Sign in Buddha’s palm 15 อารามวัชระ

 

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ได้ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ]

 

“โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพอใจอย่างมาก

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถชนิดพิเศษ ถึงมันจะไม่สามารถเสริมแกร่งร่างกายได้เหมือนโอสถชำระไขกระดูก ทั้งยังไม่สามารถเติมกำลังภายในได้เหมือนโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มีผลเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ

 

หล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘!

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ คืออะไร?

 

ในมุมมองของซูฉิน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นคำเรียกรวมๆ ของพลังจิตวิญญาณทั้งหลายภายในตัวบุคคล อาทิ กลิ่นอายส่วนตัว พลังฉี และวิญญาณ

 

ในคำสอนลัทธิเต๋า มันคือจิตวิญญาณดั้งเดิม เป็นจุดแรกเริ่มแห่งวิญญาณ

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธนั้น พื้นฐานเป็นการเข้าปะทะกันด้วยเลือดเนื้อและกำลังภายใน ส่วน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ …

 

ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ยังอ่อนแอ

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปอีกขั้น บรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ ผู้นั้นย่อมต้องฝึกฝนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนเชื่อมต่อเข้ากับพลังฟ้าดิน และต้องถูกชำระล้างด้วยปราณโลกอยู่ตลอดเพื่อจะดึงพลังของฟ้าดินมาใช้ได้มากขึ้น

 

แล้วในระดับของตำนานยุทธนั้น คือผู้ที่ควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ กวาดล้างทุกสิ่งอย่างได้เพียงแค่เคลื่อนไหว

 

การดึงพลังของฟ้าดินมาใช้กับการที่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้จริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

อย่างหลังแข็งแกร่งกว่าอย่างแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

 

แล้วอะไรกันเล่าที่เหล่าจอมยุทธจะใช้เพื่อควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน?

 

รู้หรือไม่ว่าต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ร่างของผู้ฝึกยุทธก็เพียงแค่ฝุ่นผงที่ไร้ค่าให้กล่าวถึง

 

ฉะนั้นหากใครต้องการจะควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอ

 

ระดับอรหันต์ก็เหมือนกับระดับตำนานยุทธ เป็นแค่เพียงเรื่องของคำเรียกขาน

 

‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมา ก็คือสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงบำรุง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

ในทุกๆ วันนี้ สิ่งที่ข้องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นหายากมากๆ แล้วถ้ามันมีสักอันหนึ่งก็เพียงพอที่จะเป็นฉนวนเหตุให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสองคนต่อสู้กันได้เลย

 

ไม่ต้องพูดถึง ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ได้โดยตรง

 

“คอยก่อนก็แล้วกัน”

 

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว มันหยุดกลางคันไม่ได้ แล้วถ้าถูกรบกวนผลของตัวยาคงจะลดประสิทธิภาพลงไปมากโข”

 

ซูฉินคิดเงียบงัน

 

อดทนมาได้เป็นสิบปี กับอีกแค่สักวันสองวันทำไมจะรอไม่ได้กันเล่า?

 

ซูฉินเป็นชายที่มีความอดทนสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่อยู่ที่วัดต่อไปหลังจากกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมุ่งมั่นที่จะแกร่งจนไร้พ่ายในใต้หล้า

 

 

ตกดึก

 

ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด

 

ซูฉินลอบออกมาจากลานจิปาถะแล้วมายังห้องลับที่สร้างอย่างธรรมดาๆ

 

ห้องลับนี้อยู่ใต้ดิน สร้างโดยซูฉินตลอดสิบปีที่ผ่านมา

 

ซู่มมม!

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาหายใจออกเบาสบาย กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นซูฉินพลันรู้สึกราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน มันอบอุ่นแต่ก็อึดอัด

 

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

เฟี้ยว!

 

มีแสงราวกับฟ้าผ่าส่องออกมาจากห้องลับ

 

นี่ไม่ใช่สายฟ้าจริงๆ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งพอ

 

“หนึ่งเม็ดของ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทำให้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทะยานขึ้นไปอีกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

 

ซูฉินรู้ได้ถึงพลังนั้นและพยักหน้ารับรู้

 

หากไม่มี ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ กว่าซูฉินจะบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ มาถึงจุดนี้ได้ ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปี

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยร่นเวลาในการฝึกฝนไปถึงห้าปี

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ห่างไกลจากวัดเส้าหลินหลายพันลี้ มีอารามวัชระที่สง่างามและน่าเกรงขามแห่งหนึ่งตั้งอยู่

 

อารามวัชระก็เป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคเช่นกัน

 

แต่หากเทียบกับวัดเส้าหลินที่เสื่อมโทรมลง อารามวัชระในยุคนี้กำลังรุ่งเรืองยิ่ง

 

เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันของอารามวัชระเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วภพ

 

ในเวลานั้นเอง

 

ด้านล่างแท่นประดิษฐานขององค์ยูไลในอารามวัชระ

 

เจ้าอาวาสกำลังมองไปที่ใบหน้าของพระหนุ่มอย่างเคร่งขรึมและพูดด้วยความพอใจว่า “ป๋าถัว เจ้าได้ร่ำเรียนคัมภีร์หมดทั้งวัด ตอนนี้ที่อารามวัชระไม่มีอะไรเหลือจะสั่งสอนเจ้าแล้ว”

 

“ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะได้ลงจากเขา”

 

“มุ่งไปยังทิศเหนือ ไปยังวัดเส้าหลิน เป็นพุทธสถานอันดับหนึ่งในสำนักยุทธสายพุทธที่มีทั้งหมดสี่แห่งทั่วทั้งใต้หล้านี้ มันมีมรดกตกทอดที่ชื่อว่า [ฝ่ามือยูไล] อยู่ ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะตกต่ำลงไปมาก และ [ฝ่ามือยูไล] ก็ได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีมรดกอื่นๆ ที่มีค่าหลงเหลืออยู่ ถ้าเจ้าได้ไปยังวัดเส้าหลิน เจ้าจะได้เรียนรู้บางอย่างมาแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสมองไปที่ป๋าถัว กล่าวคำเนิบช้า

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสแห่งอารามวัชระจะเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระหนุ่มที่ชื่อว่า ‘ป๋าถัว‘ เขาปฏิบัติตัวราวกับอีกฝ่ายนั้นเท่าเทียม

 

นั่นเป็นเพราะพระหนุ่มนาม ‘ป๋าถัว‘ นั้นพิเศษมาก

 

ป๋าถัวเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ นอกอารามวัชระ ตอนที่เขาเกิด ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงเพลงของชาวพุทธคลอไปทั่ว

 

เมื่อ ‘ป๋าถัว‘ อายุได้สามขวบ ก็มักจะไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปเก่าๆ ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นั่งอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวัน

 

ตอนที่เจ้าอาวาสของอารามวัชระได้พบ ‘ป๋าถัว‘ ก็ยามเมื่อเขาอายุได้สิบสองขวบปีแล้ว

 

ตั้งแต่แรกพบ เจ้าอาวาสก็ค้นพบว่าป๋าถัวมีความเข้าใจในศาสตร์พุทธเป็นพิเศษ จึงชักชวนให้เข้าร่วมและนมัสการอารามวัชระ

 

เมื่อป๋าถัวได้เข้าอารามวัชระมาเมื่อแปดปีก่อน เขาอ่านคัมภีร์ในวัดจนหมด และมักจะมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถ้อยกระบวนท่ากับพระรูปอื่นบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะชนะ และมีแพ้บ้างเป็นบางครั้ง

 

แม้แต่ตัวเจ้าอาวาสก็ได้แพ้ให้กับป๋าถัวมาแล้ว

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

เจ้าอาวาสท่านนี้เป็นใครกัน? ท่านเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

เป็นถึงระดับนี้ยังพ่ายแพ้ป๋าถัวที่อายุยี่สิบปี

 

ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป แน่นอนต้องมีบางคนตกอกตกใจ

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น

 

ป๋าถัวยังมีความเข้าใจลึกซึ้งในวิชาการฝึกตนสายพุทธ หลังจากที่เข้านมัสการอารามวัชระมาได้แปดปี เขาก็อยู่ในสามระดับบนเรียบร้อยแล้ว

 

เจ้าอาวาสเกือบจะคิดไปแล้วว่าป๋าถัวเป็นพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด

 

เพราะสิ่งนี้ เจ้าอาวาสจึงวางตำแหน่งของป๋าถัวในอารามวัชระไว้ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสคนต่อไป

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

ป๋าถัวเงยหน้าขึ้น มองเจ้าอาวาสด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย

 

“ไม่เลว”

 

“ที่วัดเส้าหลินสินะ”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระพยักหน้า “วัดเส้าหลินน่ะสืบทอดมรดกมากกว่าพันปีแล้ว ทั้งยังมีคนไปถึงระดับอรหันต์แล้วมากมายในสมัยก่อน”

 

“เจ้าจงไปที่วัดเส้าหลินเพื่อสนทนาธรรมกับเหล่าพระรุ่นใหม่ของที่นั่นในนามของอารามวัชระ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอาวาส

 

วัดพุทธทั้งสี่แห่งในโลกจะมีการปฏิสัมพันธ์กันในทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี ด้วยเรื่องความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ

 

เหตุผลว่าทำไมวัดเส้าหลินถึงเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมดสี่สำนักก็เพราะความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธในสมัยก่อน วัดเส้าหลินจึงได้เปรียบ

 

แต่ในเวลานี้เจ้าอาวาสอารามวัชระตั้งตาคอย ในเรื่อง ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ ผู้ใดในหมู่ศิษย์ของวัดเส้าหลินกันที่จะมาเทียบเท่ากับป๋าถัวได้

 

“ขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

ป๋าถัวลดหัวลงเล็กน้อยก่อนจะตอบคำ

 

“จำไว้ให้ดี ถึงแม้จะมีเส้นทางที่แตกต่างกันของชาวพุทธในโลกนี้ ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ มันเป็นอีกเรื่อง ‘ความเข้ากันได้ของพลังสายพุทธ‘ ก็แค่การแข่งขันอย่างเป็นมิตรตามอุดมคติของสำนักพุทธทั้งสี่ มีแต่คำว่าชนะกันและจะไม่นับว่าใครพ่ายแพ้”

 

เจ้าอาวาสกล่าวเตือน

 

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเจ้าอาวาส” ป๋าถัวเดินกลับไป เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

 

หลังจากป๋าถัวออกไป เจ้าอาวาสยืนอยู่ที่ฐานพระพุทธรูปสีทองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

เพราะเขารู้ดีว่าระหว่างวัดเส้าหลินกับอารามวัชระ ‘การถกปัญหาธรรม‘ กันในครั้งนี้ วัดเส้าหลินย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย