ตอนที่ 451 หาตัวฆาตกรตัวจริง!

เครื่องบินส่วนตัวร่อนลงจอด ณ สนามบินนานาชาติเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

เครื่องบินเพิ่งจอดก็พบว่ารอบๆ บริเวณมีทหารจำนวนหลักร้อยคุมกันที่นี่

ส่วนคนตระกูลซูมาถึงสนามบินเกือบหมดทุกคน

ซูเจิ้นหางมารับเย่เฉินที่สนามบินด้วยตัวเอง ลูกชายและสาว หลานสาวและชายก็มากันหมด รวมไปถึงซูมู่หลินที่นั่งบนรถเข็น

สวี่ฉู่หมิงเป็นคนลงมาจากเครื่องบินเป็นคนแรก เพิ่งลงมาก็เห็นทหารในชุดเต็มยศมือถือปืนเอาไว้ ก็เกิดความยำเกรงในศักยภาพของซูเจิ้นหางเป็นอย่างมากจนเกิดหวาดกลัวขึ้นมาในใจ

สวี่ฉู่หมิงวิ่งไปหยุดตรงหน้าของซูเจิ้นหางแล้วรีบร้อนอธิบาย “ท่านซู เรื่องนี้ผมผิดเอง ผมไม่ได้ดูแลความปลอดภัยให้หลานเขยท่าน ไม่รู่เลยว่ามีคนอยากทำร้ายเขา ผมเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนกล้าแตะต้องเขา อีกทั้งผมเห็นเย่เฉินมีคนของเขาคอยปกป้องเขาแล้วก็เลยคิดว่าไม่น่าเป็นอะไร”

สวี่ฉู่หมิงเองถ่อมาจากเมืองเสินเฉิง ก็เพื่อจะแสดงให้ซูเจิ้นหางได้เห็นว่าที่เย่เฉินเจอเรื่องอันตรายนี้ไม่เกี่ยวกับเขา

ตอนนี้เย่เฉินกลายเป็นหลานเขยตระกูลซูแล้ว ถึงสวี่ฉู่หมิงจะรู้จักซูเจิ้นหางก่อนแต่ถ้านับถึงสายสัมพันธ์ ความรักใคร่เหมือนคนในครอบครัว เขาย่อมเทียบเย่เฉินไม่ได้

ซูเจิ้นหางมองสวี่ฉู่หมิงด้วยใบหน้าเย็นชา เมื่อรู้ได้ว่าเย่เฉินตาบอดก็ทำให้ซูเจิ้นหางโกรธจัด!

คืนวานซูมู่ชิงบอกซูเจิ้นหางว่าปู่ของเย่เฉินบอกเขาว่าการทดสอบด้านธุรกิจของเขาจบลงแล้ว เขากำลังจะพาหล่อนไปประเทศอังกฤษ

หลังจากที่ซูเจิ้นหางได้ข่าวแล้ว ก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน!

เขาคิดว่าในที่สุดเขาจะได้รู้ความลับของตระกูลเย่แล้ว ยังสั่งซูมู่ชิงเอาไว้ดิดีว่าไปอังกฤษครั้งนี้จะต้องสืบความลับของตระกูลเย่มาให้ได้

แต่เช้าวันนี้คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวว่าเย่เฉินตาบอด!

สวี่ฉู่หมิงกลัวว่าซูเจิ้นหางจะโกรธเขาเพราะเรื่องนี้ ซูเจิ้นหางไหนเลยจะไม่กังวลว่า เย่ฉงไห่จะโกรธพวกเขาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน!

ประเทศนี้เป็นพื้นที่ของซูเจิ้นหาง หลานชายของตระกูลเย่มาตาบอดในพื้นที่ความรับผิดชอบเขา แล้วเขาจะบอกเย่ฉงไห่ยังไง!

ซูเจิ้นหางมองสวี่ฉู่หมิงด้วยแววตาเย็นชา “สืบเจอหรือยัง? ว่าฝีมือใคร?”

สวี่ฉู่หมิงกล่าว “สืบแล้วครับ แต่คนมาร่วมเลี้ยงเมื่อวานเยอะเกินไป แค่พวกผู้บริหารก็หลายร้อยแล้วครับ ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ”

และในตอนนี้เองซีกวาก็ประคองเย่เฉินขึ้นด้านบน

เย่เฉินสวมแว่นตากันแดด ดูแล้วเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเองเป็นคนตาบอด

ส่วนซูมู่ชิงถลาวิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา จับมือเย่เฉินเอาไว้ “เย่เฉิน คุณเป็นอะไรคะ? คุณมองไม่เห็นจริงเหรอ? คุณอย่าทำฉันตกใจสิคะ… ”

ซูมู่ชิงกล่าวพลางร้องไห้

ซูเจิ้นหางรีบร้อนเดินมาจับมือเย่เฉิน “เย่เฉิน เธอสบายใจได้เลย ฉันหาหมอที่เก่งที่สุดในประเทศนี้มาแล้ว จะต้องรักษาเธอให้หายได้แน่!”

เย่เฉินพยักหน้ารับ

จากนั้นเย่เฉินก็ถูกพาตัวไปส่งที่โรงพยาบาล

หลังจากตรวจร่างกายโดยอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้ว คนตระกูลซูก็มารวมตัวที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์อู๋

“ศาสตราจารย์อู๋ ดวงตาของเย่เฉินเป็นยังไงบ้าง? จะรักษาหายไหม?”

ซูเจิ้นหางโพล่งถามอย่างอดใจไม่ไหว

ซมจกล่าวพลางส่ายหน้า “ดวงตาของผู้ป่วยไม่ได้เสียหายอะไร จากผลการตรวจร่างกายและการวิคราะห์แล้ว เป็นเพราะเมื่อคืนวานดื่มเหล้าที่มียาพิษ แต่จากที่ผมดูไม่มียาตัวไหนที่จะทำให้คนตาบอดได้”

ซูหมิงเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ถาม “ภาวะเป็นพิษจากสุราเหรอ?”

ศาสตราจารย์อู๋กล่าว “พิษจากสุราอาจส่งผลกับประสาท จากนั้นดวงตาสองข้างก็มองไม่เห็น แต่ถ้ามองไม่เห็นจะรักษาไม่หายเลย ผมจำได้ว่าเมื่อปี 80 ยังมีคนเอาเอทานอลไปผ่านกรรมวิธีต่างๆ แล้วเอาไปขายราคาแพง จากนั้นก็ละลายน้ำให้กลายเป็นเหล้าขาว จนทำให้คนตาบอดหรือาจจะตายไปมาก แต่ว่าถ้าคุณเย่ดื่มเอทนอลเข้าไปเขาไม่มีทางตาบอดเท่านั้นแล้วไม่มีอาการอย่างอื่น ถ้าหากว่าเป็นพิษสุราล่ะก็จะปวดหัว อ่อนล้า สติเลอะเลือน หรืออาจจะเกือบตายก็ได้ แต่คุณเย่กลับไม่มีอาการอะไรเลย ไม่เพียงแต่จะเกิดความเหสียหายทางประสาท ผมสงสัยว่ามีคนปรุงสูตรยา ยาประเภทนี้อาจจะส่งผลทำลายระบบประสาทตาจนทำให้ตาบอด!”

พวกซูเจิ้นหางต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว ใครกันแน่ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้จนผลิตยาแบบนี้ออกมา!

ซูเจิ้นหางกล่าวถาม “ไม่มีวิธีการแก้ไขแล้วใช่ไหม?”

ศาสตารจารย์อู๋กล่าว “พวกเราไม่เจอสารพิษอะไรในร่างกายคุณเย่ อีกทั้งตอนนี้ดูไปแล้วในตัวเย่เฉินไม่มีปัญหาอะไรด้วย แต่คุณเย่เฉินไม่เห็นอะไร ขอโทษด้วยนะครับ คุณซู เกรงว่าคุณเย่…”

ซูเจิ้นหางหัวเสียทันที “ฉันไม่อยากได้ยินคำว่ารักษาไม่หาย! จะต้องรักษาดวงตาของเย่เฉินให้หายให้ได้!”

ศาสตราจารย์อูก้มหน้าลง “ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”

……

4 ทุ่ม เย่เฉินเอนตัวอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาพักอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ชั่วคราวเพื่อตรวจร่างกายต่อ

ประสาทตาเย่เฉินในตอนนี้หายแล้ว แต่ว่าเขาจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกายและรักษา

เพราะเขาต้องการจะหาตัวฆาตกรให้ได้!

ซูมู่ชิงในตอนนี้อยู่ในห้องผู้ป่วย คว้ามือเย่เฉินเพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย

เย่เฉินมองเห็นซูมู่ชิงร้องไห้น้ำตาไหล

เย่เฉินเมื่อครู่บอกให้ซูมู่ชิงกลับไปนอนที่บ้าน แต่หล่อนไม่ยอม หล่อนบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่อยู่ห่างจากตัวเย่เฉิน

จนในห้องผู้ป่วยไม่เหลือใคร เย่เฉินถึงเอื้อมมือไปลูบผมของหญิงสาว มองหญิงสาวที่ดวงตาที่พร่าเลือนแล้วกล่าว

“เด็กโง่ ดูคุณร้รองไห้เข้าตาบวมแล้ว ถ้าตอนนี้เริ่มจัดลำดับหญิงงามในเมืองหลวง ผมว่าคุณคงไม่ติด 10 อันดับแรก”

ซูมู่ชิงแหงนหน้ามอง ด้วยใบหน้าสงสัย “ที่รัก ทำไมคุณถึงได้รู้ว่าฉัน…คุณ…”

ซูมู่ชิงเพิ่งเปิดปากกล่าวก็โดนเย่เฉินจุมพิตหล่อนอย่างแม่นยำทำให้ทุกอย่างหยุดไป

“ชู่ว” เย่เฉินส่งสัญญาณมือบอกซูมู่ชิง “มู่ชิง ที่จริงแล้วตาผมหายตั้งแต่ตอนกลางวัน”

ซูมู่ชิงทุบเย่เฉินไม่หยุด “ทำไมคุณไม่บอกฉัน ทำเอาฉันเป็นห่วงคุณทั้งวันเลยนะ!”

เย่เฉินกล่าวว่า “ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าใครทำร้ายผม ผมจะต้องควานเอาตัวเขาออกมา ในเมื่อเคยทำร้ายผมได้หนึ่งครั้ง ก็จะมีครั้งที่สอง ผมต้องการขะแกล้งตาบอดต่อไป เพราะหลังจากที่ผมตาบอดแล้ว เขาก็จะยิ่งลงมือหนักกว่าเดิม มู่ชิง คุณอย่าบอกคนที่บ้านคุณนะ”

ซูมู่ชิงพยักหน้ารับ “ค่ะ”

เย่เฉินลูบน้ำตาบนวงหน้างดงามของซูมู่ชิงแล้วกล่าว “ที่รัก กลับบ้านไปนอนกันเถอะครับ”

เมื่อรู้ว่าเย่เฉินไม่เป็นอะไร ซูมู่ชิงถึงได้ยอมออกจากโรงพยาบาล

หลังจากที่ซูมู่ชิงกลับบ้านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ซูมู่หลินก็นั่งรถเข็นเข้ามา

ไฟในห้องผู้ป่วยเปิดอีกครั้ง เย่เฉินนอนบนเตียงไม่ลุกขึ้นมา

“เย่เฉิน”

ซูมู่ชิงเรียกเย่เฉิน

เย่เฉินไมม่ตอบแต่กลับพลิกตัว

ซูมู่หลินเห็นเย่เฉินไม่นอนหลับก็เปิดปากเอ่ย “เย่เฉิน นายต้องคิดว่าฉันวางยานายใช่ไหม?”