บทที่ 91.1 ครั้งนี้ ถึงตาข้าแล้ว (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

ฝาถ้วยน้ำชาวางคว่ำอยู่บนโต๊ะ น้ำชาสีเขียวไหลลงตามมุมโต๊ะ เห็นกับตาว่าน้ำชากำลังจะหยดลงบนกระโปรงของฉู่สวินหยาง

เหยียนหลิงจวินที่เอนอยู่เก้าอี้ตาไวรีบยื่นมือออกมาอุ้มฉู่สวินหยางไปอีกด้านหนึ่ง กอดนางกลิ้งไปบนเก้าอี้ยาวด้วยกัน

เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้น ฉู่สวินหยางยามนี้อยู่ในอ้อมกอดอันหนาแน่นของเขา ทั้งยังฝังใบหน้าลงบนหัวไหล่ของนางพร้อมกับหัวเราะต่อ

เสียงหัวเราะนั้นช่างมีความสุขนัก สั่นสะเทือนจากกลางอก มันดังสะท้อนเข้ามาในอกของฉู่สวินหยางในระยะใกล้ชิดที่สุด

ในใจของฉู่สวินหยางพลันรู้สึกดีเหลือเกิน อ่อนไหวอยู่บ้าง

ทว่าหลังจากนั้นยังคงรู้สึกประหลาดใจ ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเขาอุ้มเอาไว้ สุดท้ายทนไม่ไหวนางจึงยกนิ้วโป้งขึ้นจิ้มไปที่หัวไหล่ของเขา

ครานี้เหยียนหลิงจวินจึงค่อยๆ หยุดหัวเราะอย่างยากลำบาก เงยหน้าขึ้นสบสายตาที่มีความงุนงงและแง่งอนเล็กน้อยนั้น

ด้วยเมื่อสักครู่รู้สึกขำขันจริงจึงหัวเราะมากเสียจนดวงตาทั้งสองข้างของเขาฉาบไปด้วยละอองน้ำ รอยยิ้มที่อยู่ในแววตาของเขายังไม่ได้เลือนหายไปทั้งหมด ดวงของเขานั้นช่างบริสุทธิ์และแทบจะมองทะลุไปได้ ราวกับหมึกสีดำกลางท้องฟ้ายามราตรีก็ไม่ปาน ทั้งยังถูกแสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องลงมาบนเสื้อคลุมตัวนอกอีกชั้นหนึ่ง ความงดงามนั้นช่างทำให้จิตใจคนอ่อนไหวนัก

ดวงตาของฉู่สวินหยางทอประกายวาววับ สายตาหยุดอยู่ที่ดวงตาของเขา เพียงชั่วขณะที่ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกล่อลวง ตะลึงอยู่นานละสายตาไม่ได้ คิดแค่เพียงแต่จะมองหน้าเขาในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ตลอดเวลา อยากจะเข้าไปสัมผัสสิ่งที่เขาซ่อนไว้เบื้องหลังดวงตาคู่นั้นทั้งความลับและความรู้สึกที่นางยังไม่รู้

เหยียนหลิงจวินเห็นฉู่สวินหยางมองตนเองด้วยดวงตาทอประกายวาววับ ภายในใจยิ่งควบคุมการหัวเราะของตนไม่ได้

จากนั้น เขายกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากนางครั้งหนึ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเป็นสุข “ข้าเป็นคนของเจ้า เหมือนที่เจ้าเป็นคนของข้า นี่ล้วนไม่แบ่งแยก เพียงแต่พวกเรามาไตร่ตรองกันดีๆ ว่าจะทำให้มันถูกทำนองคลองธรรมเมื่อไรดี?”

ระหว่างที่เขาพูดจา เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ลอดออกจากลำคอของเขาอย่างอดใจไว้ไม่ไหว

เมื่อสักครู่นี้เอง คำพูดเผด็จการของฉู่สวินหยางที่กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด ‘คนของข้าง’ ช่างเป็นคำพูดที่ทำให้สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ

นิสัยตรงไปตรงมาของสาวน้อยผู้นี้ ทำให้เขารักนางเข้าไปถึงกระดูก

ใต้หล้านี้ จะหาหญิงสาวเช่นนี้เป็นคนที่สองคงไม่มีอีกแล้ว

นางที่ฉลาดเฉลียว ยืนหยัด เข้มแข็ง และเผด็จการเป็นเปลือกนอกให้ผู้อื่นได้เห็น ทุกครั้งที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวความรู้สึกลึกซึ้งและรุนแรงนั้นเกิดขึ้นในชั่วขณะระหว่างคนทั้งสอง ทำให้นิสัยของนางนั้นน่ารักน่าเอ็นดูอย่างชัดเจนขึ้น

เหยียนหลิงจวินโอบกอดนางเอาไว้ รอยยิ้มในแววตาของเขาที่เพิ่งจะเก็บงำกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตาคู่นั้น มาถึงใบหน้า ทำให้ใบหน้าคมสันหล่อเหลาของเขาน่าหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก

ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นสัมผัสคิ้วของเขา ใช้ปลายนิ้ววาดไปตาม คิ้ว ดวงตา และกรอบหน้า ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ที่นั่นทว่าไม่เอ่ยวาจาใดๆ

เหยียนหลิงจวินโอบนางไว้ในอ้อมแขน หลังจากหัวเราะอีกครั้งหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเห็นริมฝีปากนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนซุกซน หัวใจของเขาพลันทนไม่ไหวจึงโน้มกายลงไปจุมพิตริมฝีปากของนาง กล่าวว่า “เหม่ออันใดเล่า? ถามเจ้าอยู่นะ”

ปลายนิ้วของฉู่สวินหยางลูบไปตามโครงหน้าของเขา เม้มริมฝีปากและเงียบไปอีกครู่หนึ่ง เมื่อสักครู่ที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจเริ่มเอ่ยคำ “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดกันแล้วหรือไร ท่านเอาเปรียบข้าไปแล้ว ข้ายังไม่ได้บอกว่าข้าเกรงว่าท่านจะหนีไป”

“จริงหรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มอย่างจนใจ ปลายนิ้วประคองแก้มของนางเอาไว้ “แต่ข้ากลับกลัวว่าเจ้าจะหนีไปน่ะสิ”

ฉู่สวินหยางได้ยินคำพูดนี้แล้ว จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าที จึงได้แต่เม้มริมฝีปากกลั้นเอาไว้ไม่ให้ยิ้มออกมา

เหยียนหลิงจวินกลับไม่ยอมเลิกรา โอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน ทั้งยังขบกัดใบหูของนางพร้อมกับพูดอย่างปรึกษาหารือว่า “เวลานี้สถานการณ์ในราชสำนักของเจ้ากำลังวุ่นวาย ข้ามักจะรู้สึกไม่วางใจเสมอ ในเมื่อเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่สู้พวกเรา…”

หนังสือแสดงการสมรสแผ่นนั้น แม้จะบอกว่ามันเป็นเพียงพิธีการ แต่หากยังไม่ได้เอาไว้ในมือแล้วละ…

เขามักจะรู้สึกว่ามันขาดสิ่งใดไป

ไม่เพียงแต่รู้สึกว่าติดค้างฉู่สวินหยาง ยังมีความรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง

ฉู่สวินหยางซุกกายในอ้อมกอดของเขา มืออ้อมหัวไหล่ของเขาไปเล่นเส้นผมของเขา กลับไม่พูดไม่จา

เหยียนหลิงจวินพิศดูใบหน้าอันงดงามของนาง นิ้วมือลากผ่านแก้มของนาง ไปถึงด้านหลังศีรษะ สอดเข้าไปในเส้นผมดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวก็ปล่อยเส้นผมราวกับเส้นไหมของนางสยายออกมา

เส้นผมสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก แผ่สยายลงมา มีกลิ่นหอมจางๆ จากเส้นผมนั้นแตะเข้ากับจมูก

เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ออกแรงดึงศีรษะของนางให้ก้มต่ำลงมา ปลายจมูกชนปลายจมูกพูดเสียงอู้อี้ว่า “คืนนี้ไม่กลับไปเถิด?”

ฉู่สวินหยางเดิมทีกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ในใจ ได้ยินคำพูดนี้จึงตกตะลึง หลุบตาลงประสานสายตากับเขาในระยะประชิด

ในดวงตาของเหยียนหลิงจวินฉาบไปด้วยละอองน้ำที่ดูไปแล้วอ่อนโยนยิ่งนัก ทำให้คนรู้สึกตกอยู่ในวังวนนั้น

น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า ปลายจมูกถูไถกับปลายจมูกของนางไปมา ลมหายใจร้อนระอุรินรดใบหน้าของนาง คันยุบยิบ

“กลางคืนข้า…” ฉู่สวินหยางอย่างเอ่ยอันใด ทว่าเขาไม่ได้ให้โอกาสนั้นแก่นาง เขาแย้มริมฝีปากกลืนกินริมฝีปากของนาง กลืนคำพูดครึ่งประโยคหลังที่นางยังพูดไม่จบลงไปด้วย

นางถูกยึดอากาศที่จะหายใจ เสียงสุดท้ายของฉู่สวินหยางที่ลอดออกมาจากริมฝีปากและฟันก็คือเสียงครางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

ลมหายใจของเขาเข้าควบคุม ไม่ได้เร่งรีบ ทว่าค่อยๆ คืบคลานเข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวใจของนาง

มือทั้งคู่ของฉู่สวินหยางกดอยู่บนหน้าอกของเขา หลับตา ตอบสนองจุมพิตของเขาอย่างตั้งใจ

หากเป็นก่อนหน้านี้ เหยียนหลิงจวินย่อมต้องควบคุมตนเองเป็นแน่ แต่วันนี้จุดประสงค์ของเขานั้นไม่บริสุทธิ์

ผนวกกับเรื่องบางเรื่องเมื่อได้ลิ้มลองรู้รสแล้ว เมื่อมีครั้งแรกที่ได้ลิ้มลอง ในใจย่อมยากที่จะไม่คะนึงหา

เสียงหอบหายใจของเขาหนักขึ้น มือที่ประคองศีรษะด้านหลังของฉู่สวินหยางเริ่มเคลื่อนไหวสะเปะสะปะไปทั่ว

ครั้งก่อนเพราะต้องคอยระวังผู้เฒ่าเหยียนหลิง ทั้งสองจึงกังวล มีความรู้สึกเหมือนลืมๆ เลือน ไม่ค่อยชัดเจนนัก

เดิมทีฉู่สวินหยางไม่มีความสงสัยอันใด แต่เมื่อมือของเขาเคลื่อนไหวตามอำเภอใจมากขึ้นเรื่อย นางจึงค่อยๆ เกิดความแคลงใจขึ้นเล็กน้อย

แต่เมื่อคิดได้ว่าที่นี่คือจวนของเฉินเกิงเหนียน หัวใจของนางพลันหลุดออกจากภวังค์ นางจึงกดมือของเหยียนหลิงจวินเอาไว้ “พวกเราอยู่ที่จวนท่านอาจารย์นะ”

ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินซุกไซ้ไล่มาตามลำคอของนาง เขาได้ยินแล้วทว่ากลับไม่ยอมรามือ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มว่า “เช่นนั้นไปที่เรือนเจ้าดีหรือไม่?”

ฉู่สวินหยางถูกเขาทำให้ตกใจ และไม่รู้ว่าจะตอบเช่นใดดี

ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินข้ามมาจุมพิตมุมปากของนาง จึงเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับนาง และหยอกล้อว่า “เจ้าดูเถิด ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าให้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย ยามนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าไม่สะดวก”

สายตาของเขาทอประกายวาววับ เต็มไปด้วยความรุ่มร้อนในอารมณ์ ความรู้สึกที่แผ่กระจายออกมานั้นทำให้คนตกตะลึงยิ่งนัก

ฉู่สวินหยางคิดไม่ถึงว่าเขาจะมารอคอยตนอยู่ที่นี่ ด้วยความโมโหจึงผลักเขาออก พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หลุดลุ่ย พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ท่านไปหาความสะดวกเอาเองเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”

พูดแล้วก็เตะเข้าไปที่ขาของเขาที่ขวางอยู่เบื้องหน้า ทำท่าจะลงจากตั่ง

เหยียนหลิงจวินพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง ยกมือขึ้นโอบนางกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของตนอีกครั้ง

ฉู่สวินหยางตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เงยหน้าขึ้นพอดีประสานกับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเขา

เขาในยามนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ก็หลุดลุ่ยออกมากว่าครึ่ง ปรากฏให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและกล้ามเนื้องดงามบริเวณหน้าอก

ฉู่สวินหยางนั้นแอบชาๆ หนังศีรษะ แต่ไม่ยอมใจอ่อนแม้แต่น้อย ดวงตาที่จับจ้องมองเขานั้นเต็มไปด้วยเปลวไฟที่แผดเผาเขา

เหยียนหลิงจวินเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของนาง ยิ่งอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา เขาอุ้มนางขึ้นมาและจุมพิตริมฝีปากของนางอีกครั้ง ลูบไล้นางไปด้วยและพูดจางึมงำกับนางไปด้วย “ไม่เป็นไรหรอก พวกเจี๋ยหงรู้ผ่อนหนักเบา ไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาง่ายๆ”

ในเรื่องนี้นั้นแม้ว่าจะด้วยความเต็มจากทั้งสองฝ่าย แต่ยังติดค้างและขาดซึ่งความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างที่ควรจะเป็น

ฉู่สวินหยางยิ่งคิดก็ยิ่งลังเลใจขึ้นมา

เหยียนหลิงจวินเห็นนางอยู่ในสภาพใจลอยไปไกล จึงตัดใจพลิกตัวลงพร้อมกับอุ้มนางไปนั่งบนตั่งด้วยกัน เมื่อโน้มกายลงมานั้นยังปรากฏรอยยิ้มที่ยากที่จะปิดบังได้ในคลองจักษุของเขา “หนังสือแพทย์ที่เจ้าขโมยไปจากข้าศึกษาไปถึงไหนแล้วเล่า?”

ฉู่สวินหยางได้ยินใบหน้ากลับแข็งค้าง ต่อมาคือโมโห ความรู้สึกสงสัยของนางช้าลงเล็กน้อย

เวลานี้สติของนางได้ถูกเหยียนหลิงจวินดึงกลับมาเต็มร้อยแล้ว นางถลึงด้วยความโกรธ จ้องเขม็งไปที่เขา

————————–