“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่รับการสนับสนุนจากสถาบันของเรา?” หลงหยวนเจียมองไปที่ซางจิ่วจี้ด้วยสายตาลึกลับ…เขาได้ปรับงื่อนไขเป็นจำนวนมากเพื่อให้แผนการทุกอย่างเป็นที่พอใจของซางจิ่วตี้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงต่อต้านอยู่

 

“ฉันพูดในสิ่งที่ต้องพูดไปแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็คือไม่ให้ความร่วมมือ” ซางจิ่วตี้โบกมือด้วยความรำคาญ “แม้แต่นายพลตรียังถูกฉันโยนออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา คุณก็เห็นแล้วว่าสาเหตุที่คุณต้องการจะร่วมมือกับฉันไม่ได้อยู่ที่นี้ เข้าใจนะ”

 

หลงหยวนเจียรู้สึกสงสัยอยู่ในใจผู้หญิงตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อที่ซางจิ่วตี้บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชูฮัน แต่มันแปลกมันที่อีกฝ่ายเลือกจะปฏิเสธ เพราะสถาบันวิจัยของพวกเขานั้นมีความจริงใจและเชื่อถือได้มากกว่าค่ายซางจิงอยู่มาก

 

สำหรับซางจิ่วตี้ถึงแม้เธอจะปฏิเสธไปตรงๆ หากมันก็ยังดูน่าสงสัยสำหรับเธอเองเหมือนกัน…เรื่องการมาถึงของคนพวกนี้

 

ก่อนหน้านี้ชูฮันได้กล่าวกับเธอเอาไว้อย่างเฉพาะเจาะจงก่อนจะจากไป มันเป็นไปตามการคาดเดาของชูฮัน มันคือการขอร่วมมือและเงื่อนไขมันก็ดีมากๆ แต่ทำไมชูฮันถึงบอกให้เธอปฏิเสธมัน เธอไม่เข้าใจเลย

 

หลังจากหลงหยวนเจียจากไป ติงซือเย้ายังคงยืนอยู่ตรงประตูด้านนอก จู่ๆเขาก็พบว่ามันค่อนข้างยากจะเข้าใจได้…ซางจิ่วตี้โยนพลตรีที่มาจากซางจิงออกไปและปฏิเสธการร่วมมือจากสถาบันวิจัยลึกลับนั้น?

 

ทำไม?

 

“นายมาทำอะไรที่นี่?” ซางจิ่วตี้ที่เดินออกมาจากห้องคนเดียวเหลือบตามองติงซือเย้า น้ำเสียงของเธอยังคงแฝงไปด้วยร่องรอยความโกรธอยู่

 

ติงซือเย้าตกใจกับน้ำเสียงของซางจิ่วตี้ จากน้ำเขาก็พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ฉันจะเชื่อมั่นในตัวคุณได้ยังไง? คนจากซางจิงจะไม่ยอมร่วมมือกับเราอีก แถมคุณยังกล้าชิงของๆพวกเขามาอีก คุณเป็นโจรเหรอไง?”

 

ซางจิ่วตี้พยักหน้าจากนั้นก็พูดบางอย่างที่มีเลศนัยออกมา “นายพูดถูกแล้ว เมื่อนึกถึงปัญหามากมายที่เกิดจากวิธีการคิดของชูฮัน”

 

ติงซือเย้าถามต่อ “คิดแบบไหน?”

 

“อะไรแบบไหน?” ริมฝีปากของซางจิ่วตี้มีรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นปรากฏขึ้น “อย่าสนใจเลย!”

 

“นี่มันไปกันใหญ่แล้ว มันจำเป็นต้องหักหน้ากันขนาดนั้นเลย?” ติงซือเย้าไม่เข้าใจ “มันไม่เป็นอะไรที่จะจัดการลูกผสมกับซอมบี้ แต่ได้โปรดให้ความร่วมมือกับคนอื่น ไม่ว่าจะทั้งพลตรีหรือสถาบันวิจัย คุณปฏิเสธหมดทุกอย่างเลย นี้มันเกี่ยวข้องกับค่ายทั้งค่าย ทำไมคุณถึงหุนหันพลันแล่นแบบนี้?”

