บทที่ 364 การแก่งแย่งที่ว่างเจียง

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 364 การแก่งแย่งที่ว่างเจียง
“ท่านพ่อ พี่ซวี่ เรียกผมมามีเรื่องอะไร”

ณ เมืองหยุนชวน ตระกูลจ้าว

จ้าวเฟิงเดินเข้ามาในห้องรับแขกของเจ้าบ้านอย่างระมัดระวัง

สถานที่แห่งนี้ มีแต่เจ้าบ้านแต่ละรุ่นเท่านั้นที่คู่ควรครอบครอง เวลามีการรับรอง ก็ล้วนเป็นบุคคลสำคัญเท่านั้น

แม้จ้าวเฟิงจะเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของจ้าวเทียนเล่อ แต่เพราะสถานะไม่รับรอง ไม่มีศักดิ์ เมื่อก่อนจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่

ดังนั้น จ้าวเฟิงจึงหวาดกลัวเป็นพิเศษ

จ้าวเทียนเล่อนั่งอีกฝั่งดื่มชากับจ้าวซวี่

พอเห็นจ้าวเฟิง น้อยมากที่จะเห็นจ้าวเทียนเล่อเผยรอยยิ้ม

“เสี่ยวเฟิง มา นั่งลงสิ”

“เราสามคนพ่อลูก เหมือนไม่เคยนั่งพูดคุยกันอย่างสงบมาก่อนเลย”

จ้าวเฟิงตกใจที่ได้รับการเอาใจใส่อีกทั้งสงสัยบางอย่าง เขามองจ้าวซวี่อย่างอยากถามบางอย่าง

จ้าวซวี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า: “น้องเฟิง เรื่องที่นายทำให้ฉัน ฉันได้รายงานท่านพ่อให้ทราบแล้ว”

“ท่านพ่อชื่นชมการกระทำของนายอย่างมาก”

จ้าวเทียนเล่อก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “นั่นสิเสี่ยวเฟิง ครั้งนี้ถ้าไม่เพราะเธอรายงานเรื่องจ้าวข่ายลอบสังหารให้พี่ชายเธอรู้ได้ทันเวลาจนทำให้พี่ชายของเธอไหวตัวทัน”

“เกรงว่า เราสองพ่อลูกต้องถูกจ้าวข่ายพ่อลูกเล่นแง่ต่อคนหมู่มากแน่”

“เมื่อก่อนพ่อไม่เห็นว่าเธอจะภักดีมีไหวพริบขนาดนี้ พ่อเองที่มองข้ามเธอไป”

“รีบนั่งลงสิ”

จ้าวเฟิงกุลีกุจอเอ่ยว่า: “ทั้งหมดเพราะพี่ซวี่ชี้แนะมาดี ผมก็แค่ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”

เขานั่งลงข้าง ๆ หยิบกาน้ำชาขึ้น

“พ่อ พี่ซวี่ ผมรินน้ำชาให้”

“พรุ่งนี้ก็เป็นวันนัดพบอานกั๋วที่หอว่างเจียงแล้ว ผมขอให้ท่านพ่อกับพี่ซวี่มีชัยชนะ ยึดหนานเจียงให้ได้ในคราวเดียว!”

“เมื่อถึงเวลานั้น เราตระกูลจ้าวไม่เพียงเจิดจรัสดั่งดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า เชื่อว่าในบรรดาวงศ์ตระกูล ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยฐานะของท่านพ่อกับพี่ชายแล้ว”

จ้าวเทียนเล่อหัวเราะเสียงดังฮ่า ๆ: “เสี่ยวเฟิง พูดได้ดี”

“มา เราพ่อลูกใช้น้ำชาแทนสุราชนแก้วกัน”

“อวยพรให้พวกเราตระกูลจ้าว พรุ่งนี้คว้าชัยชนะกลับมา!”

ตอนนี้ เขาเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อลูกชายลับ ๆ คนนี้ของเขาขึ้นมาเล็กน้อย

จนขั้นเสียใจที่ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่แรก ไม่แน่ตอนนี้อาจจะเป็นแขนอีกข้างให้ได้แล้ว

“เสี่ยวเฟิง ที่เรียกเธอมาเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษากับเธอ”

“มีคำกล่าวว่าพ่อลูกในสนามรบ พี่น้องร่วมรบช่วย สงครามที่หอว่างเจียงในวันพรุ่งนี้ จึงสำคัญมาก”

“แต่ว่า ฐานค่ายใหญ่ฝ่ายหลังของพวกเราก็มองข้ามไม่ได้ อานกั๋วเป็นคนเจ้าเล่ห์ เราต้องป้องกันไม่ให้เขาฉวยโอกาสบุกรุก”

จ้าวเฟิงตื่นตัวรีบเอ่ยว่า: “ท่านพ่อ ถ้าตรงไหนได้ใช้ผม ผมจะไม่รีรอเลย!”

จ้าวซวี่หัวเราะเอ่ยว่า: “น้องเฟิง พวกเราเป็นคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”

“ความปรารถนาที่นายจะอยู่เฝ้าฐานค่ายใหญ่ ฉันบอกให้ท่านพ่อรู้แล้ว ท่านพ่อก็เห็นด้วย”

“จริงเหรอ?” ในสายตาจ้าวเฟิงเปล่งประกายขึ้น

เขาเอ่ยด้วยความผวาว่า: “ลูกรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะออกหน้า แต่ก็คำนึงถึงช่วงเวลาคับขันที่จะปลดเปลื้องความกังวลให้ท่านพ่อ”

“ฐานค่ายใหญ่สำคัญมาก ไม่มีคนของพวกเราเองไม่ได้ ดังนั้นผมจึงขอบังอาจอาสาตัวเข้ามา”

“ถ้าท่านพ่อเห็นว่าลูกรับภาระใหญ่ไม่ได้ ก็หาคนที่ภักดีคนอื่นมาทำเรื่องนี้ก็ได้”

จ้าวเทียนเล่อเอ่ยอย่างปีติว่า: “ต่อให้คนอื่นภักดีแค่ไหนจะสู้ความภักดีของลูกตัวเองได้เหรอ?”

“จริง ๆ นะเสี่ยวเฟิง เธอคิดข้อนี้แทนพ่อได้ พ่อก็รู้สึกปีติอย่างมาก”

การเผชิญหน้ากันในวันพรุ่งนี้สำคัญมาก คนในวงศ์ตระกูล ต่างไม่อยากทิ้งโอกาสที่จะได้เชิดหน้าชูตาสร้างผลงาน

ทว่าจ้าวเฟิงเป็นบุตรชายลับ ไม่ค่อยเหมาะที่จะออกสังคมต่อผู้คน

ให้เขาเฝ้าฐานค่ายใหญ่ จ้าวเทียนเล่อรู้สึกว่าเป็นการจัดการที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ

“ฉันจะทิ้งองครักษ์ 3 นายไว้ให้เธอ”

“ตอนพวกฉันไม่อยู่ องครักษ์ 3 คนนี้อีกทั้งลูกน้องในมือของเขาทั้งหมด 300 นายยกให้เธอสั่งการ”

“เสี่ยวเฟิง ถ้าตระกูลหรือบริษัทเกิดระส่ำระสาย เธอก็ให้องครักษ์ลงมือ อายัดแทนฉันไปก่อน”

“รอฉันกลับมาค่อยมอบให้ฉันจัดการต่อ”

“ขอบคุณท่านพ่อ!”

“ลูกจะไม่ทำให้ผิดหวัง!” จ้าวเฟิงฮึกเหิมรีบลุกขึ้นคุกเข่าทั้งคู่ลงคำนับศีระษะให้จ้าวเทียนเล่อ

จ้าวเทียนเล่อหัวเราะดังฮ่า ๆ: “ฉันมีซวี่เอ๋อร์กับเฟิงเอ๋อร์ เท่ากับมีแขนซ้ายและแขนขวาสองข้างเพิ่มขึ้น”

“ไยต้องกังวลว่างานใหญ่จะไม่สำเร็จ!”

จากนั้น เขาก็เรียกองครักษ์ 3 คนที่จะให้เฝ้าออกมา

ได้แก่ องครักษ์ใหญ่ ซือเหยียนจง องครักษ์สาม หลู่ซิ่น องครักษ์เก้า เหยียนควน

ทั้งสามคนเป็นสุดยอดฝีมือทั้งนั้น

มีจ้าวเฟิงนำพวกเขาเฝ้าฐานค่ายใหญ่ จ้าวเทียนเล่อก็รู้สึกสบายใจ

โดยเฉพาะองครักษ์ใหญ่ซือเหลียนจงติดตามมานานที่สุด โดยส่วนตัวทั้งสองคนก็เหมือนกับพี่น้อง

จ้าวเทียนเล่อเคยเมาจนพูดว่า ใต้ฟ้านี้ ต่อให้ลูกชายแท้ ๆ ของเขาหักหลังเขา ซือเหยียนจงก็ไม่หักหลังเขา

