บทที่ 93.1 ลอบสังหารคืนไหว้พระจันทร์ (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

แสงจันทร์ในยามค่ำคืนคล้ายกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะเสียงกรีดร้องบาดหูนี้

ฝีเท้าของทุกคนราวกับถูกตรึงไว้ด้วยน้ำแข็ง แม้ว่าในอุทยานหลวงจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทว่ากลับเงียบเชียบเสียจนคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่

“กรี๊ด…” ผ่านไปสักครู่ เสียงหวีดแหลมที่ดูหวาดผวาของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “คน…คนตาย! ที่นี่…ที่นี่เหมือนมีคนตายเจ้าค่ะ!”

ทุกคนหันมองไปตามเสียง ก็พบว่าเป็นนางกำนัลที่อายุน้อยคนหนึ่งแข้งขาอ่อนล้มลงไปกับพื้นไปตั้งนานแล้ว ใบหน้านั้นซีดเผือด ชี้ไปทางบึงดอกบัวที่อยู่ไกลๆ ด้วยท่าทีตื่นตกใจ

เวลานี้อยู่ในเดือนแปด ดอกบัวล้วนบานสะพรั่ง ทว่าใบบัวก็ยังไม่เหี่ยวเฉาแต่อย่างใด

ใบบัวสีเขียวเข้มแผ่ปกคลุมอยู่เกือบเต็มสระ ทั้งยังเป็นยามค่ำคืน เมื่อมองไปแล้วจึงดูมืดมิดไปหมด แม้ยากที่จะมองเห็น แต่แสงจันทร์ที่ตกกระทบลงมา กลับทำให้สามารถเห็นถึงแสงสะท้อนของเครื่องประดับที่ซ่อนอยู่ระหว่างใบบัวได้อย่างชัดเจน

ที่นั่น…

ที่ถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางพุ่มใบบัวนั้น คล้ายกับ…

มีใครคนหนึ่งอยู่!

เหล่าหญิงบรรดาศักดิ์ไม่กี่คนที่อยู่ห่างกับสระน้ำไม่ไกลนักต่างก็พากันแข้งขาอ่อน ถอยไปด้านหลังด้วยใบหน้าขาวซีด

“นั่น…นั่นเป็นใครกัน?” ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน ทั้งลูบอกไปพลาง

แม้ว่าที่นี่จะมีคนมาก แต่จู่ๆ เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน

ฉู่เยว่ซินที่ปะปนรวมอยู่ในกลุ่มคนขมวดคิ้วขึ้นอย่างเลือนราง ในดวงตานั้นปรากฏประกายแสงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะนั้นก็คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา

ริมสระนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหล ไม่มีขันทีหรือนางข้าหลวงอยู่ดูแลเหตุการณ์ที่นั่น ขณะนั้นจึงไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไร เอาแต่มองดูร่างไร้วิญญาณที่ลอยคว้างอยู่ในบึงบัวด้วยความสงสัย

เพราะว่าตรงกับวันที่สิบห้าของเดือน แค่มองดูอย่างละเอียดก็สามารถแยกแยะได้แล้ว ว่าร่างที่คว่ำหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำเป็นศพของหญิงสาว บนร่างสวมชุดกระโปรงยาวสีพื้นๆ แม้ยามนั้นจะไม่อาจเห็นใบหน้า แต่เมื่อมองดูจากเครื่องประดับแล้ว น่าจะต้องเป็นนางในหรือไม่ก็คุณหนูคนใดสักตระกูลที่มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นแน่

“นาง…ปิ่นปักผมบนศีรษะนางนั้น ข้า…ข้าเหมือนว่าจะเคยพบที่ใดมาก่อน!” หลังจากที่ความเงียบสงบแผ่ปกคลุมเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็มีคนค้นพบเบาะแสบางอย่างขึ้นมา

คุณหนูขงซ่อนตัวอยู่ในอ้อมอกของฮูหยินขง ทำเพียงเหลือบสายตามองไปทางสระน้ำแวบหนึ่งก็รีบปิดตาลงอีกครั้งด้วยความหวาดกลัวทันที ทั่วทั้งร่างนั้นสั่นไหวราวกับลูกนก

“ข้าก็เหมือนเคยเห็นมาก่อนเช่นกัน!” เมื่อนางเอ่ยปากออกมา ก็คล้ายจะมีคนจำขึ้นมาได้รางๆ ฉับพลันก็กล่าวออกไปอย่างตกใจ “เหมือนว่าจะเป็นแม่นางฮั่วเจ้าค่ะ ในช่วงเย็นนั้นข้าได้เจอนางในสวนดอกไม้ นางเหมือนจะสวมปิ่นที่ประดับด้วยทับทิมสีแดงเจ้าค่ะ”

ขณะที่พูดนางก็มองไปรอบๆ กลับไม่รู้ว่ามารดาของฮั่วชิงเอ๋อร์ได้ตามมาได้ยินเข้าเสียแล้ว เดิมทีก็ก้าวฝีเท้าอย่างสะเปะสะปะ ตอนที่เดินมาใกล้ด้านหน้า เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็รีบแหวกฝูงชนถลาเข้าไปทันที

เห็นร่างของหญิงสาวลอยเคว้งอยู่ในบึงบัวไกลๆ ชั่วขณะนั้น ฮูหยินฮั่วก็เผยใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด เดิมทียังคาดหวังอยู่ในใจเล็กน้อย ทว่ายามนี้กลับหมดสิ้นซึ่งความหวังใดใดแล้ว

“กรี๊ด…” นางแผดร้องเสียงดัง ถลาเข้าไปด้านริมฝั่ง

“ฮั่วเอ๋อร์! ฮั่วเอ๋อร์!” ฮูหยินฮั่วร้องไห้ด้วยความเศร้าอาดูรคณานับ เสียงนั้นเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ ทำให้ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ใจกระตุกไปตามๆ กัน

สูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ เฮือกหนึ่ง นางก็ยิ่งตะกายเข้าไปในสระน้ำอย่างไม่สนใจอะไร

“ฮูหยินเจ้าคะ!” แม่นมหงที่ตามนางเข้ามาในวังรีบก้าวไปดึงตัวนางไว้

ทว่าแรงตะเกียกตะกายของนางก็มีมาก แทบที่จะทำให้แม่นมหงตกไปในสระนั้นด้วยกัน

“ฮูหยิน ฮูหยินใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ใจเย็นก่อนเถิดนะเจ้าคะ!” แม่นมหงร้องเสียงดังอย่างตกใจ คว้าเอวนางไว้ พยายามดึงตัวนางกลับมา

ฮูหยินหลัวกั๋วกงมองอยู่ด้านข้าง รีบเร่งออกคำสั่งให้คนของนางเข้าไปช่วย ทั้งจับตัวฮูหยินฮั่วเอาไว้

ฮูหยินฮั่วสะอึกสะอื้น ยึดหินข้างสระน้ำไว้อย่างแน่น ร้องไห้ครวญครางแทบจะขาดใจอย่างไม่หยุดหย่อน

ฮั่วกังก่อโทษอย่างร้ายแรง ฮูหยินฮั่วรู้ดีว่าตนและฮั่วชิงเอ๋อร์ย่อมกลายเป็นดั่งตะปูในตาของฮ่องเต้ไปแล้ว แต่เพราะฮ่องเต้มีความกังวลจึงไม่ได้ลงมือกับพวกนางสองแม่ลูกในยามนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกนางสองแม่ลูกล้วนมีอันตรายพร้อมจะเคลือบคลานเข้ามาหาอยู่ทุกเวลา กระนั้นนางก็นับว่าเป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง…

เพราะว่าฮ่องเต้ยังมีความกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าจะมีข่าวเสื่อมเสียแพร่ออกไป ดังนั้นนางจึงจับจุดอ่อนนี้ไว้ ไม่ได้หลบหนีกลับบ้านเก่า แต่กลับฝืนใจอยู่ในเมืองหลวง เพื่อให้ได้อยู่ใกล้หูใกล้ตาของฮ่องเต้

เพราะหากออกจากเมืองหลวง ก็ย่อมห่างไกลจากสายตาของผู้คน หากฮ่องเต้ต้องการฆ่าพวกนางสองแม่ลูกก็ไม่จำเป็นต้องคิดอันใดมาก

แต่เมื่ออยู่ที่นี่ หากเขาลงมือตามอำเภอใจ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พวกขุนนางและประชาชนเกิดความระแคะระคายได้

งานเลี้ยงในวังวันนี้ นางพาฮั่วชิงเอ๋อร์มา ก็เพราะว่ามั่นใจในจุดนี้ดี…

หากว่าวันนี้ฮ่องเต้ไม่เปิดเผยจุดยืนออกมา พวกเขาก็ไม่อาจร้อนตัว ย่อมต้องรั้งอยู่ในบ่วงนี้ต่อไป เพราะฮ่องเต้ได้ประกาศออกไปเพียงว่าฮั่วกังนั้นถึงแก่ความตายก็เนื่องด้วยป่วยหนักรักษาไม่หาย

แม้นางจะใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อย่างไรก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า สถานการณ์ที่มีหูตาผู้คนจับจ้องอยู่มากมายเช่นนี้ กลับทำให้ลูกสาวมาตกตายได้อย่างแปลกประหลาด

ฮูหยินฮั่วปวดร้าวใจจนแทบแตกสลาย ร้องไห้แทบจะสิ้นสติ จนมาถึงยามนี้ น้ำเสียงล้วนแหบแห้งไปหมด

หลังจากที่หลัวฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งถ่วงดุลอำนาจในวังนั้นก็ว่างเปล่าอยู่เรื่อยมา

เวลานี้เต๋อเฟยที่ได้รับข่าวจึงตามมาอย่างเร่งรีบ

ตอนที่เต๋อเฟยมาถึงก็ได้ยินเพียงว่ามีคนตกน้ำเท่านั้น ทำให้เป็นที่ตื่นตระหนกตกใจของแขกที่มาร่วมงาน เมื่อมาถึงที่นี่ก็ถูกรายงานว่า ผู้ที่ประสบเคราะห์ร้ายอาจจะเป็นฮั่วชิงเอ๋อร์ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าย่อมเกิดเรื่องยุ่งยากเป็นแน่

“พระชายา!” เมื่อทุกคนเห็นนางเดินเบียดเสียดเข้ามา ก็ราวกับหาที่พึ่งได้ รีบเร่งหลีกทางทั้งทำความเคารพนางอย่างทันที

เต๋อเฟยเดินเข้ามาด้วยท่าทีจริงจัง ดวงตานั้นเหลือบมองไปทางร่างที่ลอยอยู่ในน้ำเป็นอันดับแรก ก่อนจะเผยสีหน้าเย็นเยือกราวกับผืนน้ำที่สงบนิ่ง เดินเข้าไปหาฮูหยินฮั่วที่ตะเกียกตะกายยึดหินอยู่ริมสระ “ประคองตัวฮูหยินฮั่วขึ้นมาก่อนเถิด คนผู้นี้ยังไม่ถูกนำขึ้นมา เหตุใดจึงกล่าวว่าเป็นแม่นางฮั่วเล่า? ทั้งยังปล่อยให้ฮูหยินฮั่วร้องไห้อย่างเศร้าโศกถึงเพียงนี้อีก!”

———————————-