บทที่ 302 กลุ่มสหายน่าอุ่นใจ (1)
“สุสาน?”
เมื่อสวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปมองภูเขาทางทิศใต้ ภูเขาตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่งในคืนมืดมิด เรียงรายอยู่รอบกันและกัน ทำให้มีลักษณะเหมือนดอกบัวบาน
เขาเหลือบมองแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นสวี่ชีอันผู้ดูฮวงจุ้ยไม่เป็นก็ถอนสายตากลับมา แต่กลับพบว่าตอนนี้นักบวชเต๋าจินเหลียน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนกำลังเพ่งมองไปที่ภูเขาด้วยความจริงจังและจดจ่ออย่างยิ่ง
รากฐานของข้ายังตื้นเขินเกินไปเมื่อเทียบกับพวกเขา ต้องโทษที่ระบบการฝึกตนของทหารนั้นต่ำเกิน ทั้งยังดูฮวงจุ้ยไม่รู้เรื่องด้วย…เอ๊ะ? ไม่ถูกสิ การดูฮวงจุ้ยไม่ใช่จุดเด่นของโหรหรืออย่างไร?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยปากถาม “พวกท่าน ดูฮวงจุ้ยของภูเขาด้านนั้นเป็นด้วยหรือ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนสายตากลับมา “ไม่เป็น”
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนก็ส่ายหน้าตาม
ดูไม่เป็น แต่พวกเจ้าก็ยังมองเสียจริงจังขนาดนั้น แต่ละคนเล่นละครเก่งยิ่งกว่าข้าอีก…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก จากนั้นก็ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แม้ว่าข้าจะดูฮวงจุ้ยไม่เป็น แต่แนวเส้นของเทือกเขาคล้ายคลึงกัน แม้จะดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นมีฮวงจุ้ยทองคำ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีสุสานอยู่จริง”
ใช่ นักบวชเต๋าพูดมีเหตุผล ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยดูแค่ฮวงจุ้ยเท่านั้น ต้องมองให้ออกด้วยหรือว่าใต้ดินมีสุสาน นึกแล้วสวี่ชีอันก็หันไปมองจงหลี
“มีคนเปิดสุสาน ปราณมืดถึงได้พวยพุ่งขึ้นมา” ดวงตาของจงหลีเป็นประกาย นางเอ่ยพลางมองชัยภูมิไปด้วย
“มีลักษณะคล้ายดอกบัว ยอดเขาหลักหันไปทางตะวันออกเพื่อดูดซับแสงสีม่วง ด้านหลังเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง จะต้องมีกระแสน้ำใต้ดินอย่างแน่นอน ด้านล่างมีน้ำโสโครกหล่อเลี้ยง ถือเป็นชัยภูมิสามวิเศษรวมศูนย์ หากมีแร่เหล็กอยู่ในภูเขาด้วย เช่นนั้นปัญจธาตุก็สมบูรณ์แล้ว”
ปัญจธาตุสมบูรณ์หรือ? สวี่ชีอันคิดในใจพลางเอ่ยถาม “แล้ว?”
“สามารถเลือกฮวงจุ้ยทองคำเช่นนี้ได้ เจ้าของสุสานจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” จงหลีกล่าว
“ข้าสงสัยอยู่นิดหน่อย ในเมื่อสายฝึกตนอื่นๆ นอกจากโหรต่างก็มองฮวงจุ้ยไม่เป็น ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนเลือกที่ตั้งสุสานกันล่ะ” สวี่ชีอันเกาศีรษะ
จงหลีเอ่ยตอบ “นอกจากโหรแล้ว ก็ยังมีพ่อมดที่ยังเชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยเล็กน้อยด้วย ลัทธิเต๋าก็เข้าใจอยู่นิดหน่อย”
โหรแยกสายออกมาจากสายพ่อมด พ่อมดจึงพอมีความเข้าใจอยู่นิดหน่อย เรื่องนี้เข้าใจได้…แต่ลัทธิเต๋าก็เข้าใจฮวงจุ้ยด้วยหรือ? สวี่ชีอันอดมองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้
คนอื่นๆ ก็มองไปทางเขาเช่นกัน
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า “นิกายปฐพีไม่ได้ศึกษาเรื่องเช่นนี้หรอก แต่นิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ก็พอจะรู้อยู่บ้าง พูดให้ถูกคือ นิกายสวรรค์มีความสามารถเช่นนี้ก็เพราะฝึกตนขั้นสูง จึงหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินและสัมผัสได้ทุกสิ่ง
ส่วนการฝึกตนของนิกายมนุษย์นั้นมีไฟกรรมพัวพันกาย จึงจำเป็นอยู่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิ ดังนั้นจึงต้องศึกษาเรื่องฮวงจุ้ยเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนโหร”
เจ้าสำนักจ้าวโส่วเคยบอกข้าว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตานั้นมีอยู่สามฝ่าย คือ ลัทธิขงจื๊อ โหร และราชสำนัก แต่การฝึกตนของนิกายมนุษย์จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับจักรพรรดินี่นา แล้วเหตุใดถึงไม่อยู่ในสามฝ่ายนี้ด้วยล่ะ สวี่ชีอันคิดในใจ
จงหลีกล่าวต่อ “ในสุสานแห่งนี้อาจมีสมบัติอยู่ แต่ก็มาพร้อมกับอันตราย”
นางจับจ้องมองไปทางทิศใต้ ทั้งปรารถนาและหวาดกลัว
สวี่ชีอันและสมาชิกของพรรคฟ้าดินแลกเปลี่ยนสายตากัน นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้าเอ่ย “หาคนก่อนเถอะ เรื่องเข้าสุสานค่อยว่ากันอีกที”
หาหมายเลขห้าเจอแล้วก็จะได้กลับเมืองหลวง แล้วถือเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหิงหย่วนมองไปทางจงหลี จากนั้นพยักหน้ากล่าว “ผู้ล่วงลับไปสบายแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนอีก”
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงความชื่นชม “อีกอย่างพวกเราก็ยังเตรียมตัวไม่พร้อม เรื่องเข้าสุสานถือเป็นแผนการระยะยาว”
ความปรารถนาต่อความอยู่รอดของทุกคนแรงกล้ามาก ล้วนแต่เป็นสหายที่น่าอุ่นใจทั้งนั้น ไม่บังคับหรือชวนหาเรื่องใส่ตัว ช่างดีจริงๆ…สวี่ชีอันโล่งใจมาก
ส่วนเรื่องการหาคน หลังจากทุกคนปรึกษากันดูแล้วก็ตัดสินใจว่าจะตามหาสามทาง
หนึ่ง สวี่ชีอันจะใช้ฐานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้เป็นประโยชน์ เขาจะหาเบาะแสจากเจ้าหน้าที่ทางการและทหารในท้องที่
สอง นักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่นสามารถใช้กระบี่บินเพื่อบินดูได้ พวกเขารับผิดชอบอำเภอและหมู่บ้านรอบๆ เมืองหลัก
สาม ไต้ซือเหิงหย่วนจะไปสืบข่าวดูจากคนในยุทธภพที่อยู่ในเมืองและชาวบ้านในตลาด
“หมายเลขห้าเป็นคนจากซินเจียงตอนใต้ ใบหน้ามีเอกลักษณ์ชัดเจน หน้าตาน่ารักงดงาม แค่เห็นก็น่าจะรู้ได้” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
หน้าตาน่ารักงดงาม…สวี่ชีอันหยิบก้อนเงินหนึ่งก้อนออกมาจากถุงหอมแล้วยื่นให้กับไต้ซือเหิงหย่วน “เมื่อสืบข่าวดูจากคน วิธีที่ดีที่สุดคือใช้เงิน รองลงมาคือใช้หมัด ไต้ซือเหิงหย่วนสามารถพิจารณาทั้งสองวิธีได้”
เหิงหย่วนรับเงินมาแล้วพยักหน้า
…
เซียงโจวมีแปดเมืองและสิบหกอำเภอที่อยู่ใต้เขตอำนาจของตน ซึ่งเซียงโจวเป็นเมืองหลักและมีประชากรมากกว่าห้าแสนคน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับเมืองหลวง แต่ก็ถือเป็นเมืองชั้นหนึ่ง
เมื่อฟ้าสาง สวี่ชีอันก็พาจงหลีเข้ามาในเมือง บนถนนนอกจากจะมีร้านค้าแผงลอยและช่างฝีมือที่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ชาวบ้านทั่วไปล้วนยังไม่ลงจากเตียงทั้งนั้น
ในทางกลับกัน สถานบันเทิงอย่างหอนางโลมและหอคณิกาก็เริ่มเปิดประตูกันแต่เช้า
ลูกค้าเดินหาวออกมา พวกเขาตัวสั่นเทาท่ามกลางลมหนาวยามเช้าตรู่แล้วพากันแยกย้ายไปตามทางของตน
ไม่รู้ว่าหอคณิกาของเมืองเซียงโจวจะเป็นอย่างไรหากเทียบกับในเมืองหลวง ดนตรีจะไพเราะหรือไม่ แล้วหญิงสาวจะนุ่มนวลอิ่มเอิบหรือไม่…สวี่ชีอันถามถึงทิศทางของที่ว่าการเมืองกับคนที่เดินผ่านไปมา และหักใจโยนเรื่องหอนางโลมกับหอคณิกาเอาไว้ข้างหลัง
เมื่อเข้ามาในที่ว่าการเมืองแล้ว เขาก็ใช้ป้ายห้อยเอวฐานะฆ้องเงินไปขอพบกับข้าหลวงของเซียงโจว
ข้าหลวงผู้นี้มีแซ่หลี่ เป็นชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่ง เขาออกมาต้อนรับขับสู้สวี่ชีอันอย่างเกรงใจ
สวี่ชีอันดื่มชาและพูดว่า “ข้ากำลังตามหาหญิงสาวที่มาจากซินเจียงตอนใต้คนหนึ่ง นางอายุน้อย ใบหน้าราวกับบุปผา รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นแยกแยะง่าย หวังว่าข้าหลวงหลี่จะส่งคนไปตามหาให้ด้วย หากได้เบาะแสแล้วให้ติดประกาศที่ประตูเมือง หลังจากข้าเห็นแล้วจะไปหาเอง”
ข้าหลวงหลี่พยักหน้า “ใต้เท้าสวี่โปรดวางใจ ข้าจะต้องจัดการให้อย่างแน่นอน”
สวี่ชีอันจิบชาด้วยความพอใจแล้วเอ่ยถามต่อ “ช่วงนี้บริเวณเมืองเซียงโจวมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่นว่า มีสัตว์ประหลาดกำลังต่อสู้กันอยู่ใกล้ๆ”
ข้าหลวงหลี่ครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มีนะขอรับ”
หลังจากสวี่ชีอันจากไป ข้าหลวงหลี่ก็เรียกคนประกาศแล้วเล่าให้เขาฟัง
“นี่มิใช่การงมเข็มในมหาสมุทรหรอกหรือขอรับ ถึงจะบอกว่าหน้าตาของคนจากซินเจียงตอนใต้มีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่เมืองเซียงโจวใหญ่ขนาดนี้ จะไปหาเจออย่างไรกันล่ะขอรับ”
คนประกาศได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเป็นงานลำบาก ลงแรงไปก็ได้ผลงานไม่คุ้มเสีย จึงคิดจะหลีกเลี่ยง
ข้าหลวงสวี่โบกมือ “ฆ้องเงินจากเมืองหลวงสั่งมา ปฏิเสธได้เสียที่ไหน เจ้าก็ทำๆ ไปเถอะ”
