ในโลกใบหนึ่ง ในวันหนึ่งของปีหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง มีเด็กยี่สิบหกคนถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกัน
เด็กเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง บ้างแข็งแรง บ้างอ่อนแอ บ้างเกิดมาในตระกูลฮ่องเต้ บางถูกคนทิ้งเอาไว้ในเล้าหมู
เด็กบางคนลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นกระบี่บินฉวัดเฉวียน
เด็กบางคนลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นเพียงท้องฟ้าสีครามที่อยู่เหนือศีรษะ
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเขาพร้อมกัน
—-แผ่นดินแห่งนี้ประกอบไปด้วยห้าแคว้น ได้แก่แคว้นฉู่ หลัว ฉิน จ้าว ฉี
กระถางสัมฤทธิ์ที่ดูแลโดยเทวทูตแสดงถึงอำนาจสูงสุดของโลกใบนี้ เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่มีราชาที่ได้รับการยอมรับปรากฏตัวขึ้นมา
ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีข้อเรียกร้อง ไม่มีการช่วยเหลือ เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ทั้งยี่สิบหกคนได้แต่ต้องอาศัยพลังของตัวเองในการเติบโต ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร หากสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้ กลายเป็นราชาแห่งใต้หล้า ก็จะได้รับการยอมรับจากท่านเทวทูตและได้รับกระถางสัมฤทธิ์ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นผู้ชนะในการแสวงหามรรคาครั้งนี้ และได้รับยันต์เซียนวัฒนะ
เงื่อนไขข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียวก็คือสภาวะสูงสุดในการบำเพ็ญเพียรของโลกนี้จะอยู่แค่ขั้นจินตานบริบูรณ์ไปจนถึงขั้นจิตก่อรูปขั้นต้น หรือก็คือคเนจรขั้นต้น ไม่สามารถบรรลุขึ้นไปสูงกว่านั้นได้อีก
หลังพูดประโยคเหล่านี้จบ เสียงนั้นก็หายไป นับแต่นั้นก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในหัวของพวกเขาอีก
……
……
การที่ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นท้องฟ้า แสดงให้เห็นว่าบนศีรษะไม่มีแผ่นกระเบื้องคอยปกคลุมร่างกาย
ความจริงแล้วทารกผู้นั้นในเวลานี้กำลังอยู่ในกะละมังไม้ใบหนึ่ง กะละมังไม้ลอยไปบนแม่น้ำ
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดว่านี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยหรือเปล่า บางคนพอลืมตาขึ้นมาก็อาจจะได้คาบช้อนเงินช้อนทองไปแล้ว แต่เหตุใดตนเองกลับกำลังจะตาย
อยู่ที่นี่ตนเองยังเป็นเด็กกำพร้าอีกหรือ? หรือว่ายังจะถูกแม่ชีเก็บเอาไปเลี้ยง จากนั้นใช้ชีวิตเหมือนโลกข้างนอก เก็บของวิเศษต่างๆ นานาได้ตลอด?
เหอจานคิดถึงเรื่องเหล่านี้ รู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้สายน้ำพัดพาตนเองตกลงไปใต้หน้าผาสักแห่ง จากนั้นตายไปทั้งแบบนี้ แล้วก็ออกไปข้างนอก
แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดได้ว่าด้วยความโชคดีของตนเอง เกรงว่าคงจะเจอเรื่องราวแปลกๆ อะไรที่ใต้หน้าผานั่นอีกเป็นแน่
ในขณะนั้นเอง สายน้ำมิได้เชี่ยวกรากเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เขามองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ริมธาร จึงถอนใจออกมา หลับตาลง จากนั้นออกแรงเปล่งเสียงร้องไห้
……
……
เด็กทารกที่มองเห็นลำแสงกระบี่เต็มท้องฟ้าย่อมต้องเกิดขึ้นมาในสำนักบำเพ็ญพรตสำนักใดสำนักหนึ่ง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากคู่รักบำเพ็ญพรตคู่ไหน บิดามารดาของเขาคือคนงานที่อยู่ในสำนัก
เพิ่งคลอดมาได้ไม่กี่วัน มารดาก็พยายามจะลุกจากเตียง เอาเขามัดไว้ด้านหลัง แล้วเริ่มปัดกวาดเรือนให้แก่เซียนเหล่านั้น
เขาฉวยโอกาสตอนที่มารดาไม่ทันสังเกตลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะพบว่าผู้บำเพ็ญพรตที่แสดงเป็นอาจารย์ผู้นั้น สภาวะของเขาอยู่แค่ในขั้นสมความนึกคิด
นี่ก็ถือเป็นเซียนแล้วหรือ?
ตัวเองควรจะทำอย่างไรถึงจะโตได้เร็วๆ ตั้งใจบำเพ็ญเพียร กลายเป็นคนที่มีประโยชน์ จากนั้นไปหาคุณชาย?
ทารกคิดถึงปัญหาที่ยากลำบากข้อนี้ ก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับไปตามการเคลื่อนไหวของมารดา
……
……
สภาวะที่สูงที่สุดในโลกนี้แค่คเนจรระดับต้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนคนก็มีอยู่ไม่มาก สถานะของผู้บำเพ็ญพรตย่อมมิได้สูงส่งจนมิอาจเอื้อมเหมือนอย่างแผ่นดินเฉาเทียน
คนที่มีอำนาจมากที่สุดในที่นี้ก็คือฮ่องเต้ของโลกมนุษย์ การที่สามารถมาเกิดเป็นองค์ชายได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
คนที่หน้าตาตี โชคมักจะไม่เลว
จิ๋งจิ่วนอนนิ่งๆ อยู่ในตำหนักมาสามวัน
ฮ่องเต้ที่เศร้าเสียใจค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ จากนั้นเริ่มจัดงานศพให้แก่ฮองเฮา ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะนึกถึงเขาขึ้นมาได้ แล้วแวะมาดูเขาเสียหน่อย
นางกำนัลและนางกำนัลอาวุโสเหล่านั้นจับเขาอาบน้ำจนสะอาดสะอ้านไปแต่แรกแล้ว
ช่วงบ่ายของปลายฤดูใบไม้ผลิมักจะทำให้คนง่วงนอน ภายในตำหนักเงียบสงัดเป็นอย่างมาก นางกำนัลและขันทีไม่รู้ไปแอบงีบหลับอยู่ที่ไหน
เขาลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พยายามปรับตัวกับร่างกายที่อ่อนแอร่างนี้
ในด้านนี้เขามีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น
เขาเดินอยู่บนเตียงเจ็ดเก้า มองดูท้องฟ้า มองดูพื้นดิน พอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้
จากนั้นเขามองออกไปไกลขึ้น รับรู้ได้ถึงเสียงกระดิ่งแผ่วเบาที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ใจสงบขึ้นมาเล็กน้อย
หากมีคนมาเห็นทารกที่เกิดขึ้นมาเพียงสามวันก็สามารถลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเดินได้หลายก้าว พวกเขาคงจะต้องตกใจอย่างมากแน่
เขานอนลงไปอีกครั้ง หลับตาลง แล้วเริ่มทำสมาธิบำเพ็ญเพียร
พลังวิญญาณของฟ้าดินที่นี่เบาบาง สำหรับผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาแล้ว การบำเพ็ญเพียรที่นี่ปีหนึ่งอาจจะไม่เท่าวันหนึ่งในโลกก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
แต่เขาเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้วในตอนที่ถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะ เขาเชื่อว่าตนเองจะก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่น
ยังคงเป็นประโยคนั้น ขอเพียงมีชีวิตอยู่มานานมากพอ ต่อให้ไม่ค่อยได้ลงมาจากเขา ก็ยังเข้าใจอะไรมากกว่าผู้อื่น
……
……
เวลาผ่านไปอย่างเรียบง่าย
ทุกวันจิ๋งจิ่วล้วนแต่บำเพ็ญเพียร แต่สำหรับเหล่านางกำนัลและขันทีแล้ว นั่นคือการนอนหลับ
แน่นอนว่าต้องมีคนรู้สึกเป็นห่วง ทุกวันองค์ชายนอนหลับนานขนาดนี้ หรือพระองค์จะทรงป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า แต่หมอหลวงมาตรวจสองสามครั้งก็มิได้พบความผิดปกติใดๆ
สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว การถูกแม่นมป้อนนมและการขับถ่ายนั้นมิใช่ปัญหาอะไร ขอเพียงตัดขาดการรับรู้ทั้งหก ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ทำได้โดยมิได้รู้สึกอะไร
ปัญหาอยู่ที่ว่าใบหน้าในชาตินี้ของเขายังคงงดงาม ตอนนี้เป็นทารก ย่อมต้องดูน่ารักน่าชังเป็นพิเศษ ราวรูปปั้นที่แกะสลักขึ้นมาจากหยก
เวลาที่เขาบำเพ็ญเพียร นางกำนัลและขันทีเหล่านั้นจะนึกว่าเขาหลับ พวกเขามักจะแอบมาจับแก้มหรือร่างกายส่วนอื่นของเขา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จิ๋งจิ่วเคยคิดอย่างจริงจัง สุดท้ายตัดสินใจที่จะทนต่อไป
เห็นได้ชัดว่าดินแดนแห่งความฝันในคันฉ่องฟ้ากระจ่างนั้นก็คือการลงมาเหยียบในโลกปุถุชน
พวกเขาซึ่งเป็นผู้แสวงมรรคาน่าจะต้องมีชีวิตอยู่ที่นี่อีกหลายปี เดิมการอดทนและทำความเข้าใจชีวิตในโลกปุถุชนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้แจ้งอยู่แล้ว
จิ๋งจิ่วคิดมาตลอดว่าการลงมาเหยียบในโลกปุถุชนของวัดกั่วเฉิงเป็นเรื่องที่โง่เขลา แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งอะไร ที่ต้องเลือกอดทนเอาไว้ ก็เป็นเพราะเขาไม่มีวิธีที่จะปฏิเสธ
ในวันเวลาหลังจากนั้นเขาก็บำเพ็ญเพียรอย่างตั้งใจอยู่ในวัง บางครั้งก็จะร้องไห้ขึ้นมาพอเป็นพิธี
หลังผ่านไปหนึ่งปี เขาคิดว่าเด็กทารกธรรมดาน่าจะสามารถเริ่มพูดได้แล้ว เขาจึงเอ่ยปากพูดออกมา ทำเอานางกำนัลและนางกำนัลอาวุโสที่คอยรับใช้เขาตกใจไปตามๆ กัน
ดูแล้วอาจเป็นเพราะเขาออกเสียงได้ชัดเจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นคำที่เขาพูดออกมาเป็นคำแรกกลับมิใช่แม่หรือว่าพ่อ หรือว่าคำที่มีเสียงใกล้เคียง หากแต่เป็นคำว่า ‘ร้อน’
นางกำนัลและนางกำนัลอาวุโสฟังอยู่หลายครั้ง ก่อนจะมั่นใจว่าเขาพูดคำว่าร้อน ความหมายที่ต้องการจะบอกก็คือความหมายนี้
คนที่อยู่ในวังเป็นห่วงว่าองค์ชายจะเป็นหวัด จึงมักจะเอาผ้ามาพันตัวเขาไว้จนเป็นเหมือนขนมบ๊ะจ่าง กระทั่งช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิก็ยังเป็นเช่นนี้
ตอนนี้เขาไม่มีปราณก่อกำเนิด ย่อมไม่สามารถต้านทานความร้อนและความหนาวได้ ในเวลานี้เขารู้สึกร้อนจนใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
ในช่วงเวลาหนึ่งปีหลังจากนั้น นอกจากบำเพ็ญเพียรแล้วจิ๋งจิ่วยังทำอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก
ในวันหนึ่งเขามองเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเล่นหมากล้อม พบว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของพวกนางไม่ได้ด้อยไปกว่าถงเหยียนเท่าไหร่นัก
เขาทำการทดสอบอะไรบางอย่าง นางกำนัลและนางกำนัลอาวุโสเหล่านั้นไม่ผ่านการทดสอบ
นี่ทำให้เขามั่นใจว่าคนที่นี่มิได้มีชีวิตอยู่จริง ที่นี่เป็นแค่ดินแดนแห่งความฝันแห่งหนึ่ง
สำหรับผู้แสวงมรรคาคนอื่นแล้ว ปัญหานี้อาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรนัก แต่เขาคิดว่ามันสำคัญอย่างมาก
ในเวลาหนึ่งปีนี้เขาเองก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ของตนทั้งหมดแล้ว
เขาคือองค์ชายเก้าแห่งแคว้นฉู่
……………………………………………………………………