ซือเหยียนจงไม่เพียงมีศิลปะการต่อสู้ที่เหนือกว่า 13 องครักษ์ ยังเป็นคนใจเย็น มีความคิดรอบคอบ

มีเขาช่วยจ้าวเฟิงคอยกำราบฐานค่ายใหญ่ ต้องไม่พลาดแน่

อันที่จริงจ้าวเทียนเล่อกำลังใช้โอกาสนี้ฝึกฝนจ้าวเฟิงฝึกฝน ขอแค่จ้าวเฟิงทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ พอกลับมาเขาก็จะค่อย ๆ ใช้จ้าวเฟิง

ถึงตอนนั้น เขาจ้าวเทียนเล่อในวงศ์ตระกูลจ้าวก็จะ ก็จะมีคนสนิทที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพิ่มขึ้นอีกคน

ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย ไม่ง่ายเลยที่พ่อลูกทั้งสามคนจะได้คุยเรื่องพ่อลูกพี่น้องกัน

วันต่อมา จ้าวเฟิงนำองครักษ์ 3 คน คุกเข่าส่งจ้าวเทียนเล่อออกเดินทาง

โอกาสสำคัญอย่างนี้ แน่นอนที่สมาชิกสำคัญในตระกูลไม่อยากจะขาดการเข้าร่วม

โดยเฉพาะจ้าวเทียนจี เขาพาบุตรชายจ้าวข่าย เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว

องครักษ์ทั้งหมด 7 คน พาคนคุ้มกันฝีมือดีอีก 300 คน นั่งรถ 100 คัน ดูทรงพลัง ฟุ้งไปด้วยกลิ่นไอสังหาร

เหมือนมังกรยาวคดเคี้ยว ขับมุ่งหน้าไปยังหอว่างเจียงจุดตัดพรมแดนของสองเมืองหลวง

เมืองที่หอว่างเจียงตั้งอยู่ มีทรัพยากรต่าง ๆ ไม่ขาด

แต่เพราะแทรกกลางสองเมืองหลวง ได้รับผลกระทบจากการแก่งแย่งของสองเมือง จึงไม่เจริญก้าวหน้า

ดูแล้ว ถึงขั้นกันดาร

แต่ว่า หอว่างเจียง เป็นถึงโบราณสถาน ปกติหลายคนเลื่อมใสในชื่อเสียงจึงมาท่องเที่ยว อย่างน้อยก็นำความมีชีวิตชีวามาสู่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

วันนี้ เนื่องจากได้รับเทียบจากตระกูลจ้าวแห่งหยุนชวนกับตระกูลอานแห่งหนานเจียงในเวลาเดียวกัน ผู้นำจากตระกูลใหญ่ประจำถิ่นสองสามตระกูล ก็ได้เคลียร์หอว่างเจียงไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว

กฎอัยการศึกรอบด้านทั้งหมด

ผู้นำตระกูลท้องถิ่นเหล่านี้ ก็ยืนอยู่ด้านนอกหอว่างเจียง อยู่แต่เนิ่น ๆ เพื่อรอคารวะ

“ดูเร็ว มาแล้ว!”

มีคนกระซิบเสียงเบา ๆ

ที่เห็นคือมาจากเมืองหยุนชวนทาง และเมืองหนานเจียงทาง

ขบวนสีดำสองขบวน ปรากฏขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน อย่างกับมังกรดำ 2 ตัว ค่อย ๆ ขับเข้ามา

ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เลยนะ!

ระยะทางห่างกันอย่างนี้ บรรยากาศการเดินทางอย่างนี้ ทำให้เถ้าแก่ประจำถิ่นทั้งหมดเหล่านี้หวาดหวั่นใจ

อารมณ์พวกเขาเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน

เพราะพวกเขารู้ว่า ไม่มีงานเลี้ยงไหนที่เป็นงานดีตั้งแต่สมัยโบราณ

วันนี้ตระกูลจ้าวแห่งหยุนชวนกับตระกูลอานแห่งหนานเจียง ในงานเลี้ยงครั้งนี้ ต้องมีใครสูงใครต่ำแน่นอน

และเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุด ก็จะตัดสินดวงชะตาของพวกเขาในภายหน้า

พวกเขาแค่มีอิทธิพลอยู่บ้างในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ไม่สามารถเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลจ้าวกับตระกูลอานได้

ดังนั้น พวกเขาจึงถูกลิขิตให้เป็นเชลยศึกของฝ่ายที่ชนะ