บทที่ 302 กลุ่มสหายน่าอุ่นใจ (2)
เอ๋ นักบวชเต๋าไม่ได้พูดถึงข้า ดูท่าว่า ‘วิถีแมว’ นี้จะทำให้เขาหวาดระแวงขึ้นมากจริงๆ ก็อย่างว่า มนุษย์ไม่มีทางลึกลับไปมากกว่านี้แล้ว ถ้ามีความลึกลับแต่ยังให้คนอื่นรู้ตัวอีก แบบนี้ก็โดนจับได้ง่ายๆ น่ะสิ สวี่ชีอันหัวเราะหึๆ
จากนั้นเขาก็มองไปที่จงหลี “อิ่มแล้วหรือ?”
“อืม!” จงหลีพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู
“ข้ามีความคิดบ้าบิ่นอย่างหนึ่ง” สวี่ชีอันพูดขึ้นทันที
“ข้าแนะนำให้เจ้าเก็บความคิดบ้าบิ่นนั่นไปซะ” จงหลีเอ่ยเตือน
ครู่ต่อมา ศิษย์พี่ห้าแห่งสำนักโหราจารย์ผู้ตัวสั่นงุนงงก็ถูกสวี่ชีอันลากไปยังถนน
“เจ้าแค่ชี้ทางไปสุ่มๆ โดยใช้ความสามารถของศาสดาพยากรณ์ ข้าคิดว่าอาจจะทำให้พวกเราหาเบาะแสพบก็ได้”
“จากประสบการณ์ของข้า ถึงจะเจอเบาะแส แต่สุดท้ายก็จะทำให้เรื่องเดินไปเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมนะ” จงหลีเอ่ยเตือน
แสงแดดส่องลงมาบนร่างของนาง ทำให้เส้นผมทอประกายงดงามเปล่งปลั่ง ความจริงนางเป็นผู้หญิงที่สะอาดเรียบร้อยมากนะ เพียงแต่ชอบทำตัวโทรมๆ ไปหน่อย จึงทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่านางสกปรก
“แต่เจ้าอย่าลืมเสียว่าข้าเป็นคนที่โชคดีที่สุดและสามารถลบล้างโชคร้ายของเจ้าได้ส่วนหนึ่งด้วย”
จงหลีถูกเขาเกลี้ยกล่อม อีกทั้งตัวนางยังเป็นสตรีหัวอ่อนและขาดความคิดที่เป็นของตัวเอง
นางจึงก้มหน้าลง นัยน์ตามีแสงใสรวมกันเป็นลวดลายประหลาด ครู่หนึ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงว่างเปล่าชัดเจน “ไปทิศใต้สามลี้ เบาะแสที่ต้องการอยู่ที่ คนสวมเสื้อผ้าสีคราม…ผู้ชาย…หวาดวิตก…”
พูดจบ นางก็ล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“ศาสดาพยากรณ์สามารถทำนายได้เพียงวันละครั้ง จากนั้นความโชคร้ายจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หากไม่มีโชคใหญ่หรือพรจากอาคมพิเศษล่ะก็ ข้าคงมีชีวิตไม่ถึงสองชั่วยามแน่”
เดิมทีศาสดาพยากรณ์ก็โชคร้ายอยู่แล้ว และหลังจากเปิดเผยความลับสวรรค์ก็จะถูกสวรรค์ประณามทันที เมื่อเชื่อมโยงกับรูปแบบการทำงานของท่านโหราจารย์ ข้ารู้สึกว่าระบบฝึกตนของโหรเป็นเพียงจอมเจ้าเล่ห์ผู้มีแผนร้ายต่อสวรรค์ จำพวกคนปากเปราะที่ลอบวางแผนอยู่ในที่ลับอะไรทำนองนั้นเลย…ขณะที่สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ เขาก็แบกจงหลีไว้บนหลัง
“ข้าจะพาเจ้าไป”
ยัยคนนี้ก็มีของดีอยู่นี่นา! สัมผัสจากด้านหลังและความนุ่มนิ่มอวบอิ่มที่ฝ่ามือทำให้เขาเอ่ยเสริมหนึ่งประโยคในใจ
เส้นทางสามลี้ ระหว่างทางก็ไม่สะดวกนัก สวี่ชีอันโดนม้าบนถนนวิ่งมาชนหนึ่งครั้ง รถม้าเสียการควบคุมกะทันหันไปสองรอบ และมีชาวยุทธ์คนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าจงหลีเป็นภรรยาของตนที่แอบหนีไปกับชายอื่น จึงโมโหคิดจะลงมือสังหารเข้าให้
ระยะทางสามลี้ เหตุใดเดินๆ อยู่กลับให้ความรู้สึกเหมือนไปเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีปได้ล่ะ สวรรค์ ผู้หญิงคนนี้ดวงซวยจริงๆ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ
“ขออภัย ข้าเป็นภาระให้เจ้าแล้ว” จงหลีกล่าว
“เรื่องเล็กน้อย ข้าสวี่ชีอันคนนี้ไม่เคยพบเจออุปสรรคใดบ้างล่ะ ไม่มีทางโทษเจ้าได้หรอก” สวี่ชีอันบอก
“ข้า ข้าจะใช้วิชามองปราณ…” นางกระซิบเสียงเบา
“…”
สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขามองไปรอบๆ และเห็นชายในชุดสีครามนั่งไขว่ขาอยู่ริมถนน ด้านหน้าของเขามีป้ายแผ่นหนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่า
‘ยุทธภพต้องการความช่วยเหลือ ขอให้ยอดฝีมือระดับเจ็ดขึ้นไปยื่นมือช่วยด้วย จะให้ค่าตอบแทนอย่างหนัก แต่หากไม่จริงใจอย่ามาก่อกวน’
ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้คืออะไรกัน…สวี่ชีอันเข้าไปใกล้แล้วจ้องมองดูบุรุษในชุดครามพักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พี่ชาย มีปัญหาอะไรหรือ”
ชายในชุดสีครามมองมาที่เขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขาไม่ได้สนใจจะตอบ แต่ชี้ไปที่ป้ายไม้
สวี่ชีอันกำลังจะเอ่ยคำ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนลั่นดังมาจากด้านหลัง “เจ้าตัวบัดซบ เจ้าฆ่าครอบครัวของข้า วันนี้ข้าจะใช้เลือดของเจ้ามาชดเชยให้ได้”
พอหันไปมองก็เห็นชาวยุทธ์ร่างกำยำถือดาบเหล็กด้ามหนึ่งแล้ววิ่งเข้ามาด้วยความโมโหถึงขีดสุด
“ฮ่ะ!”
ดาบเหล็กจะฟันลงมา
ชายชุดครามหน้าเปลี่ยนสี เขาตะโกนบอก “ระวัง”
ไม่คิดว่าสวี่ชีอันจะไม่ยอมหลบ แต่กลับปล่อยให้ดาบเหล็กฟันลงมาที่ศีรษะจนมีเสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น แต่คมของดาบเหล็กกลับบิ่นลง
ชายชุดครามเบิกตากว้างแล้วเอ่ยพึมพำ “ระ ระดับหก?!”
ชาวยุทธ์นัยน์ตาดุร้ายก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าตนจำคนผิด เขาดันฟันกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกเสียได้ ใบหน้าจึงซีดเผือด
เขารีบคุกเข่าก้มหัวคำนับ “ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยจำคนผิดไป ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่”
“ไสหัวไป”
สวี่ชีอันใช้เท้าเตะเข้ากระเด็น จากนั้นก็หันมาหาชายชุดคราม “ทักษะเล็กน้อยเช่นนี้ของข้า พอจะช่วยได้หรือไม่”
“พอๆๆ…”
ชายชุดครามมีความสุขมาก ความตื่นเต้นฉายอยู่เต็มใบหน้า “ขอให้ท่านจอมยุทธ์โปรดช่วยเหลือด้วย เรื่องค่าตอบแทนสามารถพูดคุยกันได้ พูดคุยกันได้เลย”
เขาสงสัยว่าตนกำลังฝันอยู่ เขากลับได้เจอจอมยุทธ์ขั้นหกตัวเป็นๆ เสียนี่ โชคตกจากฟ้าคงเป็นเช่นนี้สินะ
“ท่านจอมยุทธ์ เราไปคุยกันที่อื่นเถิด” ชายชุดครามกล่าว
หากเปลี่ยนสถานที่ก็จะเจอปัญหาอื่นอีก รั้งอยู่ที่เดิมเถอะนะ…จู่ๆ สวี่ชีอันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจงหลีถึงไม่ปีนออกมาจากหลุม
เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด การรั้งอยู่ที่เดิมนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด นี่ช่างเป็นทักษะที่ทำให้เจ็บปวดใจจริงๆ
“ได้ ได้เลย…” ชายชุดครามมีแต่ต้องทำตามนั้น เขากระแอมไอแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าน้อยมีนามว่าเฉียนโหย่ว เป็นต้นหนของกลุ่มโฮ่วถู่”
ชื่อดี! สวี่ชีอันสงสัย “กลุ่มโฮ่วถู่?”
ชายชุดครามเอ่ยอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “งานของพวกเราคือขุดสุสานและสถานที่โบราณ แล้วนำสิ่งของที่อยู่ในนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก”
อ้อๆ โจรปล้นสุสานนั่นเอง ไม่สิ พนักงานขุดสุสานต่างหาก! สวี่ชีอันนึกได้ทันที
เฉียนโหย่วสังเกตดูสวี่ชีอัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีอาการต่อต้านก็เอ่ยพูดต่อ “ประมาณปลายปีก่อน เจ้าหน้าที่ในกลุ่มเราพบว่านอกเมืองเซียงโจวมีชัยภูมิที่เป็นฮวงจุ้ยทองคำอยู่ ด้านล่างจะต้องมีสุสานใหญ่ซ่อนอยู่แน่นอน พอขุดเสร็จแล้วก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่รองหัวหน้าของพวกเรากล่าวว่าปราณสกปรกในสุสานนั้นน่ากลัวมาก เกรงว่าจะมีปีศาจอาศัยอยู่ พวกเรากลุ่มโฮ่วถู่คงจัดการเพียงลำพังไม่ได้แน่…”
“เดี๋ยวนะ!” สวี่ชีอันร้องบอกแล้วจ้องมองเขาพร้อมถามกลับ “เหตุใดรองหัวหน้าของเจ้าถึงรู้ว่าปราณสกปรกในสุสานน่ากลัวมากล่ะ”
เฉียนโหย่วยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “รองหัวหน้าคนนี้ของกลุ่มโฮ่วถู่ของพวกเราเป็นโหร โหรในยุทธภพที่หาตัวจับยากอย่างไรล่ะ”
โหร?! สวี่ชีอันมองไปที่จงหลีด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของนางถูกซ่อนอยู่ใต้เส้นผมยุ่งเหยิงจึงมองไม่เห็นสีหน้า สวี่ชีอันจำได้ว่าเขาเคยสอบถามเรื่องนี้ในพรรคฟ้าดินมาก่อน แม้ว่าระบบฝึกตนของโหรจะมีอายุเพียงหกร้อยปี แต่หกร้อยปีนั้นสั้นมากเมื่อเทียบกับระบบฝึกตนอื่นๆ
ปัจจุบันชะตาแผ่นดินของต้าฟ่งก็มีอยู่เพียงหกร้อยปีเท่านั้น
แต่นอกจากสำนักโหราจารย์แล้ว จิ่วโจวก็ยังมีโหรนอกสำนักปรากฏอยู่เหมือนกัน
“อยู่ระดับใดหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยระดับเจ็ด” เฉียนโหย่วตอบกลับ
อย่างที่คิด สำหรับโหรนอกสำนักนั้น ระดับเจ็ดก็เกือบจะเท่ากับระดับสูงสุดอยู่แล้ว นักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ และต้องได้รับคำวิจารณ์ที่ ‘ดีเยี่ยม’ จากชาวบ้าน นี่จึงเป็นเงื่อนไขที่โหรข้างนอกยากจะทำได้
สวี่ชีอันพยักหน้า “เจ้าว่าต่อเถอะ”
“พวกเราเตรียมการมาสามเดือนเต็ม สรรหายอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศ เตรียมอุปกรณ์พร้อมสรรพ ในนั้นยังมีวัตถุทรงพลังที่สามารถควบคุมปราณหยินในสุสานได้ด้วย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ก็เตรียมการพร้อมทุกอย่าง เราพาคนเข้าไปในสุสาน แต่สุดท้าย…”
เฉียนโหย่วค่อยๆ หน้าซีดเผือด แววตาฉายความวิตกกังวล
“สุดท้ายพวกหัวหน้าก็ไม่ได้กลับมาอีก ข้ารู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาแน่ๆ จนใจที่ความสามารถของข้าต่ำ ไม่มีแรงกำลัง ทำได้เพียงเรียกหายอดฝีมือต่อไปเพื่อเข้าไปช่วยพวกเขา”
สุสานแห่งนั้นดูแล้วอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่มเรือคว่ำในหนองเสียได้…อืม ปกติพวกเจ้าหน้าที่ราชการไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ ถึงขั้นอาจจะจับกุมพวกเขาได้ ดังนั้นจึงต้องมา ‘ตั้งแผง’ ขอความช่วยเหลือแบบนี้…เดี๋ยวนะ!
สวี่ชีอันใจสั่นสะท้านแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าได้ตัวยอดฝีมือแล้ว เอ่อ ยอดฝีมือผู้นั้นคือหญิงสาวชาวซินเจียงตอนใต้ที่มีพลังฝึกตนไม่เลวหรือไม่”
เฉียนโหย่วมองเขาอย่างสงสัย “ท่านจอมยุทธ์รู้ได้เช่นไรหรือ นางเป็นหญิงสาวชาวซินเจียงตอนใต้จริงๆ ซ้ำยังมีพลังเหลือล้นนัก นางเดินทางพันลี้มาจากซินเจียงตอนใต้ แต่ไม่มีค่าเดินทาง จึงหิวโหยมาสามวันสามคืนแล้ว หัวหน้าจึงเชิญให้นางกินข้าวแล้วรับปากจะพานางไปที่เมืองหลวง โดยระหว่างทางจะออกค่าอาหารและที่พักให้ด้วย นางจึงรับปากจะเข้าไปในสุสานกับพวกเรา”
ที่แท้ก็เช่นนี้ มิน่าคำทำนายของจงหลีถึงได้ชี้มายังพี่ชายคนนี้…ปรากฏว่าหมายเลขห้าไม่ได้ถูกจับตัวไป แต่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในสุสาน…แต่เหตุใดชิ้นส่วนหนังสือปฐพีถึงถูกปิดกั้นเล่า?
เพราะเห็นแก่อาหารและเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้จึงได้ตามคนเขาไปที่สุสานจริงๆ นี่สินะที่เรียกว่า พวกออร์คไม่เคยเป็นทาส ยกเว้นจะมีอาหารและที่อยู่[1]
ความคิดของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยคำสบถบัดซบ
เมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน เฉียนโหย่วก็รีบเอ่ยขึ้น “ในสุสานมีสมบัติอยู่ ขอเพียงท่านจอมยุทธ์ยอมช่วยเหลือ ไม่ว่าจะได้สมบัติอะไร พวกเรากลุ่มโฮ่วถู่ก็จะมอบตอบแทนให้อย่างหนัก”
สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “ในเมื่อไม่มีหนทาง ความจริงการไปรายงานกับทางการก็น่าจะปลอดภัยกว่านะ”
“หากรายงานต่อทางการ ข้าน้อยก็จะถูกจับ ทางการก็จะไม่รีบร้อนไปช่วยคน แบบนี้ไม่ปลอดภัยหรอกขอรับ” เฉียนโหย่วส่ายหน้ารัว
“เช่นนั้นข้ารับงานนี้” สวี่ชีอันพยักหน้า
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉียนโหย่วก็ตามจอมยุทธ์แข็งแกร่งระดับหกผู้นั้นออกจากเมือง แต่ทางที่ไปนั้นไม่ใช่ภูเขาทางใต้ ทว่าเป็นทางเหนือ
เฉียนโหย่วเตือนเขาหลายครั้งแล้วว่าเดินมาทางผิด เขาก็ไม่สนใจ เพียงอธิบายเสียงเรียบว่า ‘จะไปหาเพื่อนให้มาช่วย’
ระหว่างทาง เฉียนโหย่วก็เปลี่ยนจากความเชื่อมั่นเต็มหัวใจไปเป็นตัวสั่นงุนงง…เหตุผลก็คือ ยอดฝีมือระดับหกผู้นี้ช่างโชคร้ายจริงๆ
เดี๋ยวก็ถูกรถม้าวิ่งมาชน เดี๋ยวก็ถูกแก้แค้นผิดคน เดี๋ยวก็ถูกทางการเข้าใจผิดว่าเป็นโจร จึงจะจับตัวเพื่อไปรับโทษ
หลายครั้งก็กระทบมาถึงตัวเอง
‘นี่ไม่ใช่ลาภลอยจากฟ้าแล้ว หากคนเช่นนี้เข้าไปในสุสานจะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ คงไม่ใช่ว่าช่วยคนไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นภาระของพวกหัวหน้าหรอกนะ…’
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉียนโหย่วก็คิดจะหนี
“เจ้าไปรอที่ไกลๆ พยายามอยู่ให้ไกลที่สุดแล้วปิดหูเอาไว้” สวี่ชีอันเอ่ยสั่ง
“ได้ขอรับ!”
เฉียนโหย่วตอบรับแล้วผลุบหายเข้าไปในป่า จากนั้นก็จากไปโดยไม่โผล่มาแม้แต่หัว
‘แม้ว่าพลังของคนผู้นี้จะแข็งแกร่ง แต่เขาโชคร้ายจริงๆ โชคร้ายเสียจนแม้แต่ข้าก็ยังมองเห็นปัญหา…หลังจากกลับเข้าเมืองแล้วก็ค่อยเปลี่ยนที่ตั้งแผงแล้วกัน…จะต้องช่วยพวกหัวหน้าให้ได้ ข้าจะต้องหาวิธีช่วยเหลือพวกเขา’
เฉียนโหย่วมีจิตใจหนักอึ้ง แต่จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น เสียงอึกทึกกัมปนาทจนทำให้ป่าสั่นสะเทือน
ทางด้านหน้าของเขามืดบอด เลือดลมพลุ่งพล่าน หูมีเสียงอึกทึก เขาจึงรีบปิดหูแล้วนั่งลงทันที
ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงค่อยๆ ฟื้นกำลังแล้วตบหูที่เจ็บปวดของตน
“เกิดอะไรขึ้น?” เฉียนโหย่วคิดอย่างหวาดกลัว
ตอนนี้เองเขาก็กลับมาได้ยินเสียงตามปกติแล้ว พร้อมกับได้ยินเสียงหวีดแหลมเบาบาง จึงอดเงยหน้ามองไม่ได้ บนฟ้าประกายแสงจากกระบี่ทะลวงมาก่อน จากนั้นก็เป็นชายหนุ่มชุดครามที่ยืนอยู่บนกระบี่
อีกฝั่งหนึ่ง นกกระเรียนตัวหนึ่งสะบัดปีกบินโผเข้ามา บนตัวนกกระเรียนมีนักบวชเต๋าชรานั่งอยู่
และพวกเขาก็ไปรวมตัวกันที่ยอดฝีมือระดับหกผู้โชคร้ายคนนั้น
“ทะ เทพผู้ช่วยเหลือ…” เฉียนโหย่วพึมพำ
เขาไม่คิดเลยว่ายอดฝีมือที่บังเอิญเจอกันข้างถนนคนนั้นไม่ใช่แค่มีระดับหกอย่างเดียว แต่ยังมีสหายผู้ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดินอยู่อีก นี่เขาเก็บสมบัติได้ชัดๆ
‘ถ้ามียอดฝีมือหลายคนมาช่วยกัน จะต้องช่วยพวกหัวหน้าและพี่น้องทั้งหลายได้แน่’
‘กลับไป ต้องกลับไป ต้องกลับไปทันทีแล้วกอดขาใหญ่ๆ นั่นไว้ ต่อให้ตายก็จะไม่ปล่อย!’
ความคิดนี้ยึดมั่นเกินใคร
เพราะไม่อาจใช้ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเผยตัวตนออกไป และโชคดีที่เสียงคำรามค่อนข้างดัง จะส่งข่าวก็ต้องใช้การคำรามนี่ล่ะ…สวี่ชีอันมองไปยังนักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่นที่รีบมาหาแล้วเอ่ยว่า
“ไต้ซือเหิงหย่วนยังอยู่ในเมือง ท่านนักบวชเต๋า ช่วยบอกเขาหน่อยสิ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกระโดดลงมาจากกระเรียนกระดาษแล้วหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาด้วย พร้อมกับเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เจ้าเจอเบาะแสแล้วหรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นก็มองสวี่ชีอัน
“มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย” สวี่ชีอันบ่นพึมพำ “ข่าวดีคือ ข้ารู้ว่าเพื่อนตัวน้อยคนนั้นอยู่ที่ใด นางไม่ได้ถูกเต๋ามารของนิกายปฐพีจับตัวไปหรอก แต่เจอปัญหาอื่นแทน”
“ปัญหาอะไร?” นักบวชเต๋าจินเหลียนถามต่อ
ตอนนี้เอง ไต้ซือเหิงหย่วนก็มาถึงแล้ว เขาได้ยินเสียงสิงโตคำรามดังขึ้นรางๆ จากในเมืองและรู้ว่าอาจเป็นสวี่ชีอันที่กำลังติดต่อกับทุกคน
เนื่องจากในเมืองมีผู้คนมากมาย เขาจึงไม่สะดวกจะใช้วิชาเพิ่มความเร็ว จึงทนมาจนออกจากเมืองได้แล้วจึงพุ่งทะยานเต็มกำลัง
เมื่อรู้ว่าสวี่ชีอันมีเบาะแสของหมายเลขห้า เหิงหย่วนก็ประนมมือขึ้นแล้วเอ่ยนามพระพุทธเจ้าด้วยความยินดี จากนั้นก็มองไปยังสวี่ชีอันอย่างรอคอย
“นางยังอยู่ในเขตเมืองเซียงโจวและไม่ได้พบกับเต๋ามารนิกายปฐพี” สวี่ชีอันชี้ไปทางทิศใต้แล้วเอ่ยเสียงขรึม “แต่นางเข้าไปในสุสาน”
เข้าไปในสุสาน?!
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของทั้งสามคน พวกเขาต่างก็พากันนิ่งงันไปเสียครึ่งค่อนวัน
สวี่ชีอันมองเห็นเฉียนโหย่วกลับมาแต่ไกล สีหน้าตื่นเต้น เขาทั้งวิ่งและคลานมาพร้อมหัวเราะ “พอดีเลย ท่านนักบวชเต๋าสอบถามเองได้เลย”
หลังจากสอบถาม พวกนักบวชเต๋าจินเหลียนสามคนก็ไร้ความสงสัยอีก พวกเขายอมรับเรื่องที่หมายเลขห้าลงไปในสุสานได้แล้ว
“ท่านนักบวชเต๋า หากหมายเลขห้าอยู่ในสุสาน เช่นนั้นชิ้นส่วนหนังสือปฐพีถูกปิดกั้นได้อย่างไร” ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ว
“นอกจากวิชาลับของนิกายปฐพีจะสามารถปิดผนึกชิ้นส่วนหนังสือปฐพีได้แล้ว ก็ยังมีวิธีการอื่นที่ทำได้เช่นกันเพียงแต่ออกจะรุนแรงอยู่สักหน่อย” นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปทางใต้แล้วหรี่ตาลง
“ในสุสานจะต้องมีค่ายกลใหญ่ที่ปิดกั้นชิ้นส่วนหนังสือปฐพีได้แน่ จึงทำให้นางไม่อาจรับข้อความจากพวกเรา”
ที่แท้ก็เป็นเพราะไม่มีสัญญาณ…สวี่ชีอันกล่าวในใจ จากนั้น เขาก็นึกถึงรายละเอียดได้ ในสุสานมีค่ายกลใหญ่ และทุกคนรู้ดีว่าสำนักโหราจารย์เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกล
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ” นักบวชเต๋าจินเหลียนรอไม่ไหว
“ไม่ได้!”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “เมื่อกี้ข้าบอกไปแล้วว่ามีข่าวร้ายหนึ่งเรื่อง”
ทั้งสามพลันหันหน้ามามองเขาทันที
เมื่อเผชิญกับสายตาของพวกเขา สวี่ชีอันก็มีสีหน้าจริงจัง “จงหลีใช้พลังทำนายออกมาเพื่อหาเบาะแส ตอนนี้จึงอยู่ในสภาวะประสบเคราะห์”
ทั้งสามมองไปที่จงหลี
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ในเมื่อรู้แล้วว่าหมายเลขห้าอยู่ที่ไหน เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ข้าคิดว่าพวกเราควรพักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยลงไปที่สุสาน”
ไต้ซือเหิงหย่วนประนมมือ “อาตมาก็คิดเช่นนั้น”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า “เยี่ยม เยี่ยมมาก!”
ความปรารถนาต่อความอยู่รอดของทุกคนแรงกล้ามาก ล้วนแต่เป็นสหายที่น่าอุ่นใจทั้งนั้น ไม่บังคับหรือชวนหาเรื่องใส่ตัว ช่างดีจริงๆ…สวี่ชีอันโล่งใจมาก
หลังจากนั้นเขาก็ตกตะลึง รู้สึกว่าประโยคนี้คุ้นมาก เหมือนตนเพิ่งจะพูดออกไปไม่นานนี้เอง
……………………………………………………….
[1] พวกออร์คไม่เคยเป็นทาส ยกเว้นจะมีอาหารและที่อยู่ มาจากคำพูดในเกม World of Warcraft: Warlords of Draenor