เมี่ยวเสว๋ปินเป็นคนที่เจียงหนัน ที่บ้านเปิดบริษัทเครื่องสำอางชื่อดังแห่งหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มที่คาบช้อนทองมาเกิด
ส่วนตัวเขานั้น ไม่ใช่ไม่มีวิชาความรู้ คะแนนโดดเด่นตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ยิ่งเป็นบุคคลโด่งดัง
แต่ทว่า เขาในตอนนั้นอยู่ต่อหน้าเย่เทียนกลับหาผลประโยชน์ไม่ได้สักนิด
เพราะตอนที่เมี่ยวเสว๋ปินอยู่มหาวิทยาลัยเจียงหนัน สนใจหลินอ้าวเสว่ดาวโรงเรียนเข้า
หลินอ้าวเสว่กลับไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น โปรดปรานแค่เย่เทียนเพียงคนเดียว
ถึงแม้ว่าเย่เทียนในตอนนั้น จะเป็นเพียงสวะที่ไม่มีความสามารถคนหนึ่ง!
เป็นเพราะเหตุนี้ ระหว่างสองคนจึงเกิดความขัดแย้งกัน จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย หลังจากต่างแยกย้ายกัน จึงไม่ได้ติดต่ออีกเลย
ส่วนหลินอ้าวเสว่ในฐานะดาวโรงเรียน หลังจากจบการศึกษา ก็ไม่ได้คบหากันกับเย่เทียน กลับไปบ้านของตนเอง และไม่เคยติดต่อกันอีก
สำหรับเมี่ยวเสว๋ปิน เย่เทียนคงไม่ไปถือสาหาความ แต่การมีตัวตนของหลินอ้าวเสว่ กลับทำให้เขานึกย้อนถึงเรื่องในอดีตบางอย่างขึ้น
หลินอ้าวเสว่ไม่ใช่คนเมืองเจียงหนัน ในความเป็นจริง ตอนที่เย่เทียนยังไม่โดนไล่ออกจากตระกูลเย่ เขากับหลินอ้าวเสว่เป็นคนรักสมัยเด็ก ตระกูลของทั้งคู่ฐานะเท่าเทียมกัน ผู้ใหญ่ก็มีความคิดทางด้านนั้นเช่นกัน
แต่เพราะเรื่องราวบางอย่าง เย่เทียนจึงถูกบีบออกไปจากตระกูลเย่ หลินอ้าวเสว่ไม่ยอมตัดใจ ตามมาถึงเจียงหนันทางนี้ อยากให้เย่เทียนกลับไป สุดท้ายยังโดนคนในตระกูลบังคับนำตัวไป
ส่วนเขาเย่เทียน แต่งงานกับเฉินหวั่นชิงอยู่ที่นี่แล้ว จนกระทั่งตระกูลเฉินแตกสลาย
“เย่เทียนก็มาแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงที่เมี่ยวเสว๋ปินจงใจพูดดังนั้น ขัดจังหวะความคิดของเย่เทียนแล้ว
ถึงจะพูดว่าเย่เทียนไม่มีความหมายถือสาหาความเรื่องราวในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่าเมี่ยวเสว๋ปินจะไม่คิดเล็กคิดน้อย
เขานึกไม่ถึงว่าเย่เทียนจะเข้ามา แต่นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ บวกกับเป้าหมายของงานรวมตัวในวันนี้ เขาจะไม่ปล่อยโอกาสเหยียดหยามเย่เทียนอันนี้ไปแน่นอน
ระหว่างพูดจา คนอื่นก็เดินเข้ามา สายตาหยุดลงบนตัวเย่เทียน
หลังเห็นว่าเย่เทียนใส่เพียงแค่เสื้อผ้าลำลองชุดหนึ่ง เขาถึงเก็บสายตากลับ มุมปากวาดรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น
“ดูท่าทาง เจ้าหมอนี่ออกไปทำงานอยู่ข้างนอกคงไม่ดีเท่าไร!”
เขาหัวเราะเยาะในใจ บนหน้ากลับไม่ได้แสดงออกมา ถามอย่างสุขุมเยือกเย็น “เย่เทียน ไม่เจอกันนานเลยนะ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? ทำงานอยู่ที่ไหน?”
“ประธานเมี่ยว เย่เทียนเขาคงเทียบนายไม่ได้หรอก สองสามวันก่อนฉันยังเจอเขาอยู่เลย เหมือนว่าทำงานในผับแห่งหนึ่ง เป็นยาม!”
ไม่รอให้เย่เทียนตอบกลับ ทันใดนั้นหน้าประตูมีเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยการถากถางลอยมาประโยคหนึ่ง
ทุกคนหันหน้ามองไป เห็นหยูเสี่ยวเหวินแต่งตัวงดงาม ในมือถือกระเป๋าหลุยส์วิตตอง เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว
หลังจากโดนหวางจื้อเฟยสะบัดทิ้ง หยูเสี่ยวเหวินก็เกลียดเย่เทียนถึงที่สุดเลย
หลังจากเข้าประตูมาเห็นว่าเมี่ยวเสว๋ปินกำลังถามเย่เทียนอยู่ หล่อนจะไม่ปล่อยโอกาสที่จะเสียดสีเย่เทียนไปแน่
แน่นอนว่าหล่อนไม่รู้ว่าเย่เทียนอยู่ในผับดรุณียั่วรักมีสถานะอะไร แต่หล่อนไม่ได้สนใจ ขอเพียงสามารถฉีกหน้าเย่เทียนได้ เป้าหมายของหล่อนก็บรรลุแล้ว
เย่เทียนได้ยินคำพูดของหล่อน ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่คิดแล้ว ก็ไม่ได้มีความหมายอยากจะอธิบาย
เขามีสถานะอะไร คนนอกมองเขาอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเขาเย่เทียนด้วย?
“เป็นยาม?”
“นึกไม่ถึงว่าเย่เทียนนายจะทำงานแย่ขนาดนี้!”
“เย่เทียน เห็นแก่ว่าพวกเราเป็นเพื่อนนักเรียนกันมา ถ้าไม่งั้นนายมาทำงานที่บริษัทฉันเถอะ ดีเลวยังไงฉันก็เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ค่าจ้างรายปีก็สองสามแสน ฉันแนะนำนายเข้ามาในทีมฉันได้นะ เป็นพนักงานขาย ยังดีกว่าเป็นยามกระจอกจนๆ”
มีคนลุกออกมา พูดด้วยสีหน้าโอ้อวด
เห็นได้ชัดมากว่า เขาอยากช่วยเย่เทียนคือเรื่องหลอก โอ้อวดต่างหากถึงเป็นเรื่องจริง
เย่เทียนมองเขาแล้ว หัวเราะแบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันดีมากแล้ว”
“เฮ้อ จะพูดแบบนี้ไม่ได้สิ นี่นายไม่อยากหาความก้าวหน้าให้ชีวิตเหรอ จะเป็นยามได้นานแค่ไหน? ถึงแม้จะอยู่ระดับต่ำหน่อย แต่นี่ก็เป็นงานที่ทำได้ตอนยังหนุ่ม รอตอนนายสี่สิบปี ยังมีใครอยากจะเอานาย?”
“ก็ถูก ฉันคิดว่าพี่เห้าพูดถูก ถือโอกาสยังหนุ่มอยู่ ก็ควรสู้สักที!”
ผู้หญิงที่แต่งหน้างามเพริศพริ้งคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ ตอนที่พูดจา สายตากลับจ้องบนตัวพี่เห้านั้น แอบแฝงไปด้วยตาหวานหยาดเยิ้ม
เมื่อสักครู่พี่เห้าคนนี้โอ้อวดยกหนึ่ง ทำให้ผู้หญิงคนนี้จ้องเข้าไว้แล้ว
“ฉันว่าช่างเถอะ เย่เทียนเขามีความคิดของตัวเอง จะบังคับไม่ได้”
เมี่ยวเสว๋ปินเห็นเย่เทียนทำงานไม่ดีอย่างมาก ในใจเกิดความรู้สึกสุขขึ้น บนหน้าเป็นท่าทางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เย่เทียน
“ประธานเมี่ยวช่วงนี้ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่านายเปลี่ยนรถอีกแล้ว? เบนซ์ซีรีส์S เจ็ดแปดแสนล่ะ!”
ผู้ชายหัวแบนคนหนึ่งพูดอย่างอิจฉา
“พอเลย นายเองอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ นายก็ขับรถที่สี่แสนกว่ามาคันหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”
มีคนยิ้มว่าไป
“โอ๊ย ไม่มีอะไร ช่วงนี้หุ้นที่เก็งกำไรทำเงินได้นิดหน่อย เลยถือโอกาสเปลี่ยนน่ะ”
เจ้าหัวแบนจงใจหัวเราะแบบแจ่มชัด ความจริงเขาทำงานอยู่เคาน์เตอร์ธนาคาร เงินเดือนเพิ่งสามพันได้ เดิมทีไม่มีรถ
วันนี้รู้ว่ามีงานรวมตัวเพื่อนนักเรียน จึงเช่ารถมาสร้างภาพโดยเฉพาะ
“เย่เทียน นายล่ะ? ซื้อรถหรือยัง?”
