ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 175 ทะลวงอเวจีเพียงชั่วพริบตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในร่างกายของเฉินฉางเซิงมีทะเลสาบ

ใช่แล้ว จะต้องกล่าวว่ามีทะเลสาบ และมิใช่ทะเลสาบเพียงด้านเดียว เพราะว่าทะเลสาบแห่งนี้โผล่มาจากกลางอากาศ มิได้ตระหนี่ให้ผู้ที่มองไปได้เห็นได้ชื่นชมเพียงแค่ด้านเดียว

เมื่อเฉินฉางเซิงนั่งถอดจิตปฐมภูมิ เคยเห็นทะเลสาบมาแล้ว เพียงแค่ตอนนั้นจิตใจส่วนใหญ่ของเขามุ่งอยู่บนทุ่งหิมะ จ้องมองทะเลสาบเพียงแวบเดียวก็ถูกทำให้ตกตะลึงจนไร้คำเอื้อนเอ่ย มิได้สนใจเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ผลลัพธ์ต่อไปก็คือ เพราะว่าทุ่งหิมะแผดเผาทำให้เขาสลบไสลไป จึงไม่มีโอกาสสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นละเอียด

เวลานี้ดวงจิตของเขาประหนึ่งสายลมเย็นหมื่นลี้ พัดผ่านไปยังทุ่งหิมะ มายังด้านหน้าทะเลสาบ ในที่สุดจึงมองเห็นทะเลสาบแห่งนี้ชัดเจน ทว่ากลับยากที่จะอธิบาย ทะเลสาบแห่งนี้ราวกับว่าเป็นผลึกแก้วมหึมาไร้ที่เปรียบ โปร่งแสงและโปร่งใส พื้นผิวกลับมีระลอกคลื่นน้ำ และเหมือนมีหยดน้ำขนาดใหญ่หลายเท่าตัวหยดลงไป กลับสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง

เส้นแสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปในทะเลสาบแห่งนี้ทุกทิศทุกทาง จากนั้นก็ได้มาพบกันในส่วนลึกของน้ำทะเลสาบที่สว่างไสวใสเป็นประกาย เวลาต่อมา เส้นแสงเหล่านั้นก็ได้สัมผัสกันที่แห่งนั้น แสงสะท้อนไปมา เปล่งประกายออกมายิ่งทวีขึ้น เส้นลำแสงมีสีสันมากมาย ภาพเหล่านั้นงดงามแปลกประหลาดเป็นพิเศษ เมื่อแรกเริ่มได้เห็น ราวกับว่าเป็นภาพวาดในดินแดนเทพนิยาย หากพิจารณาอย่างละเอียด กลับสามารถมองเห็นลำแสงเหล่านั้นประเดี๋ยวตรงประเดี๋ยวงอ ประกอบรูปร่างเป็นเทือกเขาในน้ำ

เทือกเขาลูกนั้นไม่มียอดเขา และก็ไม่มีปลายด้านบน เพราะว่าทุกทิศทุกทางล้วนแต่มียอดเขา ไม่ว่าเจ้าจะเริ่มปีนป่ายขึ้นทางด้านไหน สิ่งที่เจ้าเผชิญต่างก็จะคิดว่านั่นเป็นปลายยอดเทือกเขา

ไม่มียอดเขา แต่เทือกเขานี้มีหน้าผามีโตรกผา มีหินแปลกประหลาดเป็นตะปุ่มตะป่ำ ในระหว่างเทือกเขามีต้นไม้ดุจปะการังเกิดขึ้น ไม่รู้ว่ามีความยาวกี่จั้ง สูงใหญ่ไร้สิ่งใดเปรียบ ระหว่างต้นไม้และหน้าผาหินคล้ายกับว่าเห็นหนทางเลือนราง หนทางเหล่านั้นสลับซับซ้อนแปลกประหลาด สูงชันคับแคบยิ่งนัก

ดวงจิตของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น หลังจากเข้าไปในน้ำทะเลสาบ ความรวดเร็วก็เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าเล็กน้อย ล้อมรอบยอดเขาที่แปลกประหลาด จ้องมองด้วยความห่อเหี่ยว

เขามองเห็นส่วนลึกสุดของหนทางเทือกเขา มีประตูอยู่เลือนราง

ด้านหลังประตูไม่รู้ว่าเป็นสถานที่ที่เทพเซียนสถิตอยู่หรือว่าเป็นโลกใบเล็กของพระราชวังหลี

จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขายังคงไม่แน่ใจว่าตนกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ทว่าแน่ชัดในบางเรื่อง น้ำในทะเลสาบเหล่านั้นกับทุ่งหิมะที่ดับมอดแล้วมาจากทางสถานที่เดียวกัน มีลักษณะพิเศษเหมือนกัน ถูกต้อง ปริมาณน้ำทะเลสาบจำนวนหลายหมื่นไร่มาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนในโลกจริง พวกมันถูกเรียกว่าละอองดาว

ยอดเขาที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำทะเลสาบลูกนั้น ก็คือหัวใจของเขา

หยดน้ำกระจ่างใสไหลเข้าไปตามแรงหมุนเวียนของน้ำทะเลสาบอย่างธรรมชาติ ดวงจิตของเขามาถึงยังยอดเขา ผาหินและต้นไม้ที่แวววาวละลานตาเผาไหม้ไร้เสียง ในจิตใต้สำนึก เขาเข้าใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ปลายประตูบานนั้น เขาต้องค้นหาประตูบานนั้น แต่หน้าผาหินกลับกีดขวาง ทั้งยังไม่มีเบาะแสทิศทางบนล่างซ้ายขวา ประตูบานนั้นเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไป แม้แต่ตำแหน่งเขาก็ไม่อาจยืนยันได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าจะได้เข้าใกล้

น้ำทะเลสาบกระเพื่อมเล็กน้อย สายลมเย็นพัดผ่านน้ำไป ก่อเกิดเป็นฟองน้ำประหนึ่งไข่มุกเรียงเป็นสาย ร่วงหล่นบนหินผาก้อนหนึ่งที่อยู่บนยอดเขา เสียงปึกดังขึ้น เขากุมศีรษะหันไปมอง เห็นเพียงเท้าของตนเหยียบเอียงลงบนทุ่งหญ้า

มิได้มีความลังเลใดๆ เฉินฉางเซิงเดินไปตามหนทางบนเทือกเขาที่สูงชันคับแคบ เริ่มมุ่งเดินไปยังเบื้องหน้า เวลานี้เขาเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ของจิตใจที่ลึกลับมหัศจรรย์ ไร้ความรู้สึก จนกระทั่งลืมเลือนว่าตนมาจากที่ใด ปรารถนาจะไปแห่งใด เพียงรับรู้ว่ามุ่งไปเบื้องหน้าไม่หยุด ปรารถนาจะเสาะหาประตูบานนั้น

หนทางเทือกเขาที่คดเคี้ยว เพียงมองออกไปก็เห็นทางคดเคี้ยวสิบแปดโค้ง หนทางบนเทือกเขาที่ยาวเหยียด ไม่ว่าเขาจะเดินเป็นระยะเวลายาวนานเพียงใด กลับยังคงอยู่กลางเทือกเขา ไร้ก้อนเมฆและมองไม่เห็นที่สิ้นสุด เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ว่ามิได้หยุดพัก เท้าของเขาถูกเสียดสีจนแตก แต่ว่ามิได้สนใจ เขาวิ่งตะบึงอยู่บนหนทางเทือกเขา เดินออกไป สำรวจ เดินย้อนกลับ วิ่งห้อ แล้วก็ย้อนกลับอีกครา เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เสาะแสวงหาสูงต่ำ

วันเวลาไม่หยุดหมุนเวียน เขาไม่รู้ว่าตนเดินอยู่ในยอดเขา ค้นหามาเนิ่นนานแล้ว และก็ลืมเลือนว่าตนใช้เวลาไปนานเพียงใด ในที่สุดของช่วงเวลาหนึ่ง ก็เสาะหาหนทางสายหนึ่งพบ

เทือกเขาถูกทะเลสาบล้อมรอบ มิได้มีปลายยอดเขา มิได้สูงต่ำ ดังนั้นจึงไร้ทิศทาง เส้นทางเทือกเขาประหนึ่งใยแมงมุม เดิมทีก็ไม่อาจนับได้ชัดเจน แต่ว่าในยอดเขามีน้ำ มีน้ำจำนวนมาก

น้ำในยอดเขาไม่เหมือนน้ำในทะเลสาบที่หยุดนิ่ง อีกทั้งยังไหลไม่หยุด พบเจอกับหน้าผาสูงชัน ก็จะตกลงมา น้ำกระทบเข้าไปในทะเลสาบ กระเซ็นเป็นเกลียวคลื่นและฟองสีขาวจำนวนมาก

การเคลื่อนไหวของน้ำ ที่แท้ก็คือหนทางที่แท้จริง

เฉินฉางเซิงเสาะหาน้ำตกเส้นเล็กๆ ไม่ได้สนใจภาพที่แปลกประหลาดของน้ำที่กระทบกันตามขอบทาง ให้ความสำคัญต่อการปีนขึ้นสู่ที่สูง ทวนกระแสน้ำไปข้างบนสามพันลี้ สุดท้ายจึงมาถึงปลายสุดของน้ำตกในเทือกเขา

ที่ปลายสุดแห่งนั้นหากจะกล่าวให้ถูกก็คงจะเป็นแหล่งต้นน้ำ

สุดหล้าฟ้าเขียว น้ำหยดปรากฏหิน

ท่ามกลางก้อนหินสีขาวเต็มเทือกเขาและหุบเขา มีประตูบานหนึ่ง

ก็คือประตูบานนั้นที่เขาเสาะหาอย่างยากลำบาก

เขาเดินไปยังด้านหน้าประตู เป็นครั้งแรกที่หยุดก้าวเดินอย่างแท้จริง เวลานี้เสื้อผ้าเขาได้ขาดหลุดลุ่ย ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำ รองเท้าผุพังได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า มองแล้วจนตรอกอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเดินมาเป็นเวลานานเพียงใด

นั่นมิใช่ประตูบานเล็ก แต่เป็นประตูใหญ่ ก็เหมือน นี่มิใช่ผิวทะเลสาบ แต่เป็นทะเลสาบทั้งผืน ข้างหลัง เป็นทะเลสาบรูปทรงสามมิติ ข้างหน้า กลับเป็นเพราะประตูบานนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ

ประตูบานนี้สูงประมาณหลายสิบจั้ง วัสดุคล้ายทองคล้ายหยก แต่เมื่อมองอย่างละเอียด ประหนึ่งก้อนหินที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ เพียงแค่ค่อนข้างขาว และเหมือนกับหินผาที่กองพะเนินเทินทึกเหล่านั้น

พื้นผิวของประตูหินเปล่งแสงมันวาวเบาบางและอ่อนโยน ทำให้รู้สึกปลอดภัยอบอุ่น ดึงดูดผู้คนให้มองมาที่มัน เพียงวินาทีแรกก็อยากเอื้อมมือไปสัมผัสบนประตูบานนั้น จากนั้นใช้แรงผลักออกไป

เฉินฉางเซิงรู้สึกลังเล เพราะว่าเขารับรู้ได้ถึงอันตราย

เวลานี้เขารู้ว่าเทือกเขาลูกนั้นคืออะไร และก็คาดเดาได้ว่าประตูใหญ่นี้คืออะไร

สิ่งที่ยิ่งแปลกประหลาดก็คือ ชัดเจนว่าเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ส่วนเขาแน่ชัดอย่างยิ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ประตูบานใหญ่นี้กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับว่าเขาเคยเห็นประตูใหญ่นี้มานานแล้ว พูดกลับกันก็คือ ประตูใหญ่บานนี้ราวกับว่ารอคอยเขามาเป็นเวลานานแล้ว

ที่จริงแล้วเขาลังเลเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ

อันตรายก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เพียงเพราะเพื่อให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้ เขาได้ทุ่มสุดชีวิตมาแล้วหลายครา เช่นนั้นแล้วจะมีเรื่องราวอันใดที่สามารถยับยั้งการทุ่มเทสุดชีวิตครั้งนี้ของเขาได้อีกเล่า

ฝ่ามือของเขาร่วงบนประตูใหญ่บานนั้น ใช้แรงเพียงน้อยนิดผลักไปข้างหน้า ประตูหินบานนี้สูงหลายสิบจั้ง มองระดับความหนาจากภายนอกก็คงจะเกินจริงยิ่ง กล่าวตามเหตุผล ก็คงหนักราวกับเมืองหนึ่งเป็นแน่ ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ เพียงแค่เขาผลักเบาๆ ประตูหินบานใหญ่ก็เปิดออกแล้ว

เฉินฉางเซิงชักมือกลับ ระแวดระวังเตรียมพร้อม

ประตูหินค่อยๆ เปิดออก มีลำแสงนับไม่ถ้วนส่องออกมาจากข้างใน ร่วงหล่นบนใบหน้าและร่างกายของเขา ใบหน้าของเขาถูกแสงส่องกระทบจนเลือนรางไม่ชัดเจน เสื้อผ้าที่ชำรุดสว่างไสวไร้สิ่งใดเปรียบ ราวกับว่าจะเผาไหม้ขึ้นมา

สิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับเขาก็คือลำแสงเหล่านี้ไม่ได้มีอันตรายใดๆ กลับเต็มไปด้วยพลังด้านดี ทำให้เขารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นชั่วพริบตา ความเหนื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง สบายปลอดโปร่งจนยากจะเอื้อนเอ่ย รู้สึกว่าตนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ส่วนการควบคุมของสรรพสิ่งต่างๆ ก็กลายเป็นคล่องแคล่ว จนขนาดมีสิ่งที่เรียกว่ารู้สึกอิสระ

ความรู้สึกนี้ดีอย่างยิ่ง ความรู้สึกยั่วยวนใจรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอันตรายและภายภาคหน้าที่ไม่ล่วงรู้จะเป็นอย่างไร ล้วนแต่ไม่อาจอดกลั้นความกระหายชนิดนี้ได้ เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในประตูหินบานใหญ่นั้น

ข้างหลังประตูก็คือโลกแสงสว่าง มีลำแสงนับไม่ถ้วน ครอบคลุมเต็มฟ้าดิน เบ้าตาของเขาก็เต็มไปด้วยแสง จึงทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ยิ่งไม่อาจแยกแยะทิศทาง เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินไปข้างหน้าด้วยความสับสนและตื่นเต้น

ครั้งนี้ เขาเดินไปไม่นาน

ลำแสงที่ค่อยๆ สาดกระจายกลายเป็นสงบขึ้นมา ระดับความชัดเจนแยกเป็นขาวดำ จากนั้นมีสีสันเพิ่มมากขึ้น ดังเช่นสีแดงหมายความว่าชีวิตและความรัก สีน้ำเงินหมายความว่ากว้างใหญ่ไพศาลและลึกลับ

สีน้ำเงินผืนนี้ก็คงจะหมายถึงความกว้างใหญ่ไพศาล

เฉินฉางเซิงกำลังมองสีน้ำเงิน ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ

จากนั้นเขาเห็นเมฆสีขาวไม่กี่ก้อน กำลังค่อยๆ รวมตัวเขากับเมฆดำข้างบน

เขาเพิ่งจะเข้าใจ เดิมทีสีฟ้าที่ตนเห็นคือสีฟ้าอะไร นั่นก็คือสีฟ้าของท้องฟ้า

ในเวลาต่อมา เขามองไปยังชายหลังคาสีดำ บนหน้าต่างศาลาชั้นสอง ยังมีหญิงสาวที่สวมชุดชาววังกำลังมองตนยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขารู้จักนาง เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของหน้าถึงแต่งแต้มไปด้วยความกังวล แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็มั่นใจเรื่องหนึ่ง ดวงจิตของตนกลับมายังตำหนักฝึกฝนแล้ว

เขากลับมายังหอชำระธุลี

ร่างกายของเขาถึงแม้ยังลอยอยู่กลางอากาศ

ขณะที่ดวงจิตของเขากำลังเสาะแสวงหาด้วยความยากลำบากอยู่ในร่างกาย แม้เสาะแสวงหาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่สำหรับโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ

จนถึงขนาดว่าสำหรับคนอื่นแล้ว เขาเพียงแค่หลับตา จากนั้นได้ลืมตาขึ้นอีกครา ผู้ใดจะคาดคิด ในระยะเวลาสั้นๆ เขาผ่านเรื่องราวมากมาย ได้กลับไปยังที่แห่งเดิมอีกครารึ ผู้ใดจะคาดคิด เขามิใช่ตัวเขาก่อนหน้านี้อีกต่อไป เขาได้มายังโลกใหม่เอี่ยมผืนนี้แล้วรึ

ดวงจิตของเขาได้ผลักประตูหินบานนั้น ทว่าได้กลับมายังหอชำระธุลี นี่พิสูจน์ได้ว่าฟ้าดินใบเล็กของเขากับฟ้าดินของโลกแห่งความเป็นจริงเชื่อมต่อถึงกัน ประตูแดนลี้ลับของเขาได้เปิดแล้ว ถึงแม้เส้นปราณของเขายังคงขาดไม่อาจหมุนเวียนได้ แต่ว่าตอนนี้พลังปราณแท้ของเขามิได้เข้าไปสู่ข้างในหุบเหวที่มองไม่เห็น ลำธารสายนั้นและน้ำในทะเลสาบไหลรินที่ยังหลงเหลืออยู่ของทุ่งหิมะ ไหลลงสู่ดินแดนลี้ลับของเขาต่อเนื่อง ช่วยเหลือให้เขาตอบสนองต่อฟ้าดิน

สายฝนที่ตกกระหน่ำได้หยุดลง กลายเป็นเพียงม่านสายฝน ร่างกายของเฉินฉางเซิงผ่านทะลวงสายฝน ดวงตาที่ปิดของเขาได้เปิดขึ้น ลูกตาสุกสว่างไสวดุจเคลือบน้ำมันเงา ท่าทางสงบนิ่งไร้ที่เปรียบ

เขากุมกระบี่สั้นในมือให้แน่นอีกครา และใช้พลังควบคุมพลังปราณแท้ที่สมบูรณ์กลับเข้ามาในร่างกาย เก็บหัวเข่าทั้งสอง ลำตัวกระชับ ปรับท่าทางเมื่อร่วงหล่นยังพื้น ฝ่าเท้าผ่อนคลายจากนั้นกระชับขึ้น ประหนึ่งก้อนหินร่วงหล่นในแม่น้ำ ตามเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยก็ได้ยืนมั่นคงอยู่บนพื้น

เวลาต่อมา เขาล้วงเม็ดยาที่ปรุงมาจากสมุนไพรของส่วนร้อยหญ้าโยนเข้าไปในปากอย่างไม่ลังเล ใช้เวลารวดเร็วที่สุดกลืนลงไป จากนั้นมองไปยังโก่วหานสือที่อยู่ตรงข้าม

……

……

โก่วหานสือมิได้ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นฝีมือของเฉินฉางเซิงในการชุมนุมไม้เลื้อย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเฉินฉางเซิงสามารถฝ่าฟันมาจนถึงการต่อสู้รอบตัดสิน ก็สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แต่หลังจากการต่อสู้เริ่มขึ้น เขาเพิ่งพบว่าตนนั้นยังคงตัดสินเฉินฉางเซิงไม่ถูกต้อง

เฉินฉางเซิงแผดเผาทุ่งหิมะผืนนั้น และทุ่งหิมะสิบผืนรวมไปถึงผืนหิมะทั้งหมด ถ้าหากมิใช่เพราะเส้นปราณมีปัญหา ก็คงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ถึงแม้ว่าเป็นระดับในตอนนี้ ก็ยังทำให้โก่วหานสือรู้สึกสั่นคลอน หนุ่มน้อยที่อายุสิบห้าปี ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่ถึงหนึ่งปี เวลาในการดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกยิ่งสั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังปราณแท้หนาแน่นอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ในชีวิตนี้ของโก่วหานสือพบเพียงแค่ศิษย์พี่ชิวซานจวินที่เคยทำเรื่องที่ไม่อาจคาดคิดได้เช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงก็ทำได้

แต่เมื่อตอนอยู่ในเรือนรับรอง เขาเคยเอ่ยกับชีเจียนและศิษย์น้องเช่นนั้น เขามั่นใจว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจเอาชนะตนและเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยได้ เพราะว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจทะลวงอเวจีได้

ทะลวงอเวจี อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาร้อยคืน ทุกๆ คืนดึงแสงดวงดาวเข้ามากระทบ

ไม่ว่าจะเป็นโจวตู๋ฟูในปีนั้น ก็ไม่ยกเว้น

เฉินฉางเซิงชำระล้างกระดูกสำเร็จไม่ถึงร้อยคืน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการทะลวงอเวจี

อย่างไรก็ตาม เวลานี้กลับคล้ายว่ามีเรื่องบางอย่างได้เกิดขึ้น

โก่วหานสือจ้องมองเฉินฉางเซิง รู้สึกว่าที่ตนถูกผู้คนบนโลกใบนี้ชื่นชมว่าศึกษาตำราแตกฉาน…จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นไม่มีความหมายใดๆ เพราะว่าในคัมภีร์สามพันมหามรรค มิได้มีเรื่องราวเช่นนี้