มั่วชิงเฉินเงยหน้ามองนักพรตหลานเหอผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แบบเจ้าของเสียงที่เปล่งออกมา ในหนังสือเล่มเล็กยังแนะนำให้รู้จักกับนักพรตหลานเหอว่ามาจากตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงอย่างมากทางทิศเหนือ เป็นลูกศิษย์ที่มีมีนิสัยเย่อหยิ่งจากบ้านตระกูลผู้ดี ในหนังสือเล่มเล็กเน้นย้ำอีกด้วยว่า คนผู้นี้เชี่ยวชาญคาถาวารีเชื่อมจิต ความเร็วของการร่ายคาถา และท่าทางการเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีระยะไกลหรือระยะใกล้ล้วนโดดเด่นทั้งสิ้น
นับว่าเป็นวันที่โชคดีของมั่วชิงเฉิน ประจวบเหมาะมีเวลาว่างจึงมาดูการแข่งขันของเหล่าเซียน ค้นพบว่ารูปประพรรณสันฐานของนักพรตหลานเหอใกล้เคียงกับคำอธิบายในหนังสือเล่มเล็กจริง ๆ
ว่ากันตามความจริง คนเช่นนี้ ไม่ควรเพลี้ยงพล้ำถูกผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณขั้นสูงกำจัดออก แต่ในโลกของเซียนก็เป็นเช่นนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโลกหล้ายังมียอดคน นักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนักพรตอี่หรานและนักพรตอี้จ่านจากตระกูลเล็กกลับมีฝีมือที่ดีกว่า เขาที่มาจากเซียนตระกูลใหญ่ แต่การฝึกฝนอันไร้วินัยของนักพรตหลานเหอทำให้เขาพ่ายแพ้ นับว่าไม่เป็นเรื่องแปลกใจแต่อย่างใด
ทว่ามั่วชิงเฉินมองว่า นิสัยหยิ่งผยองของนักพรตหลานเหอ สละสิทธิ์ในการแข่งขันกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แบบ และเลือกตนเป็นคู่ต่อสู้ ในสายตาของคนอื่นคือการเด็ดลูกพลับอ่อน(เป็นสำนวน แปลว่ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า) แต่สำหรับคนอย่างเขาในใจคิดว่าตนมีการพัฒนาแล้ว
การประลองระดับสูง คือที่สำหรับผู้ที่มีวินัยอย่างแท้จริง
มั่วชิงเฉินลุกขึ้น เขย่งเท้าเล็กน้อย ไม่ต้องเหยียบขึ้นบนของวิเศษณ์เหินเวหา ก็บินขึ้นอย่างนิ่มนวลหยุดอยู่บนสนามประลอง จากนั้นยิ้มคารวะอย่างมีมารยาท “สหายหลานเหอ เชิญ”
นักพรตหลานเหอมองดูรอยยิ้มของสตรีที่อยู่ตรงข้ามผู้นี้ ในใจนึกถึงการต่อสู้ของนางและนักพรตจ้งกวานเห็นชัดว่าเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด เพียงใช้เคล็ดวิชาสี่ตำลึงแปดพันชั่ง(มาจากคัมภีร์ไทเก็ก หรือไท่จี๋เฉวียน เป็นศิลปะการใช้แรงขั้นสูงโดยหลีกเลี่ยงการประทะโดยตรง เพื่อตัดกำลังของคู่ต่อสู้ไม่ให้ปล่อยออกมา) ให้นางมีช่องว่างระยะการโจมตีเพียงคิดเช่นนี้ความมั่นใจว่าตนจะได้รับชัยชนะก็เพิ่มมากขึ้น ทั้งตนยังเชี่ยวชาญด้านนี้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงยอมรับสายตาคัดค้านจากเหล่าผู้คนที่เลือกสตรีผู้นี้
แดนสวรรค์มี่หลัวตู เขาต้องเข้าไปให้ได้ และไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
หลังจากทั้งสองคารวะทักทายกันแล้ว นักพรตหลานเหอก้าวฝ่าเท้าออกไปด้านหลังอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีหลายสิบจั้ง
มั่วชิงเฉินกวาดตามองฝ่าเท้าของนักพรตหลานเหอ
ก่อนหน้านี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง เห็นแค่เพียงท่าร่างของนักพรตหลานเหอเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หมอกควันที่เกิดขึ้นใต้ฝ่าเท้าน่าจะเป็นเพราะรองเท้าชนิดหนึ่งของของวิเศษเหินเวหา
รู้ว่ารองเท้าของของวิเศษณ์เหินเวหามีความรวดเร็วกว่าของวิเศษณ์เหินเวหาธรรมดา เป็นสิ่งที่มีราคาสูง แต่คนซื้อกลับน้อย
ทว่าตอนนี้เมื่อยืนอยู่ในสนามประลองเดียวกัน สติสัมปชัญญะได้รับการปลดปล่อย รับรู้ถึงความว่องไวที่มากขึ้น จึงค้นพบว่า แท้จริงแล้ว ใต้ฝ่าเท้าที่เขาเหยียบอยู่คือ เฟิงหลัว(เกลียวหอยลม)คู่หนึ่ง
เฟิงหลัวมีถิ่นกำเนิดจากสิบทวีปบูรพา หนังสือสิบทวีปได้บันทึกไว้ว่า ดินแดนสิบทวีปทางตะวันออก มีดินแดนจวี้คู ดินแดนจวี้คูมีทะเลใน สัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลได้กำเนิดหอยอี้ลั่ว หอยอี้ลั่วมีน้ำหนักเบาไร้สิ่งใดเปรียบ เมื่อกลุ่มควันรวมตัวลอยขึ้นจากกระแสลมที่พัดอยู่ด้านใน ทำให้ผู้ที่สวมใส่ทะยานขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้าได้
สมกับที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียง
ของวิเศษณ์ประจำตระกูลของผู้บำเพ็ญเพียรระดับนี้เมื่อเทียบกับศิษย์แนวหน้าจากจากแต่ละสำนักมักจะมีจำนวนมากและแปลกประหลาดกว่า
แม้นทุกสำนักที่มีฐานะระดับสูง ครอบครองทรัพยากรมากมาย แต่การสั่งสอนศิษย์จำนวนมาก อีกทั้งเพื่อรากฐานที่มั่นคงสืบต่อกันมาเป็นหมื่นปี ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์ ก็มิอาจนำทรัพยากรที่ดีที่สุดมาใช้ต่อสู้เพียงผู้เดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ความาสำคัญกับการสั่งสอนศิษย์ให้ใช้ความสามารถในการแข่งขันมากกว่า
แต่ตระกูลเซียนนั้นไม่เหมือนกัน หากพูดถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เชื่อมโยงมารุ่นสู่รุ่น เลือดบริสุทธิ์รุ่นใหม่กลับมีน้อย เมื่อหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถในตระกูลปรากฏตัว จึงได้กำหนดชะตากรรมแห่งความรุ่งโรจน์และความเสื่อมถอยของตระกูลเป็นร้อยปีหรือพันปีไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องเลี้ยงดูผู้นั้นอย่างเต็มที่
ขณะที่มั่วชิงเฉินถอนหายใจอย่างแรง นักพรตหลานเหอเริ่มลงมือแล้ว
เพียงเขายกมือ ไม้พรตแท่งยาวสีน้ำเงินปรากฏออกมา หลังจากชูไม้พรตขึ้นสูง แสงวิญญาณสีน้ำเงินหนึ่งสายพุ่งทยานไปยังขอบฟ้า
ชั่วพริบตา กลุ่มเมฆน้ำเงินรวมกันเป็นกลุ่มก้อน นักรพตหลานเหอตะโกนกึกก้อง “ตกลงมา!”
กล่าวจบ เม็ดฝนจากก้อนเมฆโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นลูกศรแห่งพิรุณ โดยลูกศรได้กำหนดทิศทางของมั่วชิงเฉินเพื่อโจมตีไว้เรียบร้อยแล้ว
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว นักพรตหลานเหอขึ้นสนามประลอง ก็นำเคล็ดลับวิชามาใช้เสียแล้ว นี่เขาให้ความสำคัญกับนาง หรือใจร้อนอยากคว้าชัยโดยเร็วกันแน่?
คันศรทมิฬปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ นิ้วมือสีขาวเปล่งประกายดั่งหยก สับเปลี่ยนสายธนูอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง
เนื่องจากความรวดเร็วของนิ้วมือ ทำให้ลำแสงรอบๆผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว กลุ่มก้อนแสงรวมอยู่กลางฝ่ามือ ปรากฏเป็นแก้วผลึกใสทอประกายแสงสวยงาม
ลำแสงธนูนับพันยิงขึ้นชนกับลูกศรแห่งพิรุณ ทั้งสองปะทะใส่กันจนระเบิดออกกลางอากาศ กลายเป็นแสงวิญญาณสีฟ้าครามอันงดงาม ชั่วขณะหนึ่ง วิญญาณสีฟ้าครามเปรียบดั่งดอกไม้ไฟเทียมดวงน้อยที่เบ่งบานท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างไกลไร้ขอบเขต ช่างสวยงามเกินบรรยาย
ผู้คนมุงดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละสายตาไม่ได้ แต่ร่างของผู้เข้าแข่งขันบนสนามประลองทั้งสองกลับสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด และก่อตัวกลายเป็นคลื่นจิตสังหารระลอกใหญ่
สีหน้าของนักพรตหลานเหอเคร่งขรึมลง เคล็ดวิญญาณที่ถูกตีออกไปนับร้อยถูกดูดเข้ามาในไม้พรตน้ำเงินครามส่วนหัวของไม้พรตเป็นหัวงู ปากของมันพุ่งไปยังเมฆน้ำเงินบนท้องฟ้าพ่นแสงวิญญาณเส้นหนึ่งออกมา
ก้อนเมฆน้ำเงินเปลี่ยนสีอย่างช้าๆ ทันทีหลังจากนั้นกลายเป็นสีน้ำเงินที่เข้มขึ้น อีกทั้งลูกศรแห่งพิรุณยิงออกไปเยอะกว่าเดิม และนำพาลำแสงสีเขียวมรกตจางๆออกไปด้วย
มั่วชิงเฉินหลับตาแน่น ตอบโต้ด้วยการใช้โอสถวิญญาณเม็ดหนึ่งอุดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นง้างคันธนูสุดกำลัง แสงศรนับหมื่นของวิญญาณบุปผาจรัสแสงถูกยิงออกไป
เมื่อแสงศรยิงออกไปแล้ว ดูเหมือนคลอบคลุมท้องฟ้าที่อยู่บริเวณรอบของม่านสนามประลองทั้งหมด ดูดกลืนลูกศรแห่งพิรุณจากก้อนเมฆน้ำเงินได้อย่างง่ายดาย
ก้อนเมฆน้ำเงินละลายหายไปทันที เหลือเพียงแสงศรไม่กี่ร้อยตัวที่บินเข้าหานักพรตหลานเหออย่างต่อเนื่อง
นักพรตหลานเหอใบหน้าเปลี่ยนสี มืออีกข้างหนึ่งมีโล่ทองคำปรากฏออกมา
โล่ทองคำต้านลมมีขนาดยาวป้องกันนักพรตหลานเหออยู่ด้านหน้า เมื่อแสงศรประทะเข้ามายังโล่ทอง ก็ได้ยินเสียงตึงตังไม่หยุด
นักพรตหลานเหอโบกไม้พรตยาวขึ้นเล็กน้อย กลุ่มก้อนเมฆน้ำเงินกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินมุมปากยกขึ้น คันธนูยาวที่ถืออยู่ในมือไม่ลังเลที่จะยิงออกไปแม้แต่น้อย เสียงของลูกศรที่ยิงออกไป คือศรดอกท้อที่บินแทงเข้าไปในเมฆน้ำเงิน
เมฆน้ำเงินสั่นสะเทือนอยู่สองสามครา ดอกท้อกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเมฆน้ำเงินเจาะทะลุบานสะพรั่งออกมา เพียงพริบตาเดียว เมฆน้ำเงินแปรสภาพเป็นดอกท้อกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลดอกไม้ หลังจากนั้นมีเสียงระเบิดดังปัง ลูกบอลดอกไม้แตกออก กลีบดอกท้อหลากสีร่วงโรยราวกับฝนบุปผา
“เจ้า!” นักพรตหลานเหอจ้องมองมั่วชิงเฉินอย่างโหดเหี้ยม
มั่วชิงเฉินยิ้มรับ
น้ำสร้างไม้ได้ ศรดอกท้อทำให้เมฆน้ำเงินกลายเป็นดอกท้อได้ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือพลังวิญญาณที่หล่อเลี้ยงอยู่ด้านในเมฆน้ำเงินเช่นเดียวกับดินที่ใช้เพาะปลูก ทั้งพลังวิญญาณถูกดอกท้อซึมซับ เพราะลูกศรแห่งพิรุณมิอาจเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ เมื่อพลังวิญญาณหมด เมฆน้ำเงินจะไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปร่างได้
ขณะที่นักพรตหลานเหอจ้องมองมั่วชิงเฉิน ในมือชูไม้พรตยาวขึ้น คิดจะร่ายคาถาอีกครั้ง มุมปากของมั่วชิงเฉินยังคงยิ้ม ชูธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นมาอย่างหนักแน่น
นักพรตหลานเหอจับไม้พรตไว้แน่นในขณะที่ปากกำลังร่ายเวทมนต์ ชั่วพริบตาโยนไม้พรตขึ้นกลางอากาศ
ไม้พรตน้ำเงินครามลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงสีฟ้าสกาวใส หลังจากแสงวิญญาณนับร้อยถูกดูดเข้าไป ไม้พรตยาวสั่นสะท้านดั่งระลอกน้ำที่ถูกคลื่นซัดเป็นชั้นสูง หลังจากนั้นไม้พรตกลายเป็นงูน้ำแข็งครามขนาดยาว มันพ่นแกนสีน้ำเงินที่พันกันเป็นก้อนออกมาในอากาศ
อสรพิษน้ำแข็งครามตั้วนั้นน่าเกลียดและแปลกประหลาด อีกทั้งพลังของมันแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น แม้ว่านั่งดูอยู่จากที่ไกล แต่ทำให้ผู้คนล้วนรู้สึกขนหัวลุกได้
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างที่มุงดูอยู่รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนพักหนึ่ง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ทนไม่ไหวจนต้องอุทานออกมา
“ไอหยา กลายเป็นงูแล้ว! น่าขยะแขยงจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของพรรคเหยากวงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งขมวดคิ้วพูดขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “ ใช่แล้ว เป็นของวิเศษณที่กลายเป็นงูได้อัปลักษณ์เสียจริง เห็นแล้วรู้สึกขนลุกขนพองเลย”
“ศิษย์น้องทั้งหลาย อย่ากลัวไปเลย ศิษย์พี่จะดูแลพวกเจ้าเอง” ศิษย์ต่างสำนักที่ยืนอยู่ใกล้ๆจำนวนหนึ่งพูดขึ้นกล่าวปลอบประโลมด้วยอารมณ์รักหยกถนอมบุบผา
เหล่าศิษย์ชายจากสำนักเหยากวงผู้มีหูตาว่องไวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่พูดขึ้นก่อนหน้านั้นมองฝ่ายชายอย่างงุนงงพักหนึ่งก่อนหันกลับไปคุยกับนักพรตหญิงอีกคนหนึ่ง “ศิษย์พี่ เรากลับไปฆ่างูเขียวสองสามตัวที่เลี้ยงไว้เอามาหมักเหล้าดื่มเถอะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ด้านข้างยิ้มตอบ “ได้สิ เลี้ยงจนอ้วนแล้ว ตอนนี้รสชาติน่าจะหอมหวานกำลังดี”
กลุ่มลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆรู้สึกหน้าดำคร่ำเครียด ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั้นอดใจไม่ไหวถามขึ้น “พวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้กลัวงูหรอกหรือ เหตุใด…ถึงกล้ากินได้?”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่พูดขึ้นคนแรกตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “พวกข้าพูดตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ากลัวงู?”
“ก็ ก็เมื่อครู่นั่น”
ผู้บำเพ็ญหญิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะขึ้นมา “พวกข้าแค่บอกว่า งูยาวนั่นน่าขยะแขยง แต่เนื้องูมีกลิ่นหอมยิ่งนัก”
หลังจากที่ในใจยังมีข้อสงสัยอยู่ จึงถามต่อว่า “สหายทั้งหลาย พวกท่านคงยังไม่เคยลิ้มลองสินะ?”
ผู้บำเพ็ญหญิงก่อนหน้านี้แสดงความรู้สึกออกมาเช่นเดียวกัน “ช่างน่าเสียดายจริงๆ มีโอกาสมาเหยากวง เชิญพวกท่านลองชิมเนื้องูเผาฝีมือศิษย์พี่ข้า รับรองอร่อยล้ำเลิศไร้เทียนทาน”
“ไม่ ไม่จำเป็นหรอก” ลูกศิษย์ต่างสำนักต่างสบตากัน เพียงครู่เดียวก็ลุกยืนห่างออกไป
ช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนของผู้ชมที่ดูอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ปากของอรพิษน้ำแข็งครามพ่นไอเย็นก้อนหนึ่งออกมา
มองด้วยตาเปล่า ไอเย็นกลุ่มก้อนนี้กระจายไปรอบทั้งสี่ทิศด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
นักพรตหลานเหอตะโกนออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผนึกน้ำแข็งหมื่นลี้!”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก
ครั้นที่นักพรตหลานเหอต่อสู้กับนักพรตอี่หรานก็เคยใช้กระบวนท่านี้มาก่อน
ผนึกน้ำแข็งหมื่นลี้เริ่มกระจายออกมาเพียงคราเดียวก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ ทั้งผู้ใช้คาถาที่ยืนอยู่กลางอาณาเขตยังสามารถครอบครองพื้นที่อากาศด้านบนได้อีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะคาถาลับของนักพรตอี่หรานที่ยับยั้งคาถาวารีเชื่อมจิตได้พอดีและลงมือก่อน เกรงว่าผู้สมัครขั้นสูงคงถูกเปลี่ยนตัวไปแล้ว
ถึงแม้พลังวิญญาณภายในของมั่วชิงเฉินสามารถเยียวยาได้มากสุดห้าครั้ง แต่นางไม่อยากใช้ในอาณาเขตการประลองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์แบบ นับว่าเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว
ศรน้ำแข็งยาวสีน้ำเงินยิงออกไปอย่างไม่ลังเล ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องใช้พลังญาณอย่างเต็มกำลัง ดั่งดาวตกที่พุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว
เสียงยิงธนูดังขึ้น ศรน้ำแข็งแท่งตรงยาว ส่วนกลางของมันทำให้ยิงออกไปได้อย่างแม่นยำ เปลวน้ำแข็งเหมันต์สีน้ำเงินเริ่มกระจายออกไปด้วยความรวดเร็ว และห่อหุ้มน้ำแข็งค้างไว้ด้านใน
ใช้ความหนาวสยบความเยือกเยือกเย็น ทำให้น้ำแข็งค้างถูกผนึกไว้กลางเปลวน้ำแข็งเหมันต์ ทั้งมิอาจขยายตัวออกมาได้อีก
เปลวไฟเย็นสีน้ำเงินเผาไหม้กลางอากาศ ราวกับกลุ่มก้อนเมฆาไฟที่มีสีสันอันน่ามหัศจรรย์ ดึงดูดสายตาผู้คน
นักพรตหลานเหอใบหน้าม่วงคล้ำ เมื่อชูมือขึ้นงูน้ำเงินกลายเป็นไม้พรตตกอยู่ในกำมืออีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้าปกคลุมด้วยหมอก จากนั้นจู่โจมมั่วชิงเฉินชั่วพริบตา
มั่วชิงเฉินเขย่งเท้าเล็กน้อย ทยานขึ้นไปด้านบน ทันใดนั้นคันธนูชิงอิ่นเปลี่ยนเป็นกริชฟันปลา
เสียงประทะดังขึ้นตามมาด้วยเสียงสะท้อนของโลหะทั้งสองสะท้อนดังออกมา กริชฟันปลาและไม้พรตไม้ฟัดเหวี่ยงกันอย่างดุเดือด
มือของนักพรตหลานเหอสั่นระริก ทันใดนั้นสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ร้อนแรงตรงหน้า ในใจแอบคิดว่าที่แท้ผู้หญิงคนนี้เชี่ยวชาญการต่อสู้อย่างมาก ไม่ง่ายที่จะรับมือ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ร่างกายก็หลบหลีกการโจมตีของกริชฟันปลาไปพราง ชั่วพริบตาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของมั่วชิงเฉิน
ในที่สุกคาถาวารีตามรูปของมั่วชิงเฉินได้ถูกนำมาใช้ เท้าที่ดูเหมือนไม่มีการขยับ กลับกลายเป็นว่ายืนเผชิญหน้ากับนักพรตหลานเหออยู่ จากนั้นจึงแทงเข้าไป
ทั้งสองผลัดกันสู้ผลัดกันถอย การต่อสู้อันดุเดือดได้เริ่มขึ้น
สถานการณ์ต่อสู้ในตอนนี้ดึงดูดผู้คนอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ไกลออกไปใบหน้าเปลี่ยนสี พึมพำเบาๆ “บัวหิมะจันทรา ที่แท้เป็นเจ้าขโมยไป”