หยูเสี่ยวเหวินที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้มองทางเย่เทียน ถามเขาอย่างเสียดสีอีกครั้ง
เจตนาของหล่อนคืออยากพูดฉีกหน้าเย่เทียน อาศัยโอกาสนี้ แก้แค้นที่อับอายเมื่อครั้งก่อนคืน
ตอนแรกเย่เทียนไม่อยากสนใจหยูเสี่ยวเหวินคนนี้ ตอนนี้เห็นหล่อนยังพัวพันไม่เลิก ในใจค่อยๆ หมดความอดทนอยู่บ้างแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง มีเสียงหัวเราะที่ชัดแจ๋วลอยมาจากด้านนอกประตู เป็นผู้จัดการของสโมสรหาดน้ำหนาวเข้ามาแล้ว
อีกฝ่ายอายุสี่สิบกว่าปี คือหัวหน้าคนหนึ่งของแก๊งเสือดำ ทราบว่าเย่เทียนเข้ามาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาตีสนิทไว้หน่อย
“หึๆ ขอโทษทุกท่านด้วยครับ รบกวนสักนิด นี่คือลาฟิตที่พวกเราเก็บไว้ ปีแปดสอง รสชาติเข้มข้นไม่มีอะไรเจือปนเลย นี่คือช่วงเวลาที่ดีในการดื่มด่ำ!”
ระหว่างพูด ผู้จัดการยังทำหน้ายิ้มแย้ม นำเหล้าทั้งกล่องวางลงบนโต๊ะด้วยตนเอง
เมี่ยวเสว๋ปินรู้จักกับผู้จัดการ ส่วนลาฟิตปีแปดสองนี้ราคาแพงมาก แต่ละขวดอย่างน้อยหนึ่งแสนขึ้นไป ทั้งกล่องคือหนึ่งล้านสองแสน ถึงแม้เขาอยากจัดงานรวมตัวเพื่อนนักเรียน ก็ไม่อาจถลุงเงินแบบนี้ได้!
“ผู้จัดการเหอ ผมจำได้ว่าไม่ได้สั่งเหล้านี้นะ?”
“นี่คือมอบให้ มอบให้ครับ! หึๆ ไม่รบกวนแล้ว มีเรื่องอะไร พวกคุณเรียกหาผมได้เลย”
ผู้จัดการเหอหัวเราะหึๆ บอก และไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าทางเย่เทียนแบบยากจะสังเกตเห็น จากนั้นหมุนตัวออกไป
เห็นได้ชัดมาก เหล้านี้คือนำมามอบให้เย่เทียน!
แต่ทุกคนไม่รู้เรื่องราวภายใน เพียงคิดว่าเป็นชื่อเสียงของเมี่ยวเสว๋ปิน ตอนที่แต่ละคนมองเมี่ยวเสว๋ปิน จึงยิ่งกระตือรือร้นเพิ่มขึ้น
“ประธานเมี่ยว นายนี่มีชีวิตดีเกินไปแล้วมั้ง แม้แต่ผู้จัดการของสโมสรหาดน้ำหนาวยังมามอบเหล้าให้นายเป็นพิเศษ!”
“ลาฟิตปีแปดสอง ขวดหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งแสน ในนี้มีตั้งหนึ่งล้านสองแสนนะ! ฉันยังไม่เคยดื่มเหล้าดีขนาดนี้เลย!”
“เป็นประธานเมี่ยวมีหน้ามีตา หนึ่งล้านกว่านี้ บอกให้ก็ให้!”
ทุกคนประสบประแจงเมี่ยวเสว๋ปิน เมี่ยวเสว๋ปินค่อนข้างไม่เข้าใจเท่าไร
ผู้จัดการของสโมสรหาดน้ำหนาวนี้มีเครือข่ายใหญ่มาก เขาแค่รู้เรื่องนี้ชัดเจนดี
ในอดีตที่ผ่านมา เดิมทีผู้จัดการไม่ได้มีความหมายสนใจเขาเลย
ตอนนี้กลับมาส่งเหล้าให้กะทันหัน เขาเองยังไม่เข้าใจสถานการณ์แจ่มชัด
แต่ถูกทุกคนคุยโวและยกย่องตนเอง เขาจึงหลงตัวเองอยู่บ้าง รู้สึกมีหน้ามีตาอย่างมาก และไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก