บทที่ 502 การต่อสู้อันยิ่งใหญ่
บทที่ 502 การต่อสู้อันยิ่งใหญ่
เวลาค่ำคืนมาถึงในไม่ช้า อวี้ฮ่าวหรานรอรับสายโทรศัพท์อยู่หลายชั่วโมง
“พวกเขา…คงไม่โทรมาแล้วล่ะ…”
หวังเหยียนที่อยู่ข้างกายเขากล่าวอย่างหวาดระแวง
วิธีการนี้พิลึกพิลั่นเกินไป
“ถ้าพวกเขาไม่มา พวกเราก็จะไปหาเอง!”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ประตูซื่อจงซ่อนเร้นนั้นไม่อาจหาพบได้ง่าย ๆ แต่กลุ่มคนธรรมดานั้นหาพบได้ง่ายเหลือเกิน
“ผับ บาร์ บ่อนใต้ดิน มีที่ให้ไปตามหาพวกเขาเสมอ”
“ก็จริง”
หวังเหยียนพยักหน้า ตัวเขาเองก็เป็นรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาและรู้จักพวกมันเป็นอย่างดี
“ไปบาร์กันเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวลุกขึ้นยืน หลังจากที่ผ่านมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่โทรมาแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น!
มาแล้ว!
ทั้งสองตาลุกวาวทันที
“ฮึ่ม ไม่คิดเลยว่าจะโทรติดจริง ๆ ”
เมื่อสายถูกเชื่อมต่อ น้ำเสียงทุ้มคมเข้มและแหบแห้งก็ดังมาจากอีกฝั่ง
“ถ้าแกกล้าก็มาที่บาร์แดงดั้งเดิมสักพักสิ แก๊งต้าจินของเราจะรอแกอยู่!”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะรีบไป!”
อวี้ฮ่าวหรานตอบตกลงทันที อีกฝ่ายวางสายไปด้วยความพึงพอใจ
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น…
ทันทีที่ลงจากรถ หวังเหยียนก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไปทันที
“บาร์นี้ปิดแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจ
“ฮะ ๆ ถ้ามันปิดก็แปลว่าการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กำลังรอคอยพวกเราอยู่ยังไงล่ะ”
หลังจากที่หัวเราะลั่น เขาก็ตรงเข้าไปเปิดประตู ก่อนจะเจอกับคนมากมายที่หันมามองราวกับพวกเขาเป็นผี
ขณะที่ทั้งสองเดินเข้าไป ประตูก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม! กล้าหาญจริง ๆ จะตายกันอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“จิ๊ ๆ ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้ากันแน่”
“…”
ขณะที่ทั้งสองมุ่งหน้าเข้าไป คนอื่น ๆ ต่างก็ก่นด่ากันอย่างเกรี้ยวกราด
ในไม่ช้าหลังจากที่ผ่านทางเดินมืดมิด ทางด้านหน้าก็ขยายใหญ่ขึ้น
ดูเหมือนว่าห้องรับรองของบาร์จะถูกเปลี่ยนเป็นลานประลองส่วนตัว
ตอนนี้มีคนสองคนอยู่บนลานประลองโดยมีเลือดอยู่บนใบหน้าและมือทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนกล้าหยุด
“ฮ่า ๆ คนทรยศสองคนนี้ยังมีแรงเหลืออีก”
ด้านนอกเวทีมีชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบปีนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง
มุมปากของเขามีซิการ์อยู่ และบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้มีตำแหน่งสูงศักดิ์
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ชายคนหนึ่งก็รีบเอ่ยขึ้นทันที
“เอาล่ะ ถ้าแกอยากตายละก็ได้ตายจริง ๆ แน่ พยายามหน่อยไม่ได้รึไง? สมควรแล้วละที่จะโดนแบบนี้”
รอบลานประลองมีพี่น้องในแก๊งมากมายห้อมล้อมอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มองดูคร่าว ๆ แล้วมีคนอยู่ที่นี่อย่างน้อยหลายร้อยคนเลยทีเดียว!
อวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่ที่ทางเข้าและเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามลานประลอง
“หัวหน้า เราพาพวกมันมาแล้ว!”
ตามหลังพวกเขามาคือหนึ่งในพี่น้องชาวแก๊งที่ตรงเข้ามารายงาน
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือคอยคุ้มกันทางเข้าระแวดระวังราวกับกลัวว่าพวกเขาจะหลบหนีไป
เมื่อพูดจบ ทุกคนในโถงก็หันไปมองทั้งสองที่ทางเข้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฮะ ๆ แกใช่ไหมที่ทำร้ายคนในแก๊งต้าจินของฉันมากกว่ายี่สิบคน?”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บีบซิการ์จนหักครึ่งอย่างง่ายดาย สายตาของเขาโหดเหี้ยมยิ่งนัก
“พาพวกมันมา”
ด้วยคำสั่งเพียงครั้งเดียว ชายร่างกำยำมากกว่าสิบคนก็ตรงเข้าหาทั้งสองทันที
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานบอกหวังเหยียนอย่างใจเย็นอยู่ข้างหลัง
การต่อสู้แบบนี้ดูน่ากลัวไปหน่อย
ทั้งสองเดินเข้าสู่แสงสปอตไลต์ไปหาผู้เป็นหัวหน้าโดยมีผู้คนมากมายจ้องมองมา
ตอนนั้นเองที่พี่ใหญ่หลงเดินออกมาจากด้านข้าง
เขามีผ้าพันแผลอยู่บนมือและแก้มทั้งสองข้าง
เขาดูภาคภูมิใจขั้นสุด
“ฮ่า ๆ มาอวดดีให้เห็นอีกแล้วเหรอ? คิดว่าแก๊งต้าจินจะยอมให้แกหยามเหรอ? หัวหน้าของพวกเราเป็นระดับต้น ๆ เชียวนะ! ถ้าคิดจะฆ่าแกก็ง่ายนิดเดียว!”
เขาหัวเราะด้วยความสะใจและน้ำเสียงโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
แต่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครปริปากพูดแม้แต่คนเดียว
“ฉันบอกเลย แกจบสิ้นแล้ว! หลังจากที่แกตาย! ฉันจะตามหาผู้หญิงคนนั้นและให้เธอได้สนุกกับท่านอาจารย์ แล้วก็…”
ยิ่งพี่ใหญ่หลงพูดก็ยิ่งดูภาคภูมิใจในตัวเอง
แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหัวหน้าบนเก้าอี้ค่อย ๆ เยือกเย็นขึ้นขณะที่เขาพูด
‘ปัง!’
เสียงปืนดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง!
พี่ใหญ่หลงที่กำลังพูดจ้อถูกยิงเข้าที่หัว!
“ฮึ หนวกหู”
หัวหน้าในเก้าอี้ประจำตำแหน่งพ่นลมหายใจด้วยความรำคาญ และเป่าควันที่ออกมาจากปากกระบอกปืน
เขาคือผู้ลงมือยิงนั่นเอง
“ขอโทษด้วย ไอ้นี่มันไม่ค่อยเข้าใจกฎน่ะ น่าอายชะมัด”
หัวหน้าแก๊งวางปืนลงบนโต๊ะข้าง ๆ และหันไปมองชายทั้งสอง
“ชื่อของผมคือจินต้าหนิง และผมไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ คนส่วนมากเรียกผมว่าหัวหน้าจิน อีกอย่าง…ผมเป็นคนไม่ชอบคนเสียงดัง”
อีกฝ่ายแนะนำตัวเองอย่างผ่อนคลาย เสียงของเขาแหบห้าวมาก และเป็นคนที่คุยด้วยทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นและมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ผมก็ไม่ค่อยชอบมันเหมือนกัน”
“ฮ่า ๆ ดี! กล้าดีนี่!”
หัวหน้าจินระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
แต่ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นในทันใด
“ผมคิดว่าคุณเป็นคนดีนะ แต่ยังไงซะคุณก็ทำร้ายคนของผมไปมากกว่ายี่สิบคน พูดง่าย ๆ ก็คือพวกคุณทั้งคู่ต้องชดใช้”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปมองทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่ด้วยอำนาจของผมแล้ว ผมสามารถให้โอกาสคุณได้”
คำพูดของหัวหน้าจินทำให้ผู้คนประหลาดใจเล็กน้อย เขากล่าวขณะที่เบนสายตาไปยังผู้ทรยศทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนลานประลอง
“สองคนนั้นคือคนที่ทรยศผม และตอนนี้มีคนรอดได้แค่คนเดียวเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าทั้งสองคนต่อสู้กันคงจะเยี่ยมไปเลย”
ตอนนั้นเอง เขาหันกลับไปมองและชี้นิ้วไปยังอวี้ฮ่าวหรานกับหวังเหยียน
“งั้นพวกคุณก็จะรอดชีวิตไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น! คนที่รอดจะได้กลายเป็นคนในแก๊งของผม”
คำพูดเหล่านั้นสุภาพมาก แต่ความหมายนั้นน่ากลัวทีเดียว
แต่หวังเหยียนก็กล่าวปฏิเสธ วิธีการจัดการศัตรูของโจวเฟยหู่คงไม่แย่กว่านี้สักเท่าไหร่
อวี้ฮ่าวหรานประชดประชันหนักยิ่งกว่า
“คิดว่าทุกคนต้องเชื่อฟังแกหรือไง? แล้วถ้าฉันไม่ฟังล่ะ?”
“ฮ่า ๆ ไม่ฟังงั้นเหรอ?”
หัวหน้าจินหัวเราะร่วน น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันที
“ง่ายนิดเดียว แกก็ยังต้องขึ้นไปบนลานประลอง และฉันจะส่งคนไปฆ่าแกอยู่ดี”
เมื่อพูดจบ สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังลานประลองอีกครั้งและส่งเสียงไปยังผู้คนบนลานประลอง
“ฉันให้เวลาพวกแกสิบวินาที จะอยู่หรือตายก็เลือกเอา ไม่งั้นก็ตายกันทั้งคู่!”
“สิบ!”
“เก้า!”
“…”
“สอง!”
ตอนที่เหลือเวลาเพียงหนึ่งวินาทีนั่นเอง คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเวทีก็สติขาดผึง และกัดคอของอีกฝ่ายทั้งเป็น!
“ฉันชนะ! ฉัน…”
หลังจากที่คว้าชัยชนะมาได้ ชายร่างอาบเลือดก็หมดสติไปทันที
“ฮ่า ๆ ดูสิ หมาไม่ซื่อสัตย์พวกนี้รู้จักเอาชีวิตรอดด้วย แล้วทำไมคุณไม่เข้าใจล่ะ?”
หัวหน้าจินหันไปมองทั้งสองอย่างแดกดัน
“แย่หน่อยนะที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ผมให้โอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ขึ้นมาบนเวทีสิ ใครจะตายก่อนดี?”
หลังจากพูดจบ ผู้คุ้มกันข้างกายพวกเขาก็แอบใช้กำลังภายใน ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังต่อต้านแม้แต่น้อย พวกเขาจะต้องตายคาที่ทันที!