมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้ากระทำเรื่องที่บังอาจเช่นนี้กับสำนักอวิ๋นเยียนมาก่อน
เมื่อได้ยินข่าวนี้เข้า สตรีที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างของมุมมุมหนึ่งในโรงเตี๊ยมก็ยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่าเสี่ยวชีทำภารกิจได้อย่างราบรื่น
ในเมื่อทางด้านของเสี่ยวชีทำภารกิจได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นนางก็มีกำลังใจในการตามหาหมอเทพนิรันดร์แล้ว ฮู้เร่!
ในเซี่ยโจว หากต้องการจะติดต่อกับนักปรุงยา นางคงต้องเข้าร่วมกับกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตร หากมีข่าวของหม้อเทพนิรันดร์ในเซี่ยโจว นักปรุงยาทุกคนต้องรู้ข่าวและมีข้อมูลเป็นแน่ หากนางต้องการรับรู้ข้อมูลเหล่านี้ ก็ต้องเข้าร่วมเป็นพันธมิตร
โชคดีที่เมืองชางเฟิงมีกลุ่มนักปรุงยาพันธมิตรย่อยอยู่ มู่เฉียนซีเตรียมพร้อมที่จะไปทดสอบเป็นนักปรุงยา นางจะได้เข้าร่วมกับนักปรุงยาพันธมิตรเหล่านี้ก็เพื่อที่จะเสาะหาข่าวจากพันธมิตรเหล่านี้ดู
ทว่าในขณะที่นางกำลังจะก้าวเข้าประตูไป ก็ได้เห็นสตรีคุ้นเคยนางหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มตาหยีพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่อวิ๋นมาแล้ว”
.