ตอนที่ 276-1 สวรรคต การตอบแทนของม่อจิ่งฉี

ชายาเคียงหทัย

ด้วยเพราะคำพูดของม่อจิ่งฉี ทุกคนจึงต้องพากันออกไปจาตำหนักบรรทม ทิ้งช่วงเวลาสุดท้ายให้เขาได้อยู่กับตนเอง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตฮ่องเต้ที่ยุ่งวุ่นวายมาชั่วชีวิตแต่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอันใดสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน จะกำลังคิดสิ่งใดอยู่

ม่อซิวเหยาอุ้มม่อตัวน้อย อีกมือหนึ่งจูงเยี่ยหลีเดินไปข้างๆ องค์หญิงซีฝูกับฮว่ากั๋วกง ยามนี้ผู้อาวุโสที่แท้จริงของแคว้นนี้ก็เหลือเพียงสองท่านนี้แล้ว คนอื่นๆ เดินกันอยู่ที่ด้านหลัง ทิ้งระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

ยามนี้ไม่มีผู้ใดมีกระจิตกระใจจะออกจากวังกันแล้ว ราชโองการสุดท้ายของฮ่องเต้ยังอยู่ในมือของฮองเฮา ทั้งยังมีองค์หญิงซีฝู ฮว่ากั๋วกงและติ้งอ๋องคอยคุ้มครองอยู่ ย่อมไม่มีผู้ใดหาวิธีมาทำอันใดได้ แต่เช่นเดียวกันพวกเขาก็ดูมิได้มีท่าทีว่าจะสะบัดมือเดินจากไป

พวกเขานั่งลงในศาลารับลมในอุทยานหลวง ศาลารับลมไม่ได้กว้างขวางนัก คนที่นั่งอยู่ด้านในย่อมมีเพียงองค์หญิงซีฝู ฮว่ากั๋วกง รวมถึงม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีเท่านั้น

ฮว่ากั๋วกงยิ้มมองม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่ตักของม่อซิวเหยา ที่เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กแสบที่เฉลียวฉลาด “หลายปีนี้ดูเหมือนสีหน้าของติ้งอ๋องจะดีขึ้นกว่ายามอยู่ที่เมืองหลวงมากนัก”

ม่อซิวเหยายิ้มพลางพยักหน้า “ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี กั๋วกงผู้เฒ่ายังสดใสแข็งแรงเหมือนเดิม”

ฮว่ากั๋วกงส่ายหน้า ระบายลมหายใจเอ่ยว่า “ข้าแก่แล้ว…”

ภายในศาลารับลมเงียบไปเล็กน้อย ครู่ใหญ่ฮว่ากั๋วกังถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องต่อจากนี้ ติ้งอ๋องวางแผนอันใดไว้หรือไม่”

ม่อซิวเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วมองฮว่ากั๋วกง “กั๋วกงผู้เฒ่าจะไม่เกลี้ยกล่อมข้า?”

ฮว่ากั๋วกงส่ายหน้า เอ่ยด้วยความจนใจว่า “ในเมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดถึงจะต้องกลับไปเดินทางเดิมอีกเล่า กระจกที่แตกต่อให้กลับมาสมานได้อีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือรอยแตกร้าวอยู่เลย อีกอย่าง…ต้าฉู่พันธนาการตำหนักติ้งอ๋องไว้นานเกินไปแล้ว ยามนี้มังกรได้โบยบินขึ้นสู้ท้องฟ้าแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เกรงว่าคงมิใช่เรื่องที่ผู้ใดจะสามารถทำให้ย้อนกลับมาได้ ติ้งอ๋องว่าจริงหรือไม่”

ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มเรียบๆ ไม่ได้ตอบรับแต่ก็มิได้ปฏิเสธ

ถึงแม้ฮว่ากั๋วกงจะกรำศึกอยู่ในสนามรบมาตลอดชีวิต แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องเกมการเมือง

การที่ตำหนักติ้งอ๋องกลับคืนสู่ต้าฉู่อีกครั้ง แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ชาวบ้านหรือแม้กระทั่งขุนนางจำนวนมากของต้าฉู่อยากให้เป็น เพียงแต่สำหรับทหารของกองทัพตระกูลม่อกับขุนนางทั้งหลายใต้บังคับบัญชาของตำหนักติ้งอ๋อง คงถือเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจอย่างมาก ถึงแม้ม่อซิวเหยาที่มีฐานะเป็นประมุขของตำหนักติ้งอ๋อง ก็ไม่อาจตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้

ฮว่ากั๋วกงโบกมือเอ่ยว่า “ข้ามองไม่เห็นความรุ่งเรืองในอนาคตของตำหนักติ้งอ๋อง เพียงแต่ข้าเชื่อมั่นว่า ด้วยความสามารถของติ้งอ๋องทั้งยังมีพระชายาและทุกคนคอยช่วยเหลือ จะต้องไม่ทำลายความปราถนาของบรรพบุรุษทุกรุ่นของตระกูลม่อลงอย่างแน่นอน”

ความปรารถนาของบรรพบุรุษติ้งอ๋องทุกรุ่นคือเรื่องใด รวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ทำให้ทุกพื้นที่สงบ ทุกแว่นแคว้นต่างมาสวามิภักดิ์ ในประวัติศาสตร์ของตำหนักติ้งอ๋องที่ผ่านมา เคยปรากฏบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นจนน่าตกใจมาไม่น้อยกว่าหนึ่งคน แต่ด้วยเพราะเหตุผลสารพัดประการที่ทำให้ต้องสูญหายไปในสนามรบ และตายไปพร้อมกับความเสียใจ

“กั๋วกงผู้เฒ่า…” องค์หญิงซีฝูเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ ฮว่ากั๋วกงไม่มีทางมาเอ่ยโน้มน้าวม่อซิวเหยา เรื่องนี้นางรู้ดี แต่เมื่อได้ยินฮว่ากั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมกับอนาคตของกองทัพตระกูลม่อกับตำหนักติ้งอ๋อง ต้องรู้ก่อนว่า…ยามนี้หากมองจากสถานการณ์ในภาพรวมแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องมิได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบเลย

ฮว่ากั๋วกงยิ้มพลางส่ายหน้า “องค์หญิงซีฝู พวกเราล้วนแก่ชรากันหมดแล้ว เรื่องในอนาคตคงต้องให้คนหนุ่มสาวเขาเป็นคนจัดการแล้ว”

องค์หญิงซีฝูถึงกับนิ่งงันไป มองฮว่ากั๋วกงที่ผมขาวไปทั้งศีรษะ รอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า แล้วหันมองมือของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเช่นกัน ใช่สินะ…พวกตนแก่ชรากันแล้ว หากจะดิ้นรนต่อไป จะดิ้นรนต่อได้อีกสักกี่วัน เอาเถิด…

แล้วในที่สุดม่อจิ่งฉีก็ตายลง ไม่ว่าจะความเป็นลูก ความเป็นพี่ ความเป็นพ่อ หรือแม้กระทั่งความเป็นประมุขล้วนล้มเหลว ดังนั้นในช่วงลมหายใจสุดท้าย เขาจึงมิได้ขอให้มีลูกหลานมาห้อมล้อม ขุนนางมาเศร้าโศกเสียใจ เขาไล่ให้ทุกคนออกไป และอยู่กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตนเองในตำหนักบรรทมที่ว่างเปล่า

ทุกคนเมื่อได้รับการรายงานจากขันทีและกลับเข้าไปยังตำหนักบรรทมอีกครั้ง ก็เห็นว่าม่อจิ่งฉีหมดลมหายใจนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไปเสียแล้ว ผ้าห่มและเครื่องแต่งกายช่วงครึ่งตัวบนเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดสีแดงเข้มแทบจะทั้งหมด ดวงตาเขายังเบิกโพลงอยู่ เหม่อมองผ้ามุ้งลายมังกรเริงระบำอันหรูหราด้วยแววตาที่ไร้วิญญาณ

องค์หญิงซีฝูถอนใจเบาๆ ก้าวเข้าไปยื่นมือไปปิดตาเขา เอ่ยว่า “ไปเถิด ออกไปฟังราชโองการสุดท้ายที่ด้านนอกกัน”

ภายในพระราชวังหลวงมีเสียงฆ้องหนักๆ ดังขึ้น เป็นการบอกกล่าวให้ใต้หล้าได้รับรู้ว่า ฮ่องเต้ได้เสด็จสวรรคตแล้ว

“ด้วยโองการฟ้า ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า …แต่งตั้งองค์ชายสิบ ม่อซู่อวิ๋นขึ้นเป็นฮ่องเต้ ปลดรัชทายาทออกจากตำแหน่ง แต่งตั้งเป็นฉินอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยมารดาผู้ให้กำเนิดฉินอ๋อง ให้ร่วมฝังไปพร้อมข้า” น้ำเสียงของฮองเฮาดังขึ้นเรียบเรื่อยที่ด้านนอกตำหนักบรรทม ทุกคนต่างอยู่ในสีหน้านิ่งอึ้ง

สุดท้ายฮองเฮายังได้หันมองไปทางไทเฮาและขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจไทเฮาเกิดความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง ก่อนจะได้ยินเพียงเสียงฮองเฮาเอ่ยต่อเรียบๆ เป็นประโยคสุดท้ายว่า “ไทเฮา…ให้ร่วมฝังไปกับอดีตฮ่องเต้ จบราชโองการ”

“เป็นไปไม่ได้!” ไทเฮาสีหน้าเคร่งเครียด ลุกยืนขึ้นเอ่ยตะโกนเสียงเข้มว่า “เป็นเจ้า! เป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงราชโองการสุดท้ายของฮ่องเต้ใช่หรือไม่”

กับเนื้อความในราชโองการ ใช่ว่าฮองเฮาจะไม่รู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ เพียงแต่นางเคยชินกับการแสดงออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย จึงดูเหมือนสีหน้านางไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ราชโองการสุดท้าย ฝ่าบาททรงยื่นให้หม่อมฉันกับมือต่อหน้าทุกคน จากนั้นหม่อมฉันก็ไม่ได้คลาดไปจากสายตาของทุกคนเลย ขอไทเฮาได้โปรดสืบให้ละเอียดด้วยเพคะ”

ทุกคนต่างเงียบไป ใช่สิ มีคนและสายตาจำนวนมากจับจ้องอยู่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ฮองเฮาที่เป็นสตรีธรรมดาๆ ไม่มีวรยุทธเลย ต่อให้นางมีวิธีการอันใด นางจะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าาฮ่องเต้จะมอบราชโองการสุดท้ายให้กับนาง และยังได้เตรียมราชโองการอีกฉบับไว้ก่อนด้วย

“ไม่…เป็นไปไม่ได้! ฮ่องเต้ไม่มีทางทำเช่นนี้! น่าขันสิ้นดี…ในประวัติศาสตร์มา มีฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนย์แล้วให้มารดาแท้ๆ ร่วมฝังไปด้วยเมื่อใดกัน!” ไทเฮายังคงไม่ยอมเชื่อ

ตั้งแต่โบราณกาลมาไม่เคยมีธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน แต่ในราชโองการฉบับสุดท้ายบอกไว้ว่าให้ไทเฮาไปร่วมฝังอยู่กับอดีตฮ่องเต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลองคิดดูแล้วก็ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียม

อีกด้านหนึ่ง ตระกูลหลิ่วกับเสนาบดีหลิ่วก็ถึงกับทรุดลงกับพื้นเช่นกัน หลานของเขาไม่ได้ขึ้นไม่ฮ่องเต้ยังไม่เท่าไร แต่นี่บุตรสาวของเขายังต้องนำไปร่วมฝังด้วย เมื่อจู่ๆ เรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้อาวุโสที่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักมาตลอดชีวิตยังถึงกับรับไว้ไม่อยู่

ตัวเจ้าเรื่องอีกคนหนึ่ง ที่นับแต่วันนี้เป็นต้นไปจะได้เป็นประมุขปกครองใต้หล้าอย่างองค์ชายสิบ ม่อซู่อวิ๋น…ทุกคนต่างหันมองไปองค์ชายสิบที่คุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง

องค์ชายสิบปีนี้อายุเพิ่งได้เจ็ดปี มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเพียงนางกำนัลที่บังเอิญโชคดีได้พบกับม่อจิ่งฉีเท่านั้น เมื่อคลอดม่อซู่อวิ๋นออกมาแล้วก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอีก แค่เพียงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นกุ้ยเหรินเท่านั้น หลายปีมานี้ สองคนแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ในวังประหนึ่งดวงวิญญาณ จนทุกคนเกือบจะลืมเลือนพวกนางไปเสียแล้ว แต่ในยามนี้…เด็กน้อยคนที่ยังอยู่ในสีหน้านิ่งอึ้ง กลับได้รับสิ่งที่คนเฝ้าถวิลหาแต่กลับพลาดไปเพียงปลายมือ

ม่อซิวเหยามององค์ชายสิบที่สีหน้าดูอ่อนแอ มุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อราชโองการสุดท้ายได้อ่านจนจบแล้ว เรื่องที่เหลือต่อจากนี้ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าแล้ว ข้าขอตัวก่อนล่ะ”

เป็นอีกครั้ง ที่ติ้งอ๋องได้แสดงออกต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจนว่า เขาไม่คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักของต้าฉู่อีก

ม่อจิ่งหลีที่อยู่ในสีหน้าบึ้งตึงลอบเบาใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องค่อยๆ ไป”

ม่อซิวเหยามองเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งทีหนึ่ง อุ้มม่อตัวน้อยพร้อมจูงเยี่ยหลีเดินออกจากวังไป ส่วนเรื่องในวังจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาอีกแล้ว

เมื่อออกจากวังหลวง ในเมืองหลวงพากันแขวนผ้าขาวเต็มสองข้างถนน โคมไฟสีแดงเขียวที่เคยแขวนประดับประดาอยู่บนวังหลวงอันหรูหราในวันวาน ยามนี้มีผ้าสีดำและสีขาวคลุมไว้ให้ดูเคร่งขรึม

ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ทั่วแคว้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ถึงแม้ฮ่องเต้พระองค์นี้จะไม่ได้ใจประชาชนสักเท่าไร แต่ประชาชนก็ยังคงสวมชุดที่แสดงถึงความกตัญญู งดงานรื่นเริงมหรสพ งดงานแต่งงานเพื่อเป็นการแสดงถึงความโศกเศร้าที่มีต่อฮ่องเต้

แน่นอนว่าตำหนักติ้งอ๋องมิได้เคร่งครัดกับขนมธรรมเนียมถึงเพียงนั้น แค่เพียงปลดสีแดงสีม่วงสดที่มองเห็นชัดลงมาเท่านั้น นอกนั้นทุกคนในตำหนักยังคงใช้ชีวิตกันดังเดิม ยามนี้ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในเมืองหลวงแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นประชาชนของต้าฉู่ แต่เพียงถือเป็นแขกเช่นเดียวกับซีหลิง เป่ยหรง และหนานจ้าวเท่านั้น กับผู้ที่เป็นแขก ย่อมไม่จำเป็นต้องถือขนบธรรมเนียมให้เคร่งครัดนัก

เมื่อกลับมานั่งภายในเรือนแล้ว ม่อซิวเหยากลับดูเหม่อลอยอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น

เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างกายเขา เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ซิวเหยาเป็นอันใดไปหรือ เหนื่อยหรือ”

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ดึงนางเข้ามากอดแนบอกค้างไว้อย่างนั้น สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า…ม่อจิ่งฉีดูจะตายง่ายไปสักหน่อยหรือไม่…”