ตอนที่ 1454 หุ่นเชิดโลหิต

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่มองดูปีศาจร่างยักษ์เดินเข้ามาทีละก้าวอย่างเยือกเย็น ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

 

 

เพียงแค่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อย ก้าวเข้ามาในขอบเขตอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ เขาก็จะใช้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำจู่โจมอย่างไม่ปรานี สังหารสองปีศาจสองตนพร้อมกันในคราเดียว

 

 

ทว่าในขณะนี้ ไกลออกไปบนขอบฟ้าพลันปรากฏแสงสีแดงสว่างขึ้นวาบหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องแหลม

 

 

ตามด้วยแสงโลหิตสามดวงที่ปรากฏออกมาท่ามกลางความมืดมิด กลายเป็นรุ้งสีโลหิตสามสายพวยพุ่งเข้ามา

 

 

เมื่อเห็นฉากนี้ คนแคระก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ใช้ไม้เท้าในมือแตะไปที่ศีรษะของปีศาจพฤกษาอีกคราหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองรุ้งสีโลหิตด้วยใบหน้าตื่นตระหนกระคนสงสัยไม่หยุด

 

 

เสียง “ตึงๆ” ดังขึ้นสองสามหน ปีศาจพฤกษามรกตพลันหยุดฝีเท้า คิดไม่ถึงว่าจะหยุดที่บริเวณขอบของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำอย่างพอดิบพอดี

 

 

หานลี่ขมวดคิ้วคราหนึ่ง แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เกิดขึ้นก็เบนสายตาไปยังกลางอากาศที่ไกลออกไปอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

พวกไป๋ปี้ทั้งสามคนเห็นดังนี้ก็พากันไม่สบายใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าที่ปรากฏออกมาใหม่นี้เป็นปีศาจชนิดใดอีก

 

 

รุ้งสีโลหิตสามสายนี้มีความเร็วที่น่าประหลาด พุ่งปราดเปรียวมาถึงกลางอากาศในบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ครั้นลำแสงดับวูบ มนุษย์ร่างเล็กสีแดงสูงฉื่อกว่าสามคนก็ปรากฏออกมา

 

 

มนุษย์ร่างเล็กแต่ละคนล้วนมีใบหน้างามสะโอดสะองค์ มองไม่ออกว่ามีอายุเท่าไหร่ ทว่าบนร่างสวมเกราะศึกสีแดงแปลกตา บนพื้นผิวของเกราะสลักอักขระไว้อย่างถี่ยิบ ผิวหนังก็เป็นสีแดงสดเช่นกัน ทั้งยังแผ่กลิ่นคาวเลือดที่ชวนคลื่นเ**ยนอาเจียนออกมา

 

 

ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งสามคู่กวาดมองลงมายังเบื้องล่างครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยลำแสงประหลาดลงมายังร่างของหานลี่ในท้ายที่สุด

 

 

รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่ผุดออกมาจากแผ่นหลังแล้วแผ่ไปยังทั่วร่าง ราวกับกำลังถูกอสรพิษสามตัวจ้องเขม็งอยู่ก็มิปาน

 

 

“หุ่นเชิดโลหิต นั่นคือหุ่นเชิดร่างแยกของอรหันต์ตี้เซวี่ย!” เมื่อคนแคระเห็นรูปร่างของมนุษย์ร่างเล็กชัดเจน ใบหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

 

“หุ่นเชิดโลหิต? ตี้เซวี่ย?” หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว ทว่าในหัวกลับไม่มีความทรงจำแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกปลาดใจอยู่บ้าง

 

 

มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามมองหานลี่อย่างประเมินอยู่นานสองนาน ทันใดนั้นดวงตาก็ปรากฏสีของความดุร้ายออกมา มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามอ้าปากพร้อมกัน ลำแสงสีโลหิตสามสายพลันพวยพุ่งออกมา ในชั่วพริบตาก็มาโผล่ที่เบื้องหน้าของหานลี่

 

 

แม้ว่าหานลี่จะระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยการโจมตีออกมาโดยไม่ส่งสัญญาณแม้แต่น้อย ก็ยังต้องตกตะลึงระคนโมโหอย่างหนัก

 

 

ทันทีที่ชูแขนขึ้นโดยไม่คิด แสงอรุโณทัยสีเทาผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ขณะเดียวกัน บนร่างมีปราณสีดำผุดออกมากลุ่มใหญ่ พลันปรากฏเกราะศึกโบราณสีดำขลับ

 

 

“พรึ่บ!” “พรึ่บ!” “พรึ่บ!” เกิดเสียงดังอื้ออึงสามครั้ง

 

 

ไม่รู้ว่าลำแสงโลหิตสามสายนี้เป็นอิทธิฤทธิ์แบบใด แต่คาดไม่ถึงว่าแสงเทวะดูดปราณที่สามารถควบคุมพลังเบญจธาตุได้นั้น แค่ลำแสงนี้เปล่งกะพริบไม่กี่ทีก็ถูกทะลวงเป็นรูโหว่และโจมตีใส่เกราะสังหารที่ปรากฏบนร่างของหานลี่

 

 

แสงโลหิตสั่นกระเพื่อมอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่ลำแสงสีโลหิตทั้งสามสายมีกำลังอ่อนลงหลายส่วน ครู่ต่อมาก็ทะลวงเกราะสังหารเป็นรูโพรงขนาดเท่าข้อมือสามโพรง ก่อนที่จะปะทะเข้ากับทรวงอกของหานลี่อย่างแข็งกร้าว

 

 

พวกเหลยหลันที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างพากันหน้าถอดสี ทว่าฉากต่อจากนี้ถึงกับทำให้แต่ละคนต้องตกตะลึงจนตาค้างไปตามๆ กัน

 

 

เสียงกึกก้องราวกับฟ้าผ่าดังออกมาจากหน้าอกของหานลี่ หลังสิ้นเสียงสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงสีโลหิตก็ผสานเข้ากับประกายอัสนีสีเงินทองแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาเดียวกัน

 

 

คาดไม่ถึงว่าการโจมตีนี้จะถูกอาภรณ์อัสนีของหานลี่ต้านไว้ได้ในที่สุด

 

 

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้หานลี่รู้สึกตื่นตกใจอย่างหนัก สีหน้าของเขาหม่นหมองโดยพลัน หลังจากแค่นเสียงคราหนึ่ง เกราะสังหารที่ถูกแหวกออกเป็นโพรงใหญ่สามโพรงกลับผุดปราณสีดำออกมาจากข้างใน ภายในชั่วพริบตาก็ฟื้นคืนสภาพเดิม

 

 

หากไม่รู้ว่าเกราะสังหารนี้ได้กระจายอานุภาพของลำแสงโลหิตสามสายนี้ไว้ เกรงว่าอาภรณ์อัสนีก็ไม่อาจต้านทานได้

 

 

เมื่อเห็นว่าการโจมตีไม่ได้ผล หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย แผ่นหลังเปล่งแสงโลหิตออกมาวาบหนึ่ง ปีกสีแดงฉานก็ปรากฏออกมาทีละคู่ เพียงแค่กระพือคราหนึ่ง มนุษย์ร่างเล็กก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ

 

 

หานลี่รู้สึกใจหายวาบ ยังไม่ทันได้ทำการตอบโต้ใดๆ ก็เกิดระลอกคลื่นในอากาศบริเวณใกล้เคียงขึ้น มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามก็โผล่พรวดออกมา

 

 

พวกมันแกว่งมือทั้งสองคราหนึ่ง ในมือของแต่ละตัวปรากฏมีดยาวสีโลหิตสองเล่ม เมื่อฟันไปยังอากาศตรงหน้าหานลี่ ลำแสงมีดสีโลหิตทั้งสามเส้นก็ผ่าลงมาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีแดงสด คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะไม่สนใจพวกเหลยหลันที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงแม้แต่น้อย

 

 

หุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ล้วนมีจิตสัมผัสของชายชุดโลหิตอยู่ในนั้นเสี้ยวหนึ่ง ย่อมสามารถแยกแยะได้ว่ามีเพียงหานลี่เท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้ เพียงแค่กำจัดเขาทิ้ง คนที่เหลืออยู่ย่อมไม่คณามืออยู่แล้ว

 

 

หานลี่ร้องออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ปีกสองข้างบนแผ่นหลังสั่นไหวคราหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาแล้วหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้องก้อง

 

 

ในเวลาต่อมา กลางอากาศสูงห่างจากจุดเดิมประมาณยี่สิบจั้งเศษ เกิดประกายอัสนีสีเขียวขาวขึ้นวาบหนึ่ง ร่างของหานลี่ก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง

 

 

ทว่าเกือบจะในเวลาเดียวกัน ลำแสงโลหิตเปล่งประกายขึ้นพร้อมกันทั้งสามทิศทาง มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามก็ปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน การกระทำของพวกมันยังคงเหมือนเดิม ทว่าคมมีดโลหิตทั้งหกเล่มได้กลายเป็นลำแสงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน ปกคลุมหานลี่ไว้เบื้องล่างโดยตรง

 

 

หานลี่ใบหน้านิ่งดุจสายน้ำ บนร่างพลันเปล่งแสงสีทองวูบหนึ่ง บนกล้ามเนื้อปรากฏแผ่นเกล็ดสีทองแวววับออกมาชั้นหนึ่ง พร้อมทั้งเปล่งเสียงร้องดังลั่นออกจากปากในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือสีขาวดำสองข้างซัดออกไปอย่างเลือนราง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเงาฝ่ามือสีขาวดำผสานกันไม่ชัดเจนผืนหนึ่ง

 

 

เกิดเสียงดัง “เคร้งๆ” อยู่หลายหน ราวกับโลหิตที่ส่งเสียงดังก้องเมื่อถูกกระทบ ครั้นคมมีดโลหิตสามเล่มฟันลงบนเงาฝ่ามือ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่โถมทะลักออกมาอย่างยากที่จะต้านทานได้ ก่อนที่จะปริแตกพร้อมส่งเสียงร้องน่าเวทนา

 

 

หุ่นเชิดทั้งสามตัวถูกพลังมหาศาลที่ส่งมาจากคมมีดผลักออกอย่างรุนแรง พากันกระเด็นหงายหลังไปไกลหลายจั้ง

 

 

แสงโลหิตบนร่างเปล่งประกายเปะปะครู่หนึ่ง หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามก็กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง พอเงยหน้าขึ้นไปอีกที ก็ตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

เบื้องหน้าว่างเปล่าไร้ผู้คน มองไม่เห็นร่องรอยของหานลี่แล้ว

 

 

ที่แท้ภายในชั่วพริบตานั้น หานลี่ได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้กลับมาอยู่บนรถวิญญาณแล้ว

 

 

เมื่อเห็นว่าคนร่างเล็กก้มหน้าหาเขาเจอได้ในที่สุด ใบหน้าของหานลี่ก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะออกมา

 

 

สองมือตั้งท่าร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว ในปากพลางเปล่งคำร่าย

 

 

กลางอากาศบริเวณใกล้เคียงเกิดเสียงดังกระจ่างชัด เส้นไหมสีทองแต่ละสายพลันปรากฏออกมา เปล่งแสงวูบวาบพลางขยับเข้าใกล้จากสี่ทิศแปดทาง โอบล้อมหุ่นเชิดโลหิตทั้งสามตัวไว้ใจกลางสุด

 

 

ที่แท้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำซึ่งฝังไว้ในบริเวณใกล้เคียงก่อนหน้านี้ได้ถูกหานลี่สำแดงอานุภาพออกมาแล้วนั่นเอง

 

 

อานุภาพของเขตอาคมกระบี่ย่อมเพิ่มขึ้นตามระดับพลังยุทธ์ของหานลี่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นธรรมดา เส้นไหมกระบี่ที่จากเดิมเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ชั่วพริบตาที่ปรากฏก็รีบพุ่งมารวมกันที่ใจกลางในทันที แม้ว่าความเร็วของมันยังไม่นับว่ารวดเร็ว แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ยังเร็วกว่าไม่น้อย

 

 

หุ่นเชิดโลหิตสามตัวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ลำแสงโลหิตภายในดวงตาก็โคจรรอบหนึ่ง ปีกโลหิตบนหลังพลันพลิ้วไหว แล้วหายไปในอากาศอย่างน่าประหลาด

 

 

ดูเหมือนพวกมันคิดจะใช้เคล็ดวิชาลับ จึงหนีออกนอกเขตอาคมกระบี่โดยตรง แต่ด้วยความยอดเยี่ยมของเขตอาคมมหากระบี่ทองคำ มีหรือที่พวกมันจะหนีรอดไปเช่นนี้ได้

 

 

พื้นที่ว่างบริเวณขอบของเขตอาคมกระบี่สามแห่งส่งเสียงดังหึ่งๆ ออกมา เส้นไหมกระบี่จำนวนนับร้อยก็พุ่งกระจายไปยังพื้นที่ว่างพร้อมกัน

 

 

ทันใดนั้นแสงโลหิตก็ปรากฏออกมา มนุษย์ร่างเล็กทั้งสามถูกบังคับให้เผยร่าง เส้นไหมสีทองพลันผสานรวมเป็นหนึ่ง หุ่นเชิดทั้งสามตัวก็ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับเพียงเท่านี้ก็ถูกทำลายลงแล้ว

 

 

พวกเหลยหลันและคนแคระที่อยู่ไกลออกไปต่างก็เหินจนเบิกตาอ้าปากค้างอยู่นานแล้ว

 

 

ทว่าทันทีที่คนแคระสำนึกตัวจากอาการตื่นตกใจ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ปีศาจพฤกษาที่อยู่เบื้องล่างก็ถอยไปข้างหลังอย่างช้าๆ แต่การกระทำทั้งหมดกลับไร้สุ้มเสียง

 

 

ความร้ายกาจของหุ่นเชิดโลหิตนั้น มันผู้นี้ซึ่งเป็นผู้อาศัยเดิมของเหวพสุธาย่อมรู้ดีจนไม่อาจจะรู้ดีไปกว่านี้แล้ว ขนาดทั้งสามตัวร่วมมือกันยังไม่ใช่คู่มือของเจ้าของอสูรตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเลย ไหนเลยจะกล้าคิดหาทางจับอสูรกิเลนเสือดาวอีก

 

 

ทว่าในตอนนี้เอง ฉากที่น่าประหลาดพลันปรากฏขึ้นภายในเขตอาคมกระบี่

 

 

ทันใดนั้น เศษร่างของหุ่นเชิดโลหิตที่ดูเหมือนขี้เลื่อยก็เปล่งแสงโลหิตสว่างพร่าง กลายเป็นหยดเลือดทยอยมารวมตัวกันที่ใจกลางทีละหยดๆ ครู่ต่อมาก็หลอมรวมเป็นก้อนโลหิตขนาดเท่าศีรษะสามหัว แผ่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

 

 

ครั้นก้อนโลหิตหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ที่พื้นผิวของมันก็ปรากฏรูปร่างของมือเท้าและศีรษะออกมา เห็นได้ชัดว่าหุ่นเชิดโลหิตสามตัวนี้กำลังจะคืนสู่สภาพเดิมแล้ว

 

 

เมื่อได้ประจักษ์ภาพนี้ หานลี่นอกจากจะไม่ตื่นตระหนกแล้ว ใบหน้ากลับเผยอารมณ์แปลกประหลาดออกมา พลันแตะเบาๆ ไปยังเขตอาคมกระบี่ทีหนึ่ง

 

 

“สวบ!” วิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่งปรากฏออกมาจากพื้นที่ว่างภายในเขตอาคมกระบี่ ทว่าทันทีที่เสียง “พรึบ” ระเบิดออกมา เพลิงสีเงินสามกองขนาดเท่าข้อมือก็พุ่งออกมาปรากฏที่บริเวณใกล้เคียงของก้อนโลหิตทั้งสาม

 

 

หลังส่งเสียงดังอื้ออึงหลายหน เพลิงสีเงินก็พุ่งเข้าใส่ก้อนโลหิตอย่างรุนแรง

 

 

เพลิงสีเงินก่อตัวสูงขึ้น ปกคลุมก้อนโลหิตไว้ภายใน เมื่อพื้นผิวของมันกับเพลิงสีเงินสัมผัสกัน ทันใดนั้นก็มีกลิ่นไหม้โชยออกมา พร้อมทั้งส่งเสียงแหลมโอดครวญอย่างน่าเวทนา

 

 

เพลิงสีเงินทั้งสามพุ่งชนกับเขตอาคมกระบี่อย่างเปะปะ ราวกับแมลงวันที่ไร้หัว

 

 

หานลี่จ้องมองทั้งหมดนี้ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ในใจก็ยังแอบรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง

 

 

สำหรับอานุภาพของเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณนั้น เขารู้ดีที่สุดแล้ว บ่อยครั้งที่เผชิญหน้ากับศัตรู อีกฝ่ายแค่แตะเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา แต่สำหรับหุ่นเชิดโลหิตสามตัวนี้ คิดไม่ถึงว่ายังสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก

 

 

ทว่าเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณก็ยังรุนแรงเหนือธรรมดาจริงๆ เพียงไม่นาน เสียงคร่ำครวญภายในก้อนโลหิตทั้งสามก็ค่อยๆ เบาลงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในที่สุดก้อนโลหิตก็กลายเป็นเถ้าธุลีภายในเพลิงสีเงิน

 

 

คราวนี้ หุ่นเชิดโลหิตทั้งสามตัวไม่ฟื้นคืนกลับมาแล้วจริงๆ

 

 

หานลี่กวักมือไปไกลโพ้น ทันใดนั้นเพลิงสีเงินทั้งสามกองก็ผสานรวมเป็นหนึ่ง คืนสภาพเป็นวิหคเพลิงสีเงินอีกครั้ง พุ่งทยานแล้วจมหายไปในแขนเสื้อ

 

 

ทว่าทันทีที่เขาเปลี่ยนสีหน้า ราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็หันหน้ามองไปยังอีกฝั่ง

 

 

เห็นเพียงปีศาจพฤกษามรกตร่างมหึมาตัวนั้น ไม่รู้ว่าถอยไกลออกไปหลายร้อยจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อคนแคระตัวนั้นเห็นสายตาของหานลี่มองมาทางนี้ ทันใดนั้นใจก็เต้นโครมคราม พลันผิวปากออกมาโดยไม่ต้องคิด

 

 

ปีศาจพฤกษาที่ไร้สุ้มเสียงในตอนแรก จู่ๆ ก็เปล่งแสงสีเขียวทั่วร่าง ก่อนที่จะก้าวเท้ายาวเปิดวิ่งพรวดไปยังทางที่มาอย่างไม่ปิดบังอำพรางใดๆ อีก

 

 

ด้วยความสูงใหญ่ของปีศาจตนนี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่ทีก็หายไปในความมืดแล้ว

 

 

“คิดจะหนีเรอะ!” หานลี่พูดคนเดียว ครั้นอ้าปากออก เตาจิ๋วใบหนึ่งที่ถูกหุ้มด้วยแสงสีเขียวก็พวยพุ่งออกมา คือเตานภาสูญนั่นเอง!

 

 

ทว่าในตอนนี้ จู่ๆ เบื้องล่างของรถวิญญาณก็มีเสียงคำรามอย่างไร้เรี่ยวแรงของอสูรดังออกมา

 

 

หานลี่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกปิติอยู่ในใจ ครั้นทอดมองไปยังทิศทางที่ปีศาจพฤกษาหายไปก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาอ้าปากแล้วดูดเอาเตาจิ๋วเข้าไปในท้องอีกครั้ง ก่อนที่ร่างจะเลือนรางและหายไปจากรถวิญญาณอย่างน่าประหลาด

 

 

ครู่ต่อมา ตัวเขาก็ปรากฏบนพื้นดินเบื้องล่างราวกับภูตพราย กำลังยืนอยู่ข้างๆ แสงสีขาวกลุ่มนั้น

 

 

ในตอนนี้ กลิ่นหอมที่แผ่กำจายออกมาจากแสงสีขาวได้จางลงอย่างหาที่สุดมิได้

 

 

ด้วยการเชื่อมจิตสัมผัสอันลึกซึ้งของหานลี่ จึงรู้ว่าอสูรกิเลนเสือดาวใกล้จะพัฒนาระดับเสร็จสมบูรณ์แล้ว เห็นทีสุดท้ายแล้วควรช่วยมันอีกแรงหนึ่งจึงจะเป็นการดีที่สุด

 

 

หานลี่สูดหายใจลึกคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งพลันยื่นออก สอดเข้าไปในม่านแสงแล้วกดลงบนร่างของอสูรตัวน้อยที่อยู่ด้านใน

 

 

ในขณะเดียวกัน พลังวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งก็ถาโถมเข้าไปในร่างของอสูรตัวน้อยอย่างหนักหน่วง

 

 

ร่างของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างพร่าง สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

เหลยหลันกับพวกไป๋ปี้ทั้งสามคนที่อยู่บนรถวิญญาณต่างก็ถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ครั้นสบตากันคราหนึ่ง แต่ละคนต่างก็มีท่าทีโล่งใจกันยกใหญ่