 

“นี่ค่ายนี้เป็นของฉันหรือของนาย?” ซางจิ่วตี้ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับติงซือเย้า เธอพูดกดติงซือเย้าไว้ด้วยคำไม่กี่คำ “ภารกิจของนายคือปกป้องคุณหยวนซีเย นายดูแลเรื่องของนายไปซะ ส่วนเรื่องการจัดการดูแลค่ายไม่เกี่ยวอะไรกับนาย อย่าเข้ามายุ่ง”

 

ติงซือเย้ามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อเธอเรียนรู้วิธีแบบนี้มาจากใคร ชูฮันรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้แข็งขนาดนี้?

 

ซางจิ่วตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอยู่ครู่หนึ่ง แผ่นหลังของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่ชูฮันไม่ได้อยู่ที่นี้ไม่อย่างนั้นมันคงจะจัดการทุกอย่างได้ยาก

 

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขับไล่พันตรีสิงโตที่บ้าคลั่งนั้น เพราะอีกฝ่ายอาจใช้โอกาสนั้นถอนตำแหน่งพลเอก ชูฮันจะยังรับตำแหน่งอยู่หรือไม่กันแน่ เธอก็ไม่อาจรู้?

 

แต่ถ้าชูฮันรับตำแหน่งล่ะ? ถ้าเช่นนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องยึดเสบียงและขับไล่พลตรีสิงโตไป

 

ผลกระทบทั้งหมดอาจมากกว่าเกินจะจินตนาการได้ ในตอนนี้ซางจิ่วตี้กำลังกังวลหากในขณะเดียวกันก็มีความสุข ไม่แปลกใจเลยที่ชูฮันต้องการทำให้ความสัมพันธ์กระจ่างในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

 

ซางจิ่วตี้ได้แต่ช็อค…นี่ชูฮันเดาทุกอย่างล่วงหน้ามาถึงขั้นนี้ได้เลยเหรอ?

 

————

 

บนบนสายหลักเส้นหนึ่งที่ค่อนข้างไกลออกมาจากค่ายซางจิงพอสมควร ชูฮันเดินออกฝ่าท่ามกลางกองซากศพซอมบี้ที่เต็มไปด้วยเลือดสีดำของมันนองเจิ่งพื้นพร้อมกับขวานยักษ์สีดำที่ยังคงมีเลือดสีดำไหลย้อยหยดลงพื้นไม่หยุด ฝีเท้าของชูฮันที่เดินฝ่าออกมาจากกองศพอย่างมั่นคง แต่ละก้าวได้เหยียบลงบนกระโหลกของซอมบี้จนร้าวละเอียด

 

คนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ถัดไปจากถนนมองไปภาพตรงหน้าพวกเขาที่มีภาพของซอมบี้จำนวนมากนอนตายอยู่บนถนน จำนวนของพวกมันยากเกินกว่าจะประเมิณได้ แถมมันยังมีซอมบี้ระยะ 3 อีกหลายตัวผสมปนอยู่ด้วย นี่มันมากพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนที่เห็นภาพแทบอยากจะวิ่งหนีไปทันที ฝูงซอมบี้ทั้งหมดถูกจัดการด้วยฝีมือของชูฮันคนเดียว

 

ชูฮันไม่สนใจอะไร เขาแค่บิดคอไปมาคลายเพื่อคลายความเมื่อย ในหัวของเขามีหวังไคที่กำลังคิดคำนวนข้อมูลอยู่ หวังไคได้กลายเป็นผู้ชายรอบด้านของชูฮันไปแล้ว

 

“ในเมื่อนายก็ได้เดาทางความคิดของอีกฝ่ายแล้ว ทำไมนายถึงต่อต้านการไปค่ายซางจิงตัวคนเดียว?” หวังไคแสดงผลลัพธ์ของข้อมูลให้ชูฮัน คะแนนที่รวบรวมได้ทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่ 20,000 คะแนน “เมืองอันลูไม่มีมันสมอง เพราะซางจิ่วตี้?”

 

“นายดูถูกเลขเก้าตัวน้อยเกินไป?” ชูฮันเป็นคนไม่ชอบยิ้ม “เธอเป็นอดีตสมาชิกของทีมเขี้ยวหมาป่าเหมือนกับป่ายหวีเนอ และเธอก็อยู่อันดับที่ 9  นายคิดว่าเธอจะธรรมดาแบบนั้นจริงๆเหรอ?”

 

“บอกฉันมาสิ” หวังไคดูเหมือนจะสงสัยเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดในหัวชูฮัน “แล้วซางจิ่วตี้จะแก้ปัญหาวิกฤตนี้ยังไง? ฉันพยายามคิดวิเคาะห์หาทางที่ดีสุดแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”

 

“ความจริงแล้วมันมีอยู่ 2 ทาง” ชูฮันเหยียดนิ้วออกมา 2 นิ้ว “เลขเก้าตัวน้อยมีความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่มืดมนแบบนี้ ฉันคาดว่ามันน่าจะมีทั้งหนทางในการทำร้ายศัตรูและอย่างน้อยกูเสียตำแหน่งไป แต่ยังไงมันก็เป็นการป้องกันทั้งสองฝ่ายไปในตัว?”

 

“นายหมายถึง เรื่องหลอกลวงที่ฝั่งนั้นบอกว่าปลดตำแหน่งซางจิ่วตี้ใช่มั้ย?” แววตาของหวังไคเปล่งประกาย “วิธีนี้ดีมาก เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายก็จะกลับลำได้ยากมาก นี่มันดีที่สุดแล้ว? ตำแหน่งทางทหารที่น้อยลงก็ถือว่าเป็นการสูญเสีย ความจริงแล้วการไม่มีตำแหน่งก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสักหน่อย?”

 

“ความเสียหายไม่ใช่ตำแหน่งที่ไม่มีทางถูกปลดของซางจิ่วตี้ แต่เป็นหยางเทียนและเจียงฮงหยูต่างหาก” แววตาของชูฮันดำสนิทราวกับน้ำหมึก “ถึงแม้อีกฝ่ายอาจจจะวุ่นวายไปพักหนึ่ง แต่มันก็ไม่ดีสำหรับเราที่จะเปิดเผยตัวตนของหยางเทียนและเจียงฮงหยู”

 

หวังไคถอนหายใจและพยักหน้าหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ใช่ ฉันไม่รู้ว่าเราจะกลับไปที่เมืองอันลูได้รึเปล่า มันอาจจะมีกลุ่มคนมารอบสองอีกก็ได้หลังจากกลุ่มแรกกลับไป มันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่ง แล้วทางแก้ไขปัญหาที่สองล่ะ?”

 

“ปัญหาที่สอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของชูฮันแข็งค้างพลางเผยให้เห็นถึงอาการถอนหายใจ “มันง่ายมากๆ…ฆ่า”

 

“อะไรน่ะ?” หวังไคเกือบจะร้องออกมา “ฆ่า? ฆ่าคนที่ทำให้เกิดปัญหา?”

 

“ใช่ ฆ่า ฆ่าไม่เหลือแม้แต่กระดูก” สีหน้าของชูฮันเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ “ตอนนี้เป็นยุคของการสื่อสาร ทุกอย่างสามารถผลักดันให้ทุกคนกลายเป็นซอมบี้และลูกผสม อะไรคือโอกาส? จะปล่อยให้มีชีวิตรอดแล้วยังไงต่อล่ะ? รอให้มันกลับไปรายงานแล้วก็กลับมาใหม่พร้อมพรรคพวกในอีก 2 เดือน? การร่วมมือเหรอ…ตลกสิ้นดี ฉันต้องการทำงานกับพวกคนใหญ่โตในซางจิง ไม่ใช่พวกโง่เง่าที่เอาแต่คิดหาวิธีเพิ่มอำนาจ”

 

“ที่นายพูดมา มันก็ดูสมเหตุสมผล” หวังไคตกใจกับความรุนแรงของชูฮัน และวิธีการคิดที่สุดโต่งของเขา

 

“ถ้าในกรณีนั้น ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรกับซางจิ่วตี้?”