พูดจบ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น “ฆ้องเงินนามสวี่ชีอัน…ข้าว่าแล้วว่าชื่อนี้คุ้นหู เจ้าไปหยิบประกาศที่ราชสำนักส่งมาเมื่อวานมาหน่อยซิ”
เมื่อวานนี้ที่ว่าการเมืองได้รับประกาศที่ราชสำนักส่งมาให้หนึ่งฉบับ ในประกาศบอกว่าสำนักโหราจารย์ได้รับชัยชนะจากการประลองกับสำนักพุทธแดนประจิม และสั่งให้ทุกเมืองและทุกมณฑลป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้รู้กันโดยทั่ว
หลังจากคนนำประกาศถูกส่งมาให้แล้ว ข้าหลวงหลี่ก็เพ่งตาอ่านดู เขาจดจ้องไปยังข้อความบรรทัดหนึ่งอยู่นาน ‘ฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นตัวแทนของสำนักโหราจารย์เข้าประลอง’
‘เทพผู้ยิ่งใหญ่มาที่นี่จริงๆ’…ข้าหลวงหลี่มองไปยังประกาศแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการทันทีเลยนะ จะต้องทุ่มทั้งกายและใจทำให้เต็มที่ด้วย”
เขาชี้ไปยังประกาศนั้น “ฆ้องเงินที่เพิ่งจากไปคนเมื่อกี้ ก็คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในประกาศนี่เอง”
“ดังนั้น สั่งการไปว่าต้องทำงานเต็มกำลัง” คนประกาศพยักหน้าซ้ำๆ
…
ยามเช้าตรู่เมื่ออาทิตย์ขึ้น สวี่ชีอันก็พาจงหลีไปเดินอยู่ในเมืองสองสามรอบและสอบถามจากคนในยุทธภพ ทว่าก็ยังไม่ได้เบาะแสใด
ตามหลักแล้ว หากหมายเลขห้าเจอกับเต๋ามารจากนิกายปฐพีจริงๆ เกรงว่านางคงมีโชคร้ายมากกว่าโชคดี หรือไม่ก็ถูกจับไปแล้ว…
นักบวชเต๋าจินเหลียนพาพวกเรามาตามหาคน เช่นนี้ไม่ถือเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรหรอกหรือ เว้นเสียแต่เขาจะคิดว่าหมายเลขห้าสามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีได้ จึงได้พาพวกเรามาที่นี่ แล้วตามหาเบาะแสของหมายเลขห้า แต่หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะมีร่องรอยของการต่อสู้ในบริเวณเมืองเซียงโจวสิ
แต่จากที่ข้าได้ไปสอบถามที่ที่ว่าการเมื่อวาน หากมีใครพบเห็นการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านเช่นนั้นก็คงมาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตั้งนานแล้ว ที่ว่าการเมืองไม่มีทางไม่รู้เรื่องแน่
แต่ก็ต้องไม่ทิ้งความเป็นไปได้ที่ข้าหลวงหลี่แอบปิดไว้ไม่รายงานด้วย แต่ข้าสอบถามในเมืองมาตั้งนาน ก็ยังไม่ได้ยินเรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย ฝีปากของชาวบ้านนั้นเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลที่เร็วที่สุดเชียวนะ…เช่นนี้คงต้องไปฟังดนตรีที่หอคณิกาจริงๆ เสียแล้ว
เมื่อในใจคิดได้ดังนั้น สวี่ชีอันก็พาจงหลีตรงเข้าไปในหอคณิกา
“สอบถามมาตั้งครึ่งค่อนวัน หิวเหลือเกิน พวกเราเข้าไปพักสักครู่แล้วหาอะไรกินสักหน่อยเถอะ” สวี่ชีอันอธิบายเช่นนี้
จงหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตามเข้าไป
“เชิญท่านลูกค้า”
คนรับใช้หนุ่มในชุดสีเขียวประจำหอคณิกาเอ่ยทักทายเขาอย่างอบอุ่น แล้วนำสวี่ชีอันและจงหลีไปยังห้องโถงใหญ่
“ขอห้องส่วนตัวอย่างดีที่ชั้นสอง แล้วเตรียมสุราอาหารมาให้พร้อม”
สวี่ชีอันดีดก้อนเงินหนึ่งก้อนออกมาจากนิ้ว ท่าทางดูชำนาญราวกับมายังแหล่งประจำของตนแล้วพูดกับแม่เล้าว่า ‘ขอห้องเก่านะ แล้วเรียกหมายเลขสองกับหมายเลขห้ามาด้วย ตอนดึกข้าจะเล่นสนุกกับพวกนางสองคน’
เด็กรับใช้ชุดเขียวมองพิจารณาจงหลีอยู่พักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา “เช่นนั้นเชิญลูกค้าขึ้นข้างบนได้เลยขอรับ”
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่พาสตรีเข้าหอคณิกาเช่นนี้ล้วนมาเพื่อฟังดนตรีดูการแสดงเท่านั้น แต่ก็มีบางจำพวกที่ชอบพาสตรีจากข้างนอกมาเล่นสนุกกันที่หอคณิกา
สตรีเช่นนี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นเพไม่ค่อยดีจึงไม่อาจพาเข้าบ้านได้ เลยต้องพามายังหอคณิกา
‘ลูกค้าท่านนี้ดูแล้วหล่อเอาไม่ธรรมดา ไม่คิดเลยว่าจะชอบผู้หญิงปอนๆ เช่นนี้’…คนรับใช้ชุดเขียวคิดในใจแต่ฝีเท้ากลับเร็วขึ้น จากนั้นก็พาสวี่ชีอันขึ้นมายังชั้นสองแล้วเปิดห้องส่วนตัวให้
“พวกเราต้องหาใครหรือ” จงหลีกินข้าวพลางเสียงถามไปด้วย
“เป็นสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรลับน่ะ นักบวชเต๋าจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีก็เป็นคนก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา”
สวี่ชีอันไม่กลัวเครื่องมือมนุษย์ผู้นี้จะเปิดเผยความลับของตัวเองออกไปหรอก
จงหลีเคี้ยวอาหาร แต่สวี่ชีอันกลับยังคงมองไม่เห็นใบหน้าของนาง มองเห็นเพียงริมฝีปากสีแดงสดที่เผยออกมายามกินอาหารเท่านั้น รูปร่างของมันสวยเอาการ
“จิตเดิมของเขาไม่สมส่วน” จงหลีกล่าวทันใด
“หมายความว่าอะไร?” สวี่ชีอันตกใจ
จงหลีไม่ตอบแล้วกล่าวว่า “เหมือนกับเจ้าตอนอยู่ในสำนักสังคีตนั่นแหละ จิตเดิมและกายเนื้อไม่สอดคล้องกัน”
หลังจากเงียบไปนาน สวี่ชีอันก็พยักหน้าแล้วร้อง “โอ้” ออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ
“ของวิเศษชิ้นนั้นในมือของเจ้าคือหนังสือปฐพีหรือ” จงหลีถามอีกครั้ง
สวี่ชีอันพยักหน้า
“หนังสือปฐพีคือสมบัติเก่าแก่ ว่ากันว่าสามารถนับย้อนไปในยุคจักรพรรดิโบราณได้เลยนะ มันเป็นของวิเศษที่สร้างขึ้นจากฟ้าดิน แต่ต่อมาก็แตกสลายไปแล้ว” จงหลีกล่าว
“แตกได้อย่างไร” สวี่ชีอันเริ่มสนใจ
“ข้าได้ยินท่านอาจารย์เคยพูดว่า อืม เขาเดาว่าน่าจะถูกปรมาจารย์เต๋าทำลายจนแตก” จงหลีจิบสุราแล้วอธิบาย
“สำนักโหราจารย์มีบันทึกภาพของวิเศษอยู่เล่มหนึ่ง มันบันทึกข้อมูลเรื่องของวิเศษแห่งจิ่วโจวเอาไว้โดยเฉพาะ เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ชำระใหม่ด้วยตนเองเลยน่ะ”
ของวิเศษชิ้นนี้สำคัญมาก มันเกี่ยวข้องกับแผนการชำระล้างนิกายของนักบวชเต๋าจินเหลียน และผลลัพธ์คงไม่อาจจินตนาการได้หากตกอยู่ในมือของเต๋ามารนิกายปฐพี เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเก่งถึงขั้นสามารถแย่งชิงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาจากมือของผู้นำเต๋าขั้นสองได้เลย
ท่านนักบวชคงจะร้อนรนแย่แล้ว แต่ไม่ได้แสดงออกมาต่อหน้าพวกเรา…สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ
….
นักบวชเต๋าจินเหลียนเหยียบอยู่บนกระเรียนกระดาษ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดพลางกวาดตามองลงไปข้างล่าง สวี่ชีอันเดาได้ไม่ผิด เขาร้อนรนแทบแย่จริงๆ
เมื่อหมายเลขห้าไม่ตอบข้อความ เขาก็สังหรณ์ได้แล้วว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี เมื่อชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสูญเสียการติดต่อไป นักบวชเต๋าจินเหลียนก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหา
ใครจะคาดคิดว่าหมายเลขห้าจะโชคร้ายขนาดนี้ ระดับฝึกตนของนางไม่อ่อนด้อยเลย แม้จะเจอกับเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี ถึงจะสู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้…
เพราะมีบทเรียนจากจื่อเหลียน ดังนั้นเต๋ามารนิกายปฐพีจะต้องไม่ทำอย่างเมื่อก่อนที่ใช้ชิ้นส่วนจากจื่อเหลียนหนึ่งอันเป็นตัวล่อเพื่อตามหาชิ้นส่วนอื่นๆ
มีโอกาสอย่างมากที่มันจะเอาไปซ่อนไว้ในนิกายปฐพี
หากไม่อาจรวบรวมชิ้นส่วนได้ครบ แผนการของเขาก็ล้มเหลวไปครึ่งทางแล้ว
‘ตอนนี้ได้แต่ต้องภาวนาให้หมายเลขห้าไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของนิกายปฐพีเท่านั้น เช่นนี้จึงจะสามารถช่วยเด็กคนนั้นได้ ส่วนชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…’
“ต้องปล่อยให้เวลาและชะตาลิขิตอย่างนั้นรึ?”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจและเผยรอยยิ้มขมขื่น
อีกด้านหนึ่ง ฉู่หยวนเจิ่นกำลังขี่กระบี่บินด้วยความเร็วสูงอย่างยิ่ง ด้วยสายตาของเขา เพียงแต่กวาดตามองก็เห็นได้ชัดเจนว่าที่ใดเคยเกิดการต่อสู้บ้าง
“หากไม่พบชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เช่นนั้นก็ยากจะฟื้นฟูพรรคฟ้าดินให้คืนมาเป็นดังเดิมได้ ทั้งยังต้องคอยเงียบสงบเอาไว้ ไม่กล้าส่งเสียงใด แบบนี้ไม่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเลยจริงๆ ทั้งยังทำให้ความรู้สึกของสมาชิกค่อยๆ ห่างเหินกันด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ แผนการของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ยากจะทำให้สำเร็จ อีกทั้งพวกเราก็สัญญาแล้วด้วยว่าจะช่วยเขาชำระล้างนิกายและเพิ่มความเสี่ยงในขั้นเปลี่ยนรูป”
ตอนนี้เอง เจ้าของผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ใจสั่นสะท้านพร้อมกัน
หมายเลขสอง ‘ข้าวางแผนจะไปเจียงโจวเพื่อสืบคดี จากนั้นค่อยไปเมืองหลวงเพื่อขจัดภัยร้าย อืม ความขัดแย้งระหว่างนิกายมนุษย์และสวรรค์ก็เลื่อนต่อไปอีกสักหน่อยแล้วกัน หลังจากสอบหน้าพระพักตร์แล้วข้าค่อยไปเมืองหลวง’
‘หลังจากสอบหน้าพระพักตร์ เช่นนั้นก็ต้องเป็นยี่สิบวันหลังจากนี้ ไม่ถือว่าช้าเกินไป’…ความจริงฉู่หยวนเจิ่นลอบคาดเดาอยู่ในใจรางๆ แล้วว่าหลี่เมี่ยวเจินกำลังจะทะลวงระดับ ดังนั้นขอจึงเลื่อนเวลาออกไป
‘นี่แปลว่านางยังไม่ค่อยมั่นใจในศึกของนิกายมนุษย์และสวรรค์ ซึ่งสำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องดี ถ้าหากนางเลื่อนขั้นถึงขั้นสี่ได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นก็ต้องเป็นศึกตัดสินเป็นตายที่ไม่อาจหลบเลี่ยงแล้ว’
หมายเลขหก ‘หมายเลขห้าเกิดเรื่องแล้ว นางหายตัวไปที่เซียงโจว นักบวชเต๋าจินเหลียนสูญเสียสัมผัสกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เป็นไปได้มากว่าจะถูกเต๋ามารของนิกายปฐพีจับไปแล้ว’
หลังจากเงียบไปนานกว่าสิบวินาที ข้อความจากหมายเลขสองก็ส่งมาให้ย่อหน้าใหญ่ๆ
‘แน่ใจหรือว่าถูกเต๋ามารนิกายปฐพีจับไป ที่เซียงโจวใช่หรือไม่ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็อยู่ที่เซียงโจวด้วยหรือ เช่นนั้นข้าจะรีบไป จากนั้นเราไปหาหมายเลขห้าด้วยกัน นางหายตัวไปตั้งหลายวัน นักบวชเต๋าจินเหลียนมีเบาะแสบ้างหรือไม่ ผู้หญิงคนนี้เหตุใดถึงโชคร้ายนักนะ ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้คิดอะไรอยู่ ปล่อยเด็กสาวไม่รู้ประสาให้ออกมาจากเขตของตนได้ ทั้งยังไม่ส่งคนมาคุ้มครองอีก ชนเผ่าป่าเถื่อนก็คือชนเผ่าป่าเถื่อนสินะ…’
หมายเลขสองบ่นเป็นวรรคเป็นเวรราวกับมารดา ไม่ว่าใครได้ยินก็ฟังออกถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของนาง
หมายเลขหนึ่ง ‘หากพบเต๋ามารนิกายปฐพีในเซียงโจว เช่นนั้นก็ต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่ ไปขอให้ราชการท้องถิ่นช่วยเหลือสิ’
ตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ส่งข้อความมา ‘หมายเลขสอง เจ้าไม่จำเป็นต้องมาหรอก ไม่เป็นอะไร หมายเลขสี่และหมายเลขหกก็อยู่ที่เซียงโจวเหมือนกัน’
ผ่านไปพักหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง ‘ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับชะตาลิขิตเถิด’
ทุกคนสามารถมองเห็นความจนใจจากนักบวชเต๋าได้ในคำพูดเหล่านี้ ผ่านไปชั่วขณะ เสียงเตือนในใจของทุกคนในพรรคฟ้าดินก็สงบลง มีเพียงความกังวลว่าของวิเศษจะตกอยู่ในมือของเต๋ามารหรือไม่ และความกังวลว่าหมายเลขห้าจะอยู่รอดปลอดภัยดีหรือไม่เท่านั้น
………………………………………………………..