บทที่ 102 ลอบปกป้อง โดย Ink Stone_Romance
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก ชะล้างกำแพงเทาหม่น เสียงดังสับสน
แต่เสียงนี้ไม่ได้รบกวนใจคนให้หงุดหงิด ในคุกหลวงของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือปิดสนิท เสียงด้านนอกไม่ลอยเข้ามา เสียงด้านในก็ไม่อาจลอยออกมาให้คนกลัว
ในห้องขังที่ลึกที่สุด กลิ่นยาเข้มข้นลอยออกมา ผู้เฒ่าหลังค่อมยืนอยู่ด้านใน แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้ยาจูจั้นอีก
อาจเป็นเพราะด้านในห้องขังนอกจากองครักษ์เสื้อแพรยังมีขันทีคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
“ท่านชาย ท่านก็ยอมรับผิดเสียเถอะ ไม่ใช่ข้าตำหนิท่าน แต่ครั้งนี้ท่านก่อเรื่องเกินไปแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย มองดูจูจั้นบนเตียงไม้กระดาน เหมือนกับกำลังกล่อมเด็กคนหนึ่ง
ส่วนจูจั้นที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงไม้กระดานได้ยินประโยคนี้ก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม
“ข้าก่อเรื่องที่ไหน?” เขาตะโกนโกรธเกรี้ยว ยันร่างขึ้นมา “ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ หลังจากนี้ข้าจะไม่ยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว สนทำไมม้าตื่นหรือลาตื่น สนทำไมคนจะตายเท่าไร ล้วนโบ้ยมาไม่ถึงบนศีรษะข้า”
ขันทีรีบร้อนยื่นมือพยุงเขา
“ท่านดูสิท่านดู ท่านนี่อารมณ์ร้ายอะไรกัน พูดดีๆ ไม่ได้หรือ” เขาเอ่ยตำหนิ
จูจั้นยิ่งโกรธแล้ว
“ข้าพูดจาดีๆ มีประโยชน์อะไร” เขาเอ่ย “มีคนฟังคำพูดข้าหรือ? ข้าจะถูกตีตายอยู่แล้ว…”
ขันทีรีบยื่นมือตบปลอบเขา
“ท่านตะโกนอะไรเล่า นี่ไม่ใช่ให้ท่านพูดจาดีๆ หรือ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทให้ท่านไปกรมอาญา ท่านไปถึงที่นั่นก็พูดจาดีๆ อย่าเป็นแบบนี้อีก”
คำพูดนี้ออกมา หัวหน้ากองร้อยเจียงด้านนอกห้องขังคิ้วขมวด
ไปคุกใหญ่ของกรมอาญาก็พ้นจากการควบคุมของพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรแล้ว คนของกรมกลาโหมรวมถึงคนที่ปกป้องเฉิงกั๋วกงย่อมสอดมือได้แล้ว
ฮ่องเต้เร็วขนาดนี้ก็ตกลงส่งจูจั้นไปกรมอาญาแล้ว?
นี่เพิ่งไม่กี่วัน เฉิงกั๋วกงเส้นสายในราชสำนักไม่น้อยจริงๆ
ก่อนหน้านี้ตนเองก็รู้จักหลบเลี่ยงจึงซ่อนงำกำลังไว้ ครั้งนี้เพื่อบุตรชายไม่สนมากมายปานนี้แล้ว
นี่เป็นโอกาสรวบพรรคพวกของเฉิงกั๋วกงให้หมดคราวเดียว
“ใต้เท้า…” เขาหันหน้าเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีที่คล้ายกลืนเป็นเนื้อเดียวกับกำแพงหลังร่างเขา ยกมือให้เขา หัวหน้ากองร้อยเจียงกลืนคำพูดกลับไป ฟังเสียงโวยวายของจูจั้นด้านในต่อ
จูจั้นเหมือนไม่ได้สนใจว่าไปถึงกรมอาญาหมายความว่าอย่างไร ยังคงโมโหมาก
“ข้าไม่ได้พูดจาดีๆ ยังไง?” เขาตะโกน คนก็พรวดลุกขึ้นมาจากเตียง
ไม่รู้ว่านอนคว่ำนานเกินไปหรืออาการบาดเจ็บบนร่างหนักเกินไป ร่างกายโงนเงนหวิดจะล้มคุกเข่ากับพื้น
ในห้องขังเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของขันทีดังขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงร้องประหลาดแหบพร่าก็ดังขึ้นด้วย
“ท่านชาย ท่านระวังหน่อย” ขันทีตะโกนเกินจริง คนก็ไปพยุง
มีคนเร็วยิ่งกว่าเขา มือผอมแห้งประหนึ่งกิ่งไม้คู่หนึ่งคว้าจูจั้นไว้
ขันทีตกใจสะดุ้งโหยงราวกับกลัวถูกมือเช่นนี้แตะ รีบร้อนถอยหลัง ท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง
“ท่านถึงกับลงจากเตียงได้แล้ว” เขาก็ตะโกนเกินจริง
จูจั้นสะบัดมือเขาออก แม้ยังโงนเงนอยู่บ้าง ร่างกายกลับยืนตรง
“แค่ไม่กี่ทีของพวกเจ้านั่น ข้าจะพิการได้รึ?” เขาแค่นเสียงเอ่ย
ตาเฒ่าผีไม่ได้สนใจเขา เพียงดวงตาเป็นประกายประเมินเขา ประหนึ่งมองสมบัติประหลาดล้ำค่าอะไร
“ยาของคุณหนูจวินถึงกับสุดยอดปานนี้เชียว” เขาเอ่ย
คำพูดนี้จูจั้นไม่ชอบฟังแล้ว
“อะไรเรียกยาของนางสุดยอด?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “เป็นข้าสุดยอดชัดๆ”
ตาเฒ่าผียังคงไม่สนใจเขา วนรอบเขามองดู พลันยื่นมือคว้าผ้าคาดเอวของจูจั้น
“ให้ข้าดูแผลหน่อย ทำไมหายเร็วปานนี้” เขาพึมพำเอ่ย “ที่แท้ยาอะไร ข้าอยากดมสักหน่อย ชิมสักหน่อย…”
คำพูดเขายังพูดไม่ทันจบ มือเพิ่งแตะถูกผ้าคาดเอวของจูจั้นก็ถูกจูจั้นหนึ่งเท้าถีบไปถึงมุมกำแพง
“โว้ย ตอนนี้ใครๆ ก็ถอดกางเกงข้าได้แล้วรึ?” เสียงด่าของจูจั้นกังวานก้องในห้องขัง
ขันทียื่นมือลูบหน้าผาก
“ท่านชาย ท่านรีบนั่งลงเถอะ” เขากังวลใจเอ่ย
เมื่อครู่การเคลื่อนไหวหนึ่งเท้านั้นเห็นชัดว่ากระเทือนถูกแผลของจูจั้นแล้ว เขาส่งเสียงซี๊ดหลายที นั่งลงตามการประคองของขันทีไปโดยไม่รู้ตัว เพิ่งแตะถูกเตียงก็กระโดดขึ้นมาอีก
“ข้าบาดเจ็บจนเป็นอย่างไรแล้วยังจะนั่งอะไรอีก! “ เขาตะโกน
เจ้าบาดเจ็บจนเป็นอย่างไรแล้ว? ขันทีถลึงตามองเขา ยื่นมือนวดใบหู อย่างน้อยก็กำลังมากพอ เสียงดังกังวาน
“ไม่นั่งแล้ว” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่บอกว่าจะไปกรมอาญารึ? ไป ไป ไป”
พูดจบก็โขยกเขยกเดินไปข้างนอกคนแรก ขันทีรีบตามