บทที่ 1335+1336

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1335+1336 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1335 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 4

แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเล็ก สัตว์ร้ายเหล่านี้ล้วนมีอายุหลายพันปีแล้ว แต่ลู่อู๋น้อยเพิ่งถือกำเนิดได้ไม่ถึงสามปีเลย…

มองเห็นคนฝ่ายตนได้รับบาดเจ็บไปทีละคนๆ กู้ซีจิ่วก็ร้อนใจ ทว่าไม่มีวิธีในยามนี้

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ปิดตาย ต่อให้คนเหล่านี้ละทิ้งการต่อสู้คิดหนีเอาชีวิตรอดก็ไร้ซึ่งที่หลบหนี!

ถึงแม้ฝูงชนจะไม่รู้จักเหยี่ยวนิลกาฬพวกนี้ แต่มองจากแรงกดดันที่มันสำแดงออกมาก็ทราบได้ว่าสัตว์ชนิดนี้ไม่ธรรมดา

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาทั้งหลายต้องล่มจมกันหมด สุดท้ายจะไม่เหลือรอดเลยสักคน…

ประหลาดนัก ที่นี่ไม่เคยมีสัตว์ระดับแปดเข้ามาชั่วนานตาปีแล้ว เหตุใดระยะนี้ถึงปรากฏออกมาถี่ขนาดนี้? ที่แท้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่?!

ระหว่างกันต่อสู้โรมรันพันตู ลู่อู๋น้อยโจมตีใส่เหยี่ยวนิลกาฬตัวหนึ่งอีกครั้ง เรื่องที่ลู่อู๋น้อยชอบกระทำที่สุดก็คือข่วนดวงตาเหยี่ยว

เหยี่ยวตัวนั้นไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่กลับปกป้องดวงตาทั้งสองข้างยิ่งนัก เมื่อลู่อู๋น้อยข่วนตาอยู่เนืองๆ เห็นได้ชัดว่าไปยั่วโทสะมันเข้าแล้ว

เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นก็ค่อนข้างมีสติปัญญาเช่นกัน เริ่มแรกมันไม่ค่อยแยแสลู่อู๋น้อยเท่าไหร่ ราวกับไม่สังเกตเห็นการมีอยู่ของมัน เพียงแต่ลู่อู๋น้อยค่อนข้างหลงระเริงอยู่บ้าง หลังจากข่วนได้ครั้งหนึ่งแล้วยังคิดจะข่วนเป็นครั้งที่สองอีก เหยี่ยวตัวนี้จึงตะปบกรงเล็บทันที ตะครุบหางอันหนึ่งของลู่อู๋น้อยไว้ได้!

ลู่อู๋น้อยหวีดร้องเสียงแหลม คิดจะหนีอีกครั้งก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว!

เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นกู่ร้องเสียงยาว ไม่สนใจศาสตราวุธของคนอื่นๆ ที่โจมตีเข้ามา กรงเล็บทั้งสองดึงลู่อู๋น้อยไว้หมายจะฉีกกระชากเป็นสองซีก!

ลู่อู๋น้อยตกใจจนอกสั่นขวัญหาย ยังไม่ได้ทันได้กรีดร้องอีกครั้ง เงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันวูบไหวขึ้นเบื้องหน้า กระบี่เล่มหนึ่งแทงเข้าที่ตาของเหยี่ยวนิลกาฬ!

เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นสะดุ้งโหยง ใช้กรงเล็บข้างหนึ่งป้องกันดวงตาตามสัญชาตญาณ ส่วนลู่อู๋น้อยที่ถูกตะครุบอยู่ในกรงเล็บอีกข้างของมันก็สบโอกาสหมุนตัว พุ่งเข้ากัดน่องมันฟันคมฝังเข้าสู่เนื้อ เจ็บปวดจนเหยี่ยวนิลกาฬตัวนี้กู่ร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว และสะบัดกรงเล็บโยนลู่อู๋น้อยออกไป!

ลู่อู๋น้อยพลิกตัวกลางอากาศ เมื่อมองเห็นผู้ที่มาช่วยเหลือมันก็ร้อง ‘แอ้ว’ อย่างปรีดา แล้วโจมตีเข้าไปอีกครั้ง!

ผู้ที่ช่วยเหลือมันย่อมเป็นกู้ซีจิ่ว เธอโจมตีใส่เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นหลายครั้งดั่งพายุสลาตัน พลางร้องบอกว่า “จุดอ่อนของพวกมันคือดวงตา โจมตีดวงตาของพวกมัน! ทุกคนโจมตีเข้าไปทีละคน!”

เธอเอ่ยถึงค่ายกลรูปแบบหนึ่งออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ให้ทุกคนสลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง

ยามนี้ถ้อยคำที่เธอกล่าวออกมาก็คือประกาศิต ฝูงชนรีบเปลี่ยนรูปแบบกระบวนค่ายตามที่เธอบอกทันที…

เมื่อรู้จุดอ่อนของพวกมัน อีกทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้แล้ว สถานการณ์ในสนามรบในที่สุดก็เริ่มพลิกกลับ

หลัวจั่นอวี่กับกู้ซีจิ่วรวมถึงยอดฝีมือขั้นแปดอีกสามคนเริ่มร่วมมือกันโจมตีตัวหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ยื้อยุดอยู่กับอีกสองตัวที่เหลือ ขอเพียงยืดหยัดไว้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็พอแล้ว

ทางฝั่งของกู้ซีจิ่วกลายเป็นสนามรบหลักแล้ว มนุษย์ห้าคนล้อมกรอบวนเวียนอยู่รอบๆ เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นดั่งโคมม้าวิ่ง หลังจากผ่านไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา กู้ซีจิ่วพลันแทงกระบี่ออกไปทันใด แสงกระบี่พุ่งทะลุเข้าไปในดวงตาของเหยี่ยวนิลกาฬ!

เหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้นแผดร้องอย่างน่าเวทนาคราหนึ่ง ปีกและขาดิ้นพล่าน ประหนึ่งบ้าคลั่ง ถูกหลัวจั่นอวี่กับยอดฝีมืออีกสามคนจ้วงแทงอีกครั้ง ในที่สุดก็ร่วงลงพื้นลุกไม่ขึ้นอีก

กำราบไปแล้วหนึ่งตัว จิตใจของฝูงชนล้วนคึกคักอย่างยิ่ง

พวกกู้ซีจิ่วทั้งห้าไม่หยุดพักเลยสักครู่ รีบเข้ารวมกระบวนค่ายกลอีกด้านหนึ่งทันที ใช้วิธีเดียวกับที่โจมตีเหยี่ยวนิลกาฬตัวนั้น…

การต่อสู้ครั้งนี้ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย กู้ซีจิ่วมีประสบการณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้แสงกระบี่ของเธอจึงไม่ห่างจากดวงตาของเหยี่ยวพวกนั้นเลย เมื่อเห็นว่าสามารถจัดการตามวิธีการเดิมได้ เหยี่ยวนิลกาฬที่ถูกล้อมไว้ตัวนั้นพลันเชิดหน้ากู่ร้องเสียงแหลมยาวขึ้นมาในทันใด…

เสียงกู่ร้องนั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สั่นสะเทือนทั้งปฐพีให้โยกคลอนไปหมด หลังจากเสียงกู่ร้องของเหยี่ยวตัวนี้ผ่านพ้นไป ในส่วนลึกของภูเขาด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงร้องคำรามของเหล่าสิงสาราสัตว์แว่วมาเป็นระลอก

————————————————————-

บทที่ 1336 การกลับมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย 5

ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าดังสนั่นปานฟ้าคำรามที่แห่แหนมายังด้านนี้

ขบวนสัตว์ร้าย!

เหยี่ยวนิลกาฬตัวนี้ดึงดูดขบวนสัตว์ร้ายมา!

ในภูเขาด้านหลังของที่นี่มีสัตว์ร้ายอยู่มากมาย ยามปกติก็มีบ้างที่จับกลุ่มรวมฝูงกันมาโจมตีหมู่บ้าน แต่ยามที่มาโจมตีหมู่บ้านครานั้นเป็นสัตว์ร้ายชนิดเดียวเท่านั้น มากสุดก็แปดสิบเก้าสิบตัว ผู้คนติดตั้งกับดักต่างๆ ไว้รอบนอกของหมู่บ้าน ผนวกกับผู้คนจัดแนวป้องกันไว้ จึงตีให้พวกมันแตกพ่ายกลับไปได้ทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ครานี้แค่เหยี่ยวนิลกาฬอีกสองตัวที่เหลืออยู่ พวกเขาก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว ยามนี้ยังมีขบวนสัตว์ร้ายมาอีก!

เสียงครืนๆ เสมือนฟ้าคำราม ฟังจากเสียงนี้แล้ว เกรงว่าสัตว์ร้ายที่แห่แหนกันมาในครานี้อย่างน้อยๆ ก็สี่ห้าร้อยตัว! อีกทั้งเสียงฝีเท้ายุ่งเหยิงวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ที่มามิใช่แค่ชนิดเดียว…

ขบวนสัตว์ร้ายที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ปรากฏขึ้นที่ใดล้วนเป็นหายนะร้ายแรง ผ่านไปที่ใดล้วนไม่มีทางรอด

นับประสาอะไรกับหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขาที่มีคนแค่ไม่กี่สิบคนเล่า?

พวกเขาต่อกรกับเหยี่ยวนิลกาฬสองตัวนี้ก็กินแรงอย่างยิ่งแล้ว ยังมีขบวนสัตว์ร้ายมาอีก…

นี่สวรรค์ละทิ้งพวกเขาแล้วสินะ!

“หัวหน้า ทำอย่างไรดี?”

“หัวหน้า พวกเราถูกล้อมแล้ว!”

“หัวหน้า ครั้งนี้จบเห่แล้ว!”

บรรยากาศของความสิ้นหวังแพร่กระจายสู่ทุกคน ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะวิธีใดที่สามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดได้

“ขึ้นต้นไม้! พวกเราขึ้นต้นไม้!” หลัวจั่นอวี่ร้องตะโกน ถึงแม้บนต้นไม้จะอันตรายอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียส่วนใหญ่แล้วสัตว์ร้ายชนิดอื่นก็ปีนต้นไม้ไม่เป็น ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะดิ้นรนหาหนทางรอดได้!

ขณะที่ทุกคนกำลังจะทะยานขึ้นสู่ต้นไม้ยักษ์ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบางคนร้องตะโกน “สวรรค์! มีนกด้วย! มีอินทรีตาทอง!”

เสียงกระพือปีกดังพึ่บพั่บแว่วตามมา มี‘เมฆวิหค’ ผืนใหญ่จากภูเขาด้านหลังกำลังหลั่งไหลมายังด้านนี้ เมฆวิหคเหล่านี้ย่อมมิใช่ก้อนเมฆจริงๆ แต่เป็นฝูงนก! นกดุร้ายสารพัดชนิดรวมตัวกันเป็นฝูงนก!

ทั้งน้อยทั้งใหญ่มีถึงสองสามร้อยตัว บัดนี้เข้ามาใกล้ต้นไม้แล้ว บางคนที่สายตาเฉียบคมถึงขั้นที่มองชนิดของนกออกด้วยซ้ำ…

โดนจู่โจมจากทั่วสารทิศ ไร้หนทางหลบหนี! ครั้งนี้ไร้ทางหนีแล้วจริงๆ ทุกคนรู้สึกว่าเงาแห่งความตายเข้าปกคลุมเหนือศีรษะแล้ว สิ้นหวังแล้ว! นอกเหนือจากสิ้นหวังก็คือสิ้นหวัง!

หัวใจกู้ซีจิ่วแทบจะจมดิ่งลงไปแล้วเช่นกัน ครั้งนี้เธอก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน เธอมีวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา เธออาจพาสักคนสองคนหลบหนีไปได้ แต่ว่าคนที่เหลือล่ะ?

นี่สวรรค์ทอดทิ้งคนเหล่านี้แล้วหรือ?

“มารดามันเถอะ! สู้ตายแล้วกัน! พวกเราสู้ตายกันเถอะ!”

“ใช่แล้ว ฆ่าหนึ่งตัวคุ้มทุน ฆ่าสองตัวเป็นกำไรแล้ว!”

เมื่อสิ้นหวังจนถึงขีดสุด ทุกคนจึงฮึกเหิมขึ้นมา ฝูงชนฮึดสู้ยิ่งขึ้น…

ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง เสียงศาสตราวุธกระทบกัน เสียงสัตว์ร้องคำราม เสียงกระพือปีก เสียงฝีเท้าดังสนั่น…สารพัดเสียงผสมปนเปเข้าด้วยกัน ผู้ใดก็แทบจะฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายตะโกนอะไรอยู่ ค่อยๆ รุกคืบเข้ามาทีละน้อย เงาแห่งความตายเข้าปกคลุมหัวใจของผู้คน…

ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยสายหนึ่งก็ค่อยๆ แว่วมาจากขอบฟ้า

เสียงขลุ่ยดั่งสายลม ท่ามกลางเสียงที่สับสนวุ่นวายถึงเพียงนี้ก็ยังกระจ่างชัดอยู่ เสมือนแว่วอยู่ริมหูของทุกคน

เสียงขลุ่ยปานเสียงสวรรค์ แว่วสะท้อนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ชำระบ้างจิตใจคนให้ผ่องแผ้ว ราวกับบุปผาที่ผลิบานเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับแสงจันทราอ่อนจางบนนภาสูงอบอวลเมฆ ขจัดความมืดมิดทั้งหมดบนโลกไป…

หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงทันใด เงยหน้ามองไปตามเสียงขลุ่ย

บนต้นไม้ยักษ์ปรากฏคนผู้หนึ่งยืนสง่า อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์บนร่างดุจแสงจันทร์ที่โบกพลิ้ว เกศาดำปลิวไสวตามแรงลม แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกส่องแสงวาววามอยู่ท่ามกลางราตรี เขากำลังบรรเลงเพลงขลุ่ย มีประกายแสงเจ็ดสีผุดออกมาจากปลายนิ้วในขณะที่จรดบรรเลงท่วงทำนอง…

รอบกายเขาคล้ายโอบล้อมด้วยไอเมฆ รัศมีสีเงินอ่อนจางโอบล้อมอยู่รอบตัว ในรัศมีสีเงินนั้นคลายจะแฝงแสงพระพุทธเลือนรางเอาไว้ด้วย

—————————————————————