Sign in Buddha’s palm 11 สั่นสะเทือน

 

 

อย่างเร่งรีบ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักออกไปด้านนอกวัดเส้าหลิน ต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองว่าผู้สืบทอดมารพุทธะตายแล้วจริงๆ หรือไม่

 

ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสไม่เชื่อถือลูกศิษย์ของตน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป

 

มารพุทธะมีวิธีการต่างๆ มากมายในการหลบหนี เชี่ยวชาญวิชาแม้กระทั่ง [วิชาตัวตายตัวแทน] ในตำนานแม้แต่การโจมตีของคนที่สงสัยว่าจะบรรพบุรุษลึกลับของวัดเส้าหลินก็ยังล้มเหลวในคราวแรก…

 

อยู่ดีๆ จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักเดินทางมาถึงด้านนอกวัดเส้าหลินต่างก็ตกอยู่ในอารมณ์ตกใจ มีร่างของเจินซิ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจริงๆ

 

“นี่คือมารร้ายตนนั้นจริงๆ หรือนี่?”

 

หัวหน้าตำหนักอรหันต์นิ่งอึ้ง

 

จากสายตาเขาสามารถมองเห็นเจินซิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏให้เห็น แต่ความจริงร่างนี้ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว

 

ในเมื่อคนคนหนึ่งตายแล้ว ย่อมจะตายซ้ำไม่ได้อีก

 

“ตายแล้วจริงงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผ่อนคลายลงในที่สุด รู้สึกภูเขาที่แบกรับเอาไว้บนบ่าได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

หากผู้สืบทอดของมารพุทธะยังไม่ตาย ไม่ช้าก็เร็วจะมีสักวันที่มันจะหวนกลับมาพร้อมความแกร่งที่ยิ่งกว่าเก่าก่อนและมาทำลายวัดเส้าหลิน

 

แต่ตอนนี้ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ตายลงแล้ว วิกฤติการณ์วัดเส้าหลินย่อมคลี่คลายลงไปตามธรรมชาติ

 

อย่างน้อยก็อีกศตวรรษหนึ่งที่วัดเส้าหลินจะสามารถอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องกังวลกับเกี่ยวกับปัญหาที่ชื่อว่าผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“เป็นหมัดที่ทรงพลังยิ่งนัก!”

 

ม่านตาของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์สั่นไหว รู้สึกถึงไอพลังที่ออกมาจากร่างของผู้สืบทอดมารพุทธะ เขาตื่นตะลึงไป

 

ในจุดที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ย่อมมองเห็นสาเหตุการตายของผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“หมัดเดียวถึงตาย…ช่างเป็นการต่อยที่น่ากลัวอะไรแบบนี้!”

 

หัวหน้าแผนกวินัยเข้าไปพินิจใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

 

บาดแผลที่ส่งทายาทมารพุทธะเข้าสู่ประตูแห่งความตายคือรอยหมัดจางๆ อยู่บริเวณหน้าอก

 

รอยหมัดนี้แผ่กลิ่นอายที่โดดเด่นมาก มันทำลายทั้งวิญญาณ พลังปราณ และอวัยวะภายในของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะไม่มีเหลือ

 

“นี่คือ หมัดอรหันต์งั้นหรือ?”

 

หัวหน้าลานอรหันต์เหมือนจะพบความจริงที่น่าประหลาดใจ

 

เขาไม่คิดฝันว่าตัวตนอย่างผู้สืบทอดของมารพุทธะจะตายด้วยเคล็ดวิชาหมัดพื้นฐานอย่างที่สุดของลานอรหันต์

 

“อะไรนะ?”

 

“หมัดอรหันต์?”

 

ใบหน้าของพระรูปอื่นๆ เปลี่ยนไป

 

“เป็นหมัดอรหันต์จริงๆ ด้วย…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าแท้จริงมันจะเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินของพวกเราที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่…”

 

เมื่อทราบข่าวการตายของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้แต่คาดเดา

 

แค่เพียงตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก

 

เพราะในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน แม้ว่าจะมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดเส้าหลิน พลังชีวิตและเลือดเนื้อของท่านย่อมโรยราเต็มที มันคงถึงขีดจำกัดของท่านแล้วหลังจากที่ได้จัดการผู้สืบทอดมารพุทธะลงได้

 

ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมบรรพบุรุษถึงไม่เปิดการโจมตีและกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะตั้งแต่แรก แต่กลับใช้ใบไม้โจมตีเข้าไปในช่วงสุดท้ายแทนล่ะ?

 

แต่ในยุคนี้เนี่ย…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

 

ศิษย์ในยุคหลังมานี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่มีใครเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

ในส่วนที่ว่าหากจะมีบรรพบุรุษคนอื่นๆ นั้น ยังไงวัดเส้าหลินก็ลึกซึ้งกว้างใหญ่มีความเป็นไปได้มากมาย แม้ตัวเจ้าอาวาสเองเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้

 

“บรรพบุรุษหรือ?”

 

“ถูกต้อง ต้องเป็นบรรพบุรุษในระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะมีใครอื่นที่สามารถกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะได้?”

 

“นี่ต้องเป็นพรจากองค์ท่าน! อา ไม่คาดคิดจริงๆว่าวัดเส้าหลินยังมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่”

 

พวกหัวหน้าตำหนักตื่นเต้นดีใจเริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ในขณะนี้ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินจะข้ามผ่านอันตรายจากทายาทมารพุทธะมาได้ แต่ยังได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของบรรพบุรุษที่หลบซ่อนตัวอยู่อีก

 

จะไม่ให้หัวหน้าตำหนักเหล่านี้ไม่ดีอกดีใจได้อย่างไรเล่า?

 

แต่หากเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้นได้รู้ว่าบรรพบุรุษลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง คนที่กำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ จะมีใครนึกภาพอาการตกใจของพวกเขาออกได้บ้าง ดวงตาของพวกเขาต้องถลนออกจากเบ้าเป็นแน่แท้

 

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะตายไป จิตมารก็สลายหายไปด้วย

 

ลึกเข้าไปในภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ร่างเงาทะมึนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“น่าสนใจ”

 

“คราวนี้จิตมารหายไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ? ไม่ใช่ว่าในเวลาเก้าร้อยปีมานี้ มรดกตกทอดของวัดเส้าหลินย่ำแย่ลงทุกวี่วันและยุคนี้ไม่ควรมีแม้กระทั่งระดับชั้นที่หนึ่งสิ”

 

ร่างเงาพึมพำกับตนเอง

 

“หรืออาจจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?”

 

ร่างเงาพยายามจะลึกขึ้นแล้วออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เหตุการณ์ต่อมานั้น

 

เกราะคุ้มกันสีทองพลันก่อตัวขึ้นห่อหุ้มเงาปีศาจเอาไว้

 

พลังมารสลายออกไปเป็นจำนวนมากทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับเกราะคุ้มกันสีทอง

 

“บ้าเอ้ย”

 

“ไอ้ผนึกนี่อีกแล้ว!”

 

“เก้าร้อยปีแล้วนะโว้ย จะคุมขังข้าเอาไว้อีกนานแค่ไหน?!”

 

ร่างเงาโกรธเกรี้ยวลุกโชน แต่ก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างช้าๆ

 

“อีกไม่นานหรอก”

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าพลังของผนึกกำลังอ่อนกำลังลง”

 

“เมื่อไรก็ตามที่มันอ่อนแอยิ่งกว่านี้ ข้าจะต้องทำลายผนึกนี้ได้สำเร็จ ตอนนั้นแหละข้าจะเปลี่ยนวัดเส้าให้กลายเป็นทะเลเลือด”

 

ทันทีที่พูดจบร่างเงาปีศาจก็หายไปในความว่างเปล่า

 

 

หลังเหตุการณ์ของผู้สืบทอดมารพุทธะ ศิษย์มากมายในวัดเส้าหลินได้รู้สึกถึงความเร่งด่วนจำเป็นในใจ แม้แต่หัวหน้าตำหนักก็กำลังเริ่มมองหาหนทางที่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สอง

 

แต่แน่นอนว่า

 

นั่นไม่ได้รวมซูฉินเข้าไปด้วย

 

ซูฉินยังคงกวาดพื้นอยู่ทุกวัน ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

 

ในวันนี้ หัวหน้าตำหนักเรียกให้ซูฉินมาพบ

 

สิบปีก็ได้ผ่านไปแล้ว หัวหน้าลานจิปาถะก็ชราขึ้นไปอีก มีริ้วรอยมากมายบนใบหน้า

 

เส้นทางในการฝึกฝนวิทยายุทธซับซ้อนและยาวนาน แม้แต่ตัวผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ไม่สามารถบรรลุความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ได้ มากที่สุดก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุขัยออกไป

 

“เจินกวนเอ้ย เจ้าอยู่วัดเส้าหลินมานานแค่ไหนแล้ว?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะหยุดการกระทำของตนแล้วถามขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“นานแค่ไหนแล้ว?”

 

ซูฉินครู่หนึงก่อนนะตอบออกไป “สิบปีแล้วขอรับ”

 

“อืม ใช่เป็นเวลาสิบปีแล้ว” หัวหน้าตำหนักเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สิบปีก่อน ข้านำเจ้ามายังลานจิปาถะ”

 

“สิบปีนี่ผ่านไปในพริบตา…”

 

ซูฉินรับฟังคำพูดของหัวหน้าลานจิปาถะ แต่ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป

 

“เป็นพระกวาดลานมาเป็นสิบปี เจ้ามีความขุ่นข้องหมองใจใดหรือไม่” หัวหน้าลานจิปาถะเอ่ยถาม

 

“ความคับข้องใจ?”

 

ซูฉินผงะไปเล็กน้อย

 

เขาก็มีความสุขมาตลอด จะไปมีความข้องใจอะไรได้เล่า?

 

“ไม่มีขอรับ”

 

ซูฉินตอบไปตามความจริง

 

“ไม่มีความหยิ่งผยอง ไม่มีหุนหันพลันแล่น แล้วก็ไม่มีถ่อมตัวจนเกินงาม” หัวหน้าลานจิปาถะจ้องไปที่ซูฉินพักหนึ่ง ในที่สุดร่องรอยตลกขบขันกึ่งประชดประชันก็ปรากฏบนใบหน้า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์ในยุคนี้ จะมีสักคนที่มีภาวะจิตใจสูงส่งเช่นนี้ แล้วคนคนนั้นปรากฏว่าเป็นพระกวาดลานรูปหนึ่ง”

 

หากซูฉินอายุห้าสิบหกสิบปี เขาสามารถเชื่อได้ลงและไม่เห็นว่ามันจะแปลกประหลาดอะไร

 

แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินยังไม่แก่เลย

 

จากสิบขวบจนตอนนี้อายุยี่สิบ เวลาอันมีค่ากว่าสิบปีในชีวิตของเขาใช้ไปกับการกวาดลานวัด โดยไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งอื่นใด สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมในจิตใจได้เยี่ยงไร?

 

ยิ่งกว่านั้นนี่คือสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินที่ที่มีเคล็ดวิชาระดับสูงมากมายให้ไขว่คว้า แต่ทำได้เพียงกวาดพื้นเท่านั้นเนี่ยนะ…

 

ช่องว่างขนาดนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคลั่งตาย

 

แต่ซูฉินนั้นไม่ใช่ หรืออย่างน้อยคือหัวหน้าลานจิปาถะไม่เคยเห็นซูฉินไม่พอใจ

 

แค่แง่มุมนี้อย่างเดียว ซูฉินก็เหนือกว่าพวกอัจฉริยะในลานอรหันต์หรือตำหนักยุทธสงฆ์แล้ว

 

แม้แต่ในหมู่หัวหน้าตำหนัก บางคนก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซูฉินในด้านของภาวะจิตใจ

 

“หัวหน้าตำหนักคงจะเข้าใจผิดแล้ว”

 

“ข้าก็แค่พระกวาดลาน ไยจะสามารถมีภาวะจิตใจอันสูงส่งได้เล่า?”

 

ซูฉินรีบบอกปฏิเสธ