ตอนที่ 456 สืบสวน!
เย่เฉินรู้จักคนตระกูลซูอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาสามารถแยกแยะได้ทันทีว่าใครเป็นใครจากเสียงฝีเท้าหนักเบาและจังหวะฝีเท้า
“บ้าฉิบ จางเชี่ยนจือจะต้องลืมของอะไรแน่!”
เย่เฉินรู้ดีแก่ใจว่าจางเชี่ยนจือคนนี้ก็มีนิสัยแบบนี้ มักจะหลงลืมของบ่อยๆ ปกติเวลาออกบ้านก็เหมือนกัน เพิ่งออกบ้านก็ต้องกลับมา มีบางครั้งที่ต้องไปๆ กลับๆ หลายครั้ง
ช่วยไม่ได้เย่เฉินทำได้เพียงซ่อนยาเอาไว้ก่อน แต่ไม่ทันเย่เฉินเลยต้องจำใจซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง
ไม่นานนักจางเชี่ยนจือก็เดินเข้ามาในห้อง แต่ไม่ได้มองใต้เตียง แล้วมาหยุดที่ด้านหน้าเตียงแทนแล้วหยิบหวีออกมาจากกระเป๋า
เย่เฉินแทบจะอยู่ติดกับจางเชี่ยนจืออย่างมากไม่ถึง 20 ซม. ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเย่เฉินโดนเตียงบังเอาไว้ ดังนั้นจางเชี่ยนจือจึงไม่เห็นเขาเท่านั้นเอง
แต่ว่าเย่เฉินกลับเห็นช่วงขาและเท้าของจางเชี่ยนจือผ่านใต้เตียง
จางเชี่ยนจือเตี้ยกว่าซูมู่ชิงเล็กน้อย หญิงวัยกลางคนสูงประมาณ 165 ซม. สูงประมาณ 55 กก. ช่วงนี้เริ่มฝึกฝนโยคะ ยังคงรักษาเรือนร่างเอาไว้เป็นอย่างดี
เย่เฉินเห็นเท้าของจางเชี่ยนจือก็พบว่าเท้าของหญิงวัยกลางคนนี้ขาวนวลเขียนแต่กลับไม่บวมอ้วน อีกทั้งยังทาสีเล็บสีชมพูเอาไว้ด้วย!
เย่เฉินอดเย้ยหยันในใจไม่ได้ “เหอะ จางเชี่ยนจือคนนี้ทาเล็บสีชมพูเสียหวานแหววเลย สีชมพูเป็นสีของเด็กผู้หญิงไม่ใช่หรือไง? คิดไม่ถึงว่าหล่อนจะชอบของแบ๊วๆ แบบนี้!”
กระทั่งซูมู่ชิงยังทาเล็บสีแดงไวน์เลย!
แต่พอคิดละเอียดๆ ตนเองที่เป็นลูกเขยไม่น่าจ้องเท้าของแม่ยาย
“อย่าเสียมารยาทเลยดีกว่า”
เย่เฉินเองก็คร้านจะมอง จนหล่อนลุกขึ้นและออกจากห้องไปอีกครั้ง
เมื่อแน่ใจว่าแม่ยายเดินไปแล้วเย่เฉินก็ปีนออกมาจากใต้เตียง
เย่เฉินค่อยๆ หยิบยาออกมาจากกล่อง แล้วหยิบเม็ดยาสีแดงที่เขียนว่า A1 ออกมาจากนั้นก็เปิดกาน้ำชาของแม่ยายออกมาแล้วในตอนที่กำลังจะหย่อนยาลงไป ใครจะรู้..
“สวบ…สวบ…สวบ…”
เป็นเสียงฝีเท้าที่คุ้นหูนี้อีกแล้ว!
“บ้าฉิบ! จางเชี่ยนจือเดินกลับมาอีกแล้ว! แม่ยายของเรานี่จะต้องลืมของอะไรแน่ โอ้ย จะเป็นบ้า! เอาของไปให้หมดๆ ครั้งเดียวไม่ได้หรือไง!”
เย่เฉินรีบร้อนวางยากลับไปในกล่องยา แล้วจัดแจงเก็บกล่องยา แล้วปิดฝากาน้ำชาอีกครั้ง
เมื่อจัดการอะไรๆ เสร็จแล้ว เย่เฉินก็มุดกลับเข้าไปใต้เตียงอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ร้อนรนกว่าเดิม…
โครม
เย่เฉินหัวโขก!
“เฮ้อ…จะต้องเป็นเพราะสัปดาห์นี้แกล้งเป็นคนตนบอดจนชิน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพอมุดเตียงแล้วจะหัวโขก…”
เย่เฉินเอามือกุมศีรษะรู้สึกอับอายอย่างมาก ถ้าเพื่อนของเขาหรือไม่ก็พวกอาจารย์ที่เคยฝึกฝนเขาเข้ามาเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า จะต้องหัวเราะกันจนปวดท้องแน่นอน
จางเชี่ยนจือกลับมาอีกครั้งเหมือนจะมาหาของอะไรบางอย่าง แต่หาของอยู่นานก็หาไม่เจอ จากนั้นจึงพึมพำกับตนเอง
“เอ๊ะ มือถือล่ะ? อ่อ เอาเข้าห้องน้ำไปแล้วนี่นา”
เย่เฉิน“…”
เย่เฉินหัวเสียอย่างมาก หญิงชราที่ยังไม่แก่มากยังเลอะเลือนจนเป็นแบบนี้ ยังจะมาหาเรื่องฉันทุกวันอีก!
จางเชี่ยนจือออกจากห้องไปอีกครั้ง เย่เฉินไม่กล้าอ้อยอิ่งอีก เขารีบเทยาแล้วเดินจากไป!
40 นาทีต่อมา จางเชี่ยนจือก็อาบน้ำเสร็จแล้วเวลาหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป
“เวลาผ่านไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว ยาน่าจะออกฤทธิ์แล้ว!”
เย่เฉินมองเวลาก็รู้สึกว่าตอนนี้จางเชี่ยนจือน่าจะโดนยาเต็มที่แล้ว ก็แอบออกจากห้องแล้วเดินมาที่ห้องของแม่ยาย
ตอนนี้ไฟห้องจางเชี่ยนจือปิดสนิท แต่ในห้องยังมีเสียงของจางเชี่ยนจือดังลอยออกมา
“เหอะๆ เริ่มพูดจาเลอะเลือนแล้วใช่ไหม? ดีมาก”
เย่เฉินสาวเท้าเดินไปก็พบว่าแม่ยายตนเองเริ่มไม่มีสติแล้วจริงๆ นอนกลิ้งไปมาบนเตียงแล้วพูดกับตนเองไม่หยุด
นี่คือเวลาอันดีในการสอบสวนอีกฝ่าย เย่เฉินรีบร้อนเดินไป แล้วคว้ามือของจางเชี่ยนจือเพื่อไม่ให้หล่อนกลิ้งไปมาแล้วถาม
“ผมถามหน่อยว่าคุณได้ส่งคน…”
ยังไม่ทันพูดจบแม่ยายก็โผหาเขา แล้วจุมพิตเขา!
เย่เฉินนิ่งไปนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
เย่เฉินรู้สีกว่าสภาพแม่ยายของตนเองผิดปกติ เขารีบร้อนรื้อกล่องยาของตนเอง ก็พบว่าเม็ดยาสีแดงที่เขียนว่า A1 ยังอยู่ดี แต่ยา A2 กลับหายไปหนึ่งเม็ด!
“ซวยแล้ว เมื่อกี้รีบเลยหย่อนยาผิด!”
ที่จริงยาสีแดงมีสองเม็ด หนึ่งคือ A1 ส่วนอีกเม็ดคือ A2 ส่วน A1 ก็คือยาที่ทำให้คนกินสสติเลอะเลือน เหมาะจะใช้สอบถามเรื่องราว
ส่วน A2 ก็ออกฤทธิ์แบบเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันจะทำให้อารมณ์และสติปัญญาสับสน
พูดตรงๆ ก็เหมือนยาปลุกอารมณ์
เย่เฉินรีบร้อนผลักจางเชี่ยนจือออกไป นี่หากว่าซูมู่ชิงกินเข้าไปคงจะสนุกพิลึก!
แต่ถ้าซูมู่หลินเห็นเข้า หมอนั่นคงกระโดดลุกขึ้นจากรถเข็นมาสู้ตายกับเขา!
เย่เฉินกล่าวอย่างประดักประเดิดแล้วรีบร้อนถาม “จางเชี่ยนจือ เย่เฉินตาบอดเพราะคุณใช่ไหม?”
จางเชี่ยนจือเริ่มตอบคำถามอย่างเลือนลาง “เย่เฉิน ไอ้คนดวงกุด เขาไม่ใช่เขยฉัน เขาไม่คู่ควรเป็นเขยฉัน”
เย่เฉินร้อนรนฟาดฝ่ามือใส่บนหน้านวลเนียนของจางเชี่ยนจือแต่เขาไม่ได้ลงแรงมากนัก
เขาไม่ชอบขี้หน้าแม่ยายคนนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจางเชี่ยนจือก็ฝากฝ่ามือไว้บนหน้าเขา เรื่องหวังเจียเหยาเมื่อคราวก่อน หล่อนรู้ดีแก่ใจว่าเขาไม่มีทางทำอะไรกับหวังเจียเหยาแต่ยังตบหน้าเย่เฉินอีก!
ต่อให้ตอนนี้หล่อนสติเลอะเลือน แต่ยังด่าเย่เฉินว่าดวงกุด ดูแล้วแม่ยายของเขาคนนี้คงเกลียดเขามาจริงๆ!
ในเมื่อเกลียดเขาขนาดนี้ ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน!
เย่เฉินกล่าว “บอกมา คุณส่งคนไปวางยาเขาที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเมืองเสินเฉิงหรือเปล่า?”
จางเชี่ยนจือกล่าวอย่างเลื่อนลอย “วางยาเมืองเสินเฉิง…เปล่านี่ ฉันไม่ได้วางยาอะไร เย่เซวียนเป็นคนทำ พี่ชายคนรองที่ไร้ประโยชน์ของเย่เฉินนั่นไง”
“อะไรนะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เย่เฉินก็ใจหายวาบ คิดไม่ถึงว่าจางเชี่ยนจือจะสงสัยว่าเป็นฝีมือเย่เซวียนงั้นเหรอ?
“ดูแล้วไม่น่าจะใช่ฝีมือหล่อน”
ตอนนี้เย่เฉินแน่ใจแล้วว่าคำพูดของหล่อนเมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะอารมณ์เท่านั้นเอง
เมื่อได้คำตอบแล้ว เย่เฉินก็จากไป
เดิมเขาเอายาแก้พิษให้อีกฝ่ายเพื่อให้หล่อนหายจากอาการที่เป็นอยู่ แต่เย่เฉินไม่ให้
เย่เฉินไม่ชอบปั้นหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบตนเอง งั้นก็ให้หล่อนได้ขายหน้าที่บ้านซูเจิ้นหาง
เช้าวันต่อมาคนตระกูลซูก็ตื่นเช้ามากินข้าวเช้ากันที่โต๊ะอาหาร
เย่เฉินแกล้งทำเป็นไม่เห็น เขากินซุปที่ภรรยาป้อนแล้วถาม“ท่านซู เมื่อคืนวานคุณได้ยินเสียงอะไรไหมครับ?”
ซูเจิ้นหางหันมองจางเชี่ยนจืออย่างไม่รู้ตัวแล้วสีหน้าเก้อเขิน “เหมือน…จะมีนะ”
ซูมู่ชิงเองก็กล่าว“เหมือนจะได้ยินลางๆ เหมือนกัน เสียงเหมือนมาจากห้องคุณแม่เลย แม่คะเมื่อคืนแม่ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
จางเชี่ยนจือสีหน้าแดงก่ำ “ไม่..ไม่จ้ะ”
เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกลางดึกผมอยากเข้าห้องน้ำ เดิมจะเรียกมู่ชิงให้ไปส่ง แต่ว่าพอได้ยินเสียงก็เลยไม่กล้าเรียก กลัวว่าเดี๋ยวถ้ามู่ชองได้ยินแล้วจะเขิน”
ที่จริงซูเจิ้นหางก็ได้ยินเช่นกันเลยตำหนิลูกสะใภ้ “เชี่ยนจือ เมื่อคืนเธอเหลวไหลมากนะ เด็กๆ อยู่ห้องข้างๆ ช่วยระวังหน่อยได้ไหม? ห้องในบ้านนี้มันไม่เก็บเสียง จะมาทำอะไรในห้องตามใจเหมือนบ้านตัวเองได้ยังไง! ตั้งแต่วันนี้ไปห้ามมานอนบ้านฉันแล้วนะ!”