ตอนที่ 278-1 องค์ชายสิบ ม่อซู่อวิ๋น

ชายาเคียงหทัย

ที่เหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิงมาที่ตำหนักกะทันหันนั้น ย่อมมิได้มาเพื่อเยี่ยมเยียนเฉยๆ

เมื่อนั่งลงกันแล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนของพวกเราส่งข่าวมาว่า ดูเหมือนตระกูลหลิ่วจะรู้เรื่องบุตรชายของม่อจิ่งหลีแล้ว”

เฟิ่งจือเหยาเพิ่งกลับถึงเมืองหลวง ย่อมไม่รู้ว่าสองเดือนที่ผ่านมาเกิดเรื่องอันใดขึ้นในเมืองหลวงบ้าง จึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “บุตรชายของม่อจิ่งหลี? ใช่เด็กที่เกิดจากเยี่ยอิ๋งหรือไม่ ถูกคนจับตัวไปหรือ”

เหลิ่งเฮ่าอวี่ตบมือหัวเราะ “ข่าวเจ้าช่างล่าช้าเสียจริง ก่อนหน้านี้ ม่อจิ่งหลีเพิ่งได้ขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ เขากลับไปถึงตำหนักก็เตะบุตรชายเข้าทีหนึ่งจนตาย ถึงแม้ข่าวนี้จะถูกปิดไว้ไม่ให้แพร่ออกไป แต่ชนชั้นสูงในเมืองหลวงโดยมากต่างรู้กันดี”

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว เขามิใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจในทันที จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หากพูดเช่นนี้…ม่อจิ่งหลีก็เลี้ยงบุตรให้ผู้อื่นมาเปล่าๆ อยู่หลายปีเลยน่ะสิ เช่นนั้นยามนี้เป็นอย่างไร บุตรชายที่แท้จริงของเขาอยู่ในมือตระกูลหลิ่ว?”

“อาหลี เจ้าเห็นว่าอย่างไร” ม่อซิวเหยาหันไปเอ่ยถามเยี่ยหลี

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว คิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ข้าว่าเป็นไปได้ไม่มาก ม่อจิ่งฉีระวังตัวและขี้ระแวงมาก แม้แต่คนข้างกายก็ยังไม่เชื่อใจ ม่อจิ่งหลีเสียเวลาไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ม่อจิ่งฉีจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแนบเนียน จนแม้แต่ตระกูลหลิ่วก็ไม่อาจหาพบ อีกอย่าง…ช่วงเวลาก็ดูจะพอเหมาะพอเจาะจนเกินไป”

ม่อจิ่งฉีเพิ่งสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ทันได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ ตระกูลหลิ่วก็ปล่อยข่าวเรื่องบุตรชายเพียงคนเดียวของตำหนักหลีอ๋องออกมา จะไม่ทำให้คนคิดมากก็คงจะไม่ได้

ม่อซิวเหยาหันมองไปทางเหลิ่งเฮ่าอวี่

เหลิ่งเฮ่าอวี่ยักไหล่เอ่ยว่า “พวกเขาก็ไม่ได้ข่าวที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแต่ระยะนี้ ตระกูลหลิ่วก็ลอบมีความเคลื่อนไหวอยู่ไม่น้อย แค่พอรู้มาว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายของม่อจิ่งหลี ส่วนเรื่องที่ว่าเด็กคนนั้นจะใช่บุตรชายของม่อจิ่งหลีหรือไม่ ยังต้องใช้เวลา”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องให้คนไปสืบแล้ว เสียเวลา”

เหลิ่งเฮ่าอวี่มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

ม่อซิวเหยาเอ่ยถามว่า “ใช่หรือไม่ใช่ มีความหมายอันใดกับพวกเราหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ต่างอึ้งไป ใช่สินะ พวกเขามิได้คิดที่จะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียหน่อย เช่นนั้นเด็กผู้นั้นจะใช่บุตรชายของม่อจิ่งหลีจิรงหรือไม่ ก็หาได้มีความหมายอันใดกับพวกเขาตั้งแต่ต้น

ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น ยิ้มเอ่ยกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ว่า “หากเจ้ามีเวลา สู้ไปสืบเรื่องทางเป่ยจิ้งจะดีกว่า ถึงอย่างไรยามนี้เฟิ่งซานก็อยู่ที่เมืองหลวง กิจการของเจ้าในเมืองหลวงก็ปิดลงหมดแล้ว สู้ไปดูที่ด่านจื่อจิงหน่อยไม่ดีกว่าหรือ”

เหลิ่งเฮ่าอวี่ใจเต้นขึ้นมาทันที ยามนี้ด่านจื่นจิงกำลังอยู่ระหว่างการสู้รบ ถึงแม้จะมีองครักษ์ลับคอยลอบคุ้มครอง แต่เขาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลกับการอารักขาเหลิ่งจุ่นอยู่ดี

“ข้าไปด้วย” มู่หรงถิงรีบเอ่ยขึ้น

ถึงแม้เหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง แต่มู่หรงถิงไม่ถือว่าเป็น ม่อซิวเหยาจึงย่อมเข้าไปยุ่งกับมู่หรงถิงไม่ได้ นี่จึงเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเหลิ่งเฮ่าอวี่

เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ด่านจื่อจิงยามนี้อยู่ระหว่างทำศึก อันตรายเกินไป”

มู่หรงถิงพ่นลมหายใจออกทางจมูก “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยเห็นการสู้รบหรือ”

นางเติบโตมากับท่านพ่อที่ชายแดนมาตั้งแต่เล็กๆ อีกอย่าง เมื่อปีนั้นที่รักษาเมืองหย่งหลินไว้ นางก็มีส่วนร่วมด้วยนะจะบอกให้

“จวินหานอยู่ที่เมืองหลวงคนเดียว ไม่มีคนคอยดูแล เจ้าทำใจได้หรือ” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยถามต่อ

มู่หรงถิงขมวดคิ้ว เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาข้อหนึ่ง บุตรชายตั้งแต่เกิดมาโตถึงป่านนี้ ยังไม่เคยห่างกายนางมาก่อน

นางเลื่อนสายตาไปมองเยี่ยหลี ก่อนมู่หรงถิงจะตาเป็นประกาย มองเยี่ยหลีตาค้าง “หลีเอ๋อร์…”

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “หากเจ้าไม่กลัวว่าจวินหานจะถูกเฉินเอ๋อร์รังแก ก็ส่งมาเถิด”

เด็กคนหนึ่งคือเลี้ยง เด็กสองคนก็คือเลี้ยง อีกอย่างม่อตัวน้อยถึงแม้บางครั้งจะชอบขี้อ้อนติดคน แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเด็กที่เข้าใจอันใดได้ไม่เลว แทบไม่ต้องให้พวกเขาต้องเหนื่อยใจ

เพียงแต่ ไม่รู้เพราะเหตุใด ม่อตัวน้อยจึงปักใจว่าเหลิ่งจวินหานเป็นซาลาเปาน้อยที่อ่อนแอ จะรังแกอย่างไรก็ได้ไปเสียได้ ทุกคราที่ได้พบกัน ไม่หยิกก็หยอกอยู่เสมอ เยี่ยหลียังนึกสงสัยว่า ม่อตัวน้อยเอาความโกรธจากการที่ถูกเสด็จพ่อรังแกไปลงกับเหลิ่งจวินหานหรือไม่ ทุกคราที่ได้พบจวินหานน้อยที่ขาวอวบตัวนุ่มนิ่ม ก็จะถูกม่อตัวน้อยรังแกจนน้ำตารื้น แต่ก็ฝืนไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาทุกครั้ง จนเยี่ยหลียังนึกสงสารจับใจ

แต่กระนั้นเหลิ่งจวินหานก็มั่นใจว่าม่อตัวน้อยเป็นพี่ชายที่แสนดี ถูกรังแกแค่เพียงชั่วครู่ก็ลืม เมื่อได้พบกันคราต่อมาก็ยังคงเรียกพี่อวี้เฉิน พี่อวี้เฉินอย่างสนิทสนมเป็นที่สุด ก็ไม่แปลกที่ม่อตัวน้อยจะเรียกเขาว่า เหลิ่งเอ๋อน้อย ท่าทางเซ่อซ่าของเขา แม้แต่เหลิ่งเฮ่าอวี่ผู้เป็นบิดายังอดยกมือขึ้นปิดหน้าไม่ได้ เขาทำเวรทำกรรมไว้มากน้อยเพียงใดนะ ถึงได้มีบุตรชายที่เป็นเด็กเอ๋อเช่นนี้

“ไม่เป็นไร จวินหานถูกพวกข้าตามใจจนเกินไป นิสัยนุ่มนิ่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ผู้ใดมา ก็ดีเอามาไว้ที่บ้านเจ้าจะได้ช่วยสั่งสอนเขาให้ดี” มู่หรงถิงโบกมือพลางเอ่ยอย่างใจกว้าง

เมื่อผู้เป็นนายได้ตัดสินใจแล้ว คนเป็นลูกน้องอย่างเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม เพียงแต่เขายังมีสัญชาตญาณของความเป็นบิดาอยู่ จึงหันไปกำชับกับม่อซิวเหยาว่า “อย่าให้ซื่อจื่อน้อยรังแกบุตรชายข้าจนเกินไปนะ”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการได้อย่างนั้นหรือ เขาเป็นติ้งอ๋อง มิใช่แม่นมเลี้ยงเด็กสักหน่อย

“เหลิ่งเอ้อร์ เจ้าคงมิได้คิดว่าข้าให้เจ้าไปเยี่ยมญาติกระมัง” เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเหลิ่งเฮ่าอวี่ ม่อซิวเหยาก็เอ่ยเรียบๆ ขึ้น

ด้วยตัวเขาที่มีฐานะเป็นลูกน้องที่มีความสามารถ จึงควรที่จะพยายามทำความเข้าใจคำสั่งทุกคำพูดของผู้เป็นนายมิใช่หรือ ที่เหลิ่งเฮ่าอวี่คิดจะไปเยี่ยมญาติ แต่ก็มีความกังวลและไม่อยากแยกกับบุตรชาย นี่มันเรื่องอันใดกัน

เหลิ่งเฮ่าอวี่ได้แต่หรุบตาลงด้วยความจนใจ เขาก็รู้ว่าคงไม่มีอันใดง่ายเช่นนั้น “น้อมรับคำสั่งสอนของท่นอ๋อง”

ม่อซิวเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “สั่งสอนคงไม่ต้อง ภายในครึ่งปี หากทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งก้าวเข้ามาในด่านจื่อจิงได้แม้เพียงก้าวเดียว เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว ไปอยู่ที่ตงหนาน*เลยก็แล้วกัน อีกอย่าง…ข้าเป็นคนที่ชอบคนมีความสามารถ หือ?”

สายตาเหลิ่งเฮ่าอวี่เปลี่ยนไป มองม่อซิวเหยาด้วยความยินดี

ม่อซิวเหยาเพียงอมยิ้มไม่ได้ตอบอันใด

เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิด ข้าน้อยจะไม่ทำให้ความพยายามของท่านอ๋องต้องเสียเปล่า”

“ไปเถิด เรื่องบุตรชายเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หากพวกเจ้ากลับมาไม่ทัน ข้าพากลับไปซีเป่ยด้วยก็ได้ ช่วงนี้ท่านชิงอวิ๋นก็ว่างอยู่พอดี จะได้ช่วยพวกเจ้าสั่งสอนได้บ้าง”

เหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิงต่างพากันยินดี ตั้งแต่มีบุตร พวกเขาอยู่กันแต่ที่เมืองหลวง อันที่จริงหากเป็นเช่นนี้ หาได้เป็นข้อดีต่อกิจการงานที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ดูแลอยู่มากมายไม่ แต่เขากลับไม่วางใจให้มู่หรงถิงเลี้ยงดูบุตรชายเพียงคนเดียว หากเหลิ่งจวินหานถูกพากลับไปซีเป่ย เรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องเป็นกังวล ทั้งยังมีท่านชิงอวิ๋นคอยอบรมชี้แนะด้วยตนเอง ก็เป็นเรื่องที่ผู้อื่นแม้จะขอร้องก็คงไม่เป็นผลอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่า คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ถือเอาว่าที่ซื่อจื่อน้อยหัวไวมีไหวพริบ เฉลียวฉลาดมากความรู้ ก็ด้วยเพราะท่านชิงอวิ๋นสั่งสอนมาอย่างดีนั่นเอง

“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”

เช้าตรู่วันต่อมา เหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิงก็เดินทางออกไปยังด่านจื่อจิงอย่างลับๆ พวกเขาสองคนอยู่ในบ้านตระกูลเหลิ่งก็ไม่มีใครใส่ใจอยู่แล้ว ในเมืองหลวงยิ่งมีคนอยู่ไม่เท่าไรที่คอยจับตามองพวกเขา ดังนั้นจึงไม่เป็นที่จับตามองนัก

ส่วนเหลิ่งจวินหานก็ถูกส่งตัวมาในเย็นวันนั้น ถึงแม้เด็กน้อยที่เพิ่งอายุสี่ขวบต้องมาจากบิดามารดาไป จะเสียใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินว่าต่อไปจะได้อยู่กับพี่ตัวน้อย เหลิ่งเอ๋อน้อยก็ลืมเรื่องที่ต้องจากพ่อแม่ไปทันที บอกว่าต่อไปนี้จะนอนกับพี่อวี้เฉิน

เมื่อเห็นสีหน้าประหนึ่งกลืนแมลงวันลงไปของบุตรชาย ติ้งอ๋องก็ตอบรับคำขอของเด็กน้อยอย่างรวดเร็วด้วยความเต็มใจ อีกทั้งยังได้กำชับให้ม่อตัวน้อยดูแลน้องชายให้ดี อย่าให้เขาถูกรังแกได้

ดังนั้นวันเวลาในตำหนักติ้งอ๋องของม่อตัวน้อยกับเหลิ่งเอ๋อน้อย จึงกลายเป็นคนหนึ่งหนี คนหนึ่งไล่ตามไปอย่างนี้ทุกวัน เจ้ารังแกข้า ข้าหัวเราะแหะๆ ด้วยความสุขใจ

ส่วนเรื่องราวระหว่างนั้น เช่นว่า องค์ชายสิบที่ยังไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ ก็ถูกคนพยายามลอบสังหารอยู่หลายครั้ง ไทเฮาที่ไม่อยากถูกนำไปร่วมฝังก็อาละวาด เล่นลูกไม้ต่างๆ นานา ตระกูลหลิ่วกับหลีอ๋องลอบแก่งแย่งชิงดีกันอยู่หลายครั้ง คนในตำหนักติ้งอ๋องล้วนไม่ไส่ใจ แค่เพียงชั่วพริบตา วันที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต้องขึ้นครองราชย์ก็ใกล้จะดำเนินมาถึง

โลงบรรจุศพของม่อจิ่งฉีถูกเคลื่อนไปไว้ยังตำหนักที่อยู่ลึกสุดทางตะวันตก อาจด้วยเพราะม่อจิ่งฉีไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะตายเร็วเช่นนี้ สุสานของม่อจิ่งฉีจึงยังไม่ทันสร้างเสร็จ และในประวัติศาสตร์ สุสานของฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันแล้วจะสร้างเสร็จ ดังนั้นม่อจิ่งฉีจึงยังไม่อาจนำร่างไปฝังได้ในเร็ววันนี้ จำต้องตั้งไว้ในตำหนักแห่งหนึ่งที่ในวังก่อน ไว้รอให้สุสานหลวงสร้างเสร็จ แล้วค่อยเลือกวันเคลื่อนย้ายออกจากวังไปฝังในสุสาน

* ตงหนาน คือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้