ตอนที่ 134 หัวหน้า

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 134

หัวหน้า

 

“เกิดอะไรขึ้น”หัวหน้าถังที่ขี่หลังของราชสีห์ดำกำลังทะยานมาที่ท่าเรือเพราะการโจมตีของอสูรเต่ายักษ์ที่ทำเอาทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือน ยามปกติอสูรเต่ายักษ์แทบจะไม่เคลื่อนไหวเลย มันมักจะหลับอยู่ใต้ผืนน้ำตลอดเวลาจนเกาะบนหลังของมันแทบจะกลายเป็นผืนแผ่นดินธรรมดาไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แถมตั้งแต่ราชวงก์อู๋ปกครองแผ่นดินของอาณาจักรมา ก็ไม่มีสงครามมาเนิ่นนานแล้วทำให้เทพผู้พิทักษ์ของกลุ่มนักฝึกอสูรแทบจะไม่ได้ออกมาเผยโฉมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมต่อให้มีกองเรือเข้ามาบุกโจมตี อสูรเต่ายักษ์ก็ไม่น่าจะโจมตีรุนแรงถึงเพียงนี้

“หัวหน้า ท่านมาแล้ว”ชายคนหนึ่งรับคำพลางพาหัวหน้าถังไปยังของผาซึ่งอยู่ติดกับทะเลที่พวกไป๋จูเหวินกำลังปะทะกับเต่ายักษ์อยู่ เพียงแต่พอหัวหน้าถังมาถึงการปะทะก็จบลงแล้ว

“ทำไมท่านผู้พิทักษ์ถึงได้โจมตีแบบนั้นล่ะ”หัวหน้าถังถามพลางเพ่งมองเรือที่อยู่ตรงหน้าอสูรเต่ายักษ์

“ไม่ทราบขอรับ แต่ดูเหมือนท่านจะสงบลงแล้ว”ชายคนเดิมตอบพลางหันไปสั่งลูกน้องให้ลงไปหาสาเหตุ

“ไป๋จูเหวิน…”หัวหน้าถังขมวดคิ้วมองคนบนเรือด้วยท่าทีประหลาดใจ ทำไมบนเรือที่ถูกโจมตีถึงมีไป๋จูเหวินอยู่ได้ หรือจะเป็นเพราะแก่นอสูรของมันกับเหม่ยหลิน แต่ทั้งบิดาของหวงหลงรวมทั้งหวงหลงเองก็เคยเดินทางมาที่นี่ แก่นอสูรในร่างของพวกมันก็ไม่ได้ทำให้อสูรเต่ายักษ์ตื่นขึ้นมาแต่อย่างไรนี่นา

“ดูเหมือนท่านผู้พิทักษ์จะพูดคุยอยู่กับคนบนเรือขอรับ”หลังจากส่งลูกน้องออกไป ไม่นานคำรายงานก็กลับมา เพราะไม่กล้าออกเรือไป ตรวจสอบพวกมันเลยได้แต่สังเกตจากบนฝั่งเท่านั้น

“หัวหน้า เรือแล่นออกมาแล้วขอรับ”ชายอีกคนว่าพลางมองเรือที่ไป๋จูเหวินโดยสารมา และทันทีที่เรือออกมาจากเบื้องหน้าอสูรเต่ายักษ์แล้ว

“เข้าใจแล้ว”หัวหน้าถังตอบพลางเดินลงมาที่ท่าเรืออย่างรวดเร็ว เรือที่ไป๋จูเหวินโดยสารมาเปียกไปทั้งลำ แถมลูกเรือก็ยังอยู่ในอาการตกตะลึงกันถ้วยหน้า แทบไม่ต้องสงสัยเลยกับการเจอเทพผู้พิทักษ์แห่งนครลับฟ้าอย่างใกล้ชิดนั้นนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อของเหล่าลูกเรือ ถึงขนาดว่าการเจอหัวหน้าถังหลังจากลงมาจากเรือแล้วไม่ได้ทำให้พวกมันตกใจได้อีกแล้ว

“ท่านหัวหน้า”ไป๋จูเหวินว่าพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

“ยินดีต้อนรับสู่นครลับฟ้า ท่าทางเจ้าจะได้เห็นเทพผู้พิทักษ์ของเราแล้ว”หัวหน้าถังยิ้มพลางเดินมารับตัวไป๋จูเหวินด้วยตนเอง

“กรรร”แม้แต่ราชสีห์ดำของหัวหน้าถังยังเข้ามาคลอเคลียไป๋จูเหวินราวกับลูกแมว สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าผู้คนรอบๆอย่างมาก

“หัวหน้า เด็กพวกนี้เป็นคนของกลุ่มนักล่าอสูรไม่ใช่หรือ”ชายคนหนึ่งถามด้วยสี่หน้าไม่พอใจ แน่นอนว่าความเกรียดชังของกลุ่มผู้ฝึกอสูรที่มีต่อกลุ่มนักล่าอสูรยังคงไม่หายไป

“สวัสดีค่ะ หัวหน้าถัง”เหม่ยหลินที่อยู่ด้านหลังว่าพลางเดินเข้ามาหาหัวหน้าถัง

“เจ้า…เหม่ยหลินนี่เอง เจ้าโตขึ้นมากทีเดียว”หัวหน้าถังพูด้พลางมองเหม่ยหลินด้วยท่าทีสงสาร น่าแปลกแม้แต่เหล่าผู้ฝึกอสูรคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าสงสารเหม่ยหลินกันถ้วยหน้า ทำให้คนที่ไม่ได้ไปร่วมงานชุมนุมกลับมามองไป๋จูเหวินด้วยสายตาไม่ไว้ใจเพียงผู้เดียวเสียอย่างนั้น

“มาเถอะ เราไปยังเมืองของข้ากัน”หัวหน้าถังว่าพลางเรียกให้เหล่าลูกน้องกลับขึ้นอสูรพาหนะ แน่นอนว่าไป๋จูเหวินเองก็ให้หลินหลินกลายร่างเป็นแมงมุมก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังของนางอย่างเคยชิน

“พี่ไป๋ นี่เป็นบนหลังของลุงเต่าคนนั้นจริงๆเหรอ”หลินหลินว่าพลางย่ำเท้าลงบนพื้นดิน แม้จะเป็นบนหลังของอสูรเต่ายักษ์แต่พื้นที่มันกว้างใหญ่มากไม่แพ้นครอื่นๆเลย แถมเมืองในนครลับฟ้ายังมีกว่า 6 เมืองเสียอีก เรียกได้ว่าอสูรเต่ายักษ์เป็นอสูรที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย

“ใช่แล้ว ท่านเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เรารู้จักมาเลยล่ะ”หัวหน้าถังว่าพลางยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ อสูรที่แบกภูเขาเอาไว้บนหลังอย่างมังกรธรณีนับว่าใหญ่โตมากแล้ว แต่อสูรที่แบกแผ่นดินผืนหนึ่งไว้บนหลังเช่นนี้ใหญ่กว่าหลายสิบเท่า เกรงว่าหากท่านน้ามังกรจะขยายตัวใหญ่เท่ามันคงต้องใช้เวลาอีกหลายพันปีหรืออาจจะนับหมื่นปีเลยก็ได้

“แล้วทำไมอสูรถึงยอมให้พวกท่านมาสร้างเมืองบนหลังของมันได้ล่ะขอรับ”ไป๋จูเหวินถามด้วยท่าทีสงสัย

“เรื่องนั้นต้องยกความดีให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา”หัวหน้าถังว่าพลางกระโดดขึ้นมานั่งบนหลังของหลินหลินแทนราวกับจะมาพูดคุยกับไป๋จูเหวินอย่างจริงจัง

“เมื่อหลายพันปีก่อน มีหญิงสาวนางหนึ่งตกลงพูดคุยกับท่านอสูรเต่า นางขอให้พวกเราสามารถขึ้นไปสร้างเมืองบนหลังของอสูรเต่าได้”หัวหน้าถังว่าพลางยิ้มมองไปรอบๆดินแดน เรื่องเล่านี้สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อของมัน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ด้วยซ้ำ

“แค่พูดคุยเหรอเจ้าคะ”เหม่ยหลินถามอย่างประหลาดใจ การที่มีเมืองอยู่บนหลังเช่นนี้อสูรเต่ายักษ์ย่อมดำน้ำไม่ได้ แม้จะไม่ทราบว่ามีทะเลจุดไหนที่ทำให้มันจมได้หรือไม่ก็ตาม แต่การให้มนุษย์มาสร้างเมืองบนหลังของมันย่อมมีผลบางอย่างกับมันอย่างแน่นอน

“ใช่ พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ บรรพบุรุธท่านนั้นมีความสามารถพิเศษ”หัวหน้าถังว่าพลางมองมาทางไป๋จูเหวิน

“นางสามารถทำให้อสูรที่เจอเชื่องได้อย่างง่ายดาย เพียงมองตากันครู่หนึ่งไม่ว่าอสูรตนนั้นจะดุร้ายหรือคุ้มคลั่งแค่ไหน ไม่นานพวกมันก็เริ่มเชื่องและเป็นมิตรในทันที อย่างท่านอสูรเต่าเองตามตำนานก็บอกว่าท่านเพียงนั่งเรือเข้าไปพูดคุยไม่นานเท่านั้นมันก็ยอมให้สร้างเมืองบนหลังอย่างง่ายดาย”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที หรือนั่นจะเป็นคนที่อสูรเต่ายักษ์พูดถึง

“แล้วนาง…ได้อยู่ที่นครลับฟ้าต่อหรือเปล่าขอรับ”ไป๋จูเหวินถามด้วยความอยากรู้

“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ท่านก็เป็นหัวหน้าคนแรกของพวกเราก่อนจะก่อตั้งนครลับฟ้าขึ้นมาละนะ”หัวหน้าถังว่าพลางเล่าเรื่องของเมืองลับฟ้าต่อไปเรื่อยๆ แต่เพียงไม่กี่สิบนาทีเมืองลับฟ้าซึ่งเป็นเมืองหลวงของนครลับฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว โดยนครลับฟ้าไม่เหมือนนครอื่นๆตรงที่เมืองหลวงจะอยู่เมืองแรกหลังจากขึ้นท่าเรือมาเลย ทั้งนี้เพราะมันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการบุกโจมตีเพราะไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับอสูรเต่ายักษ์กันเสียเท่าไหร่

เมืองลับฟ้าเป็นเมืองที่มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ไม่มีกำแพงเมือง มีเพียงรั้วไม้เหมือนเอาไว้เลี้ยงสัตว์เสียมากกว่า โดยบ้านแต่ละหลังต่างเว้นระยะห่างเอาไว้จำนวนมากสำหรับเลี้ยงสัตว์และอสูร เป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อยที่ได้เห็นอสูรและสัตว์เลี้ยงธรรมดาอยู่ร่วมกันได้ แม้ที่นครร้อยแปดอสูรจะมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงอสูร แต่พวกมันก็ไม่สามารถอยู่กับสัตว์เลี้ยงธรรมดาได้เพราะพวกมันจะถูกอสูรจับกินก่อนเสียหมดนั่นเอง

“ท่านหัวหน้า”เหล่าชาวเมืองที่หัวหน้าถังเดินทางผ่านต่างพากันออกมาทักทายราวมิตรสหาย พวกมันพากันยิ้มแย้มทักทายกันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกันทำเอารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“ทุกคนที่นี่เลี้ยงอสูรกันจริงๆด้วยสินะเจ้าคะ”เหม่ยหลินว่าพลางมองภาพรอบข้างอย่างสนอกสนใจ ตัวนางไม่เคยขึ้นมาที่นครลับฟ้ามาก่อน ได้แต่มารับหัวหน้าถังที่ท่าเรือ นี่จึงเป็นครั้งแรกของนางเช่นกันที่ได้มาเที่ยวเมืองแห่งนี้

“ถูกแล้ว ทุกคนในนครลับฟ้าล้วนเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้ฝึกอสูร ทุกคนมีความรักและเมตตาให้กับเหล่าอสูรกันทุกคน”หัวหน้าถังยิ้มพลางพาพวกไป๋จูเหวินเดินทางไปยังปราสาทสีขาวที่ตั้งอยู่บนเนินกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว โดยรอบๆปราสาทต่างเต็มไปด้วยฝูงอสูรน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน โดยทันทีที่ไป๋จูเหวินผ่านทางมา เหล่าอสูรก็พากันหันมามองอย่างสนใจ พร้อมพากันเดินตามไม่ขาดสาย ทำเอานึกถึงวันแรกที่เข้าไปยังเมืองร้อยแปดอสูรขึ้นมาเลย

“เป็นเจ้าจริงๆด้วยไป๋จูเหวิน”เสียงของถังซินดังมาจากหน้าประตูปราสาท ทันทีที่นางเห็นว่าเหล่าอสูรเริ่มรวมตัวกันก็เดาออกในทันทีว่าผู้ที่มาคือไป๋จูเหวินนั่นเอง นอกจากมันแล้วคงไม่มีใครที่จะทำให้เหล่าอสูรมารวมตัวกันขนาดนี้ได้

“ไม่ได้พบกันนานนะขอรับพี่ถังซิน”ไป๋จูเหวินว่าพลางลงจากหลังของหลินหลินไปอย่างรวดเร็ว

“ในที่สุดเจ้าก็มาสักที รู้หรือเปล่าว่าท่านพ่อเอาแต่บ่นถึงเจ้าทั้งวันเลย”ถังซินหัวเราะพลางมองไปทางบิดาของนาง อาจจะเพราะความคาใจของหัวหน้าถังก็เป็นได้ ทำให้มันเอาแต่รอว่าเมื่อใดไป๋จูเหวินจะมาเยี่ยมเยียนตนเสียที

“สวัสดีเจ้าค่ะ”เหม่ยหลินที่พึ่งลงมาจากหลังของหลินหลินก็เข้ามาทักทายอย่างอ่อนน้อม ธิดาของหัวหน้ากลุ่มผู้ฝึกอสูรถังซินนั้นมีชื่อเสียงไม่น้อย แม้จะไม่เท่าเหม่ยหลินแห่งกลุ่มนักล่าอสูรก็ตาม

“ข้าชื่อถังซินยินดีที่ได้รู้จัก”ถังซินเห็นหญิงสาวท่าทางอ่อนหวานเดินเข้ามาทักทายก็รีบแนะนำตัวทันที

“ข้าชื่อเหม่ยหลินเจ้าค่ะ”เหม่ยหลินตอบพลางยิ้มรับ แต่ทันทีที่ชื่อของนางถูกเอ่ยออกไป ใบหน้าของถังซินก็เปลี่ยนเป็นตกใจก่อนจะกลายเป็นใบหน้าสงสารในทันที

“เป็นเจ้านี่เอง”ถังซินว่าพลางมองเหม่ยหลินด้วยท่าทีสงสาร ราวกับคนของกลุ่มผู้ฝึกอสูรรู้เรื่องของเหม่ยหลินกันหมด เพราะไม่ว่าจะใครต่างก็มีสีหน้าสงสารให้นางเสมอ แต่ตัวเหม่ยหลินเองก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไร คงมีเพียงไป๋จูเหวินเท่านั้นที่รู้สึกแปลกๆ

“มาเถอะ ข้าจะบอกพ่อครัวให้เตรียมอาหารต้อนรับเจ้า”หัวหน้าถังว่าพลางลากไป๋จูเหวินเข้าไปในปราสาทท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าลูกน้อง หัวหน้าถังปกติเป็นคนสุขุมไม่เคยรับแขกด้วยท่าทีร้อนรนเช่นนี้มาก่อน มันทำราวกับกลัวว่าไป๋จูเหวินจะเปลี่ยนใจกลับไปให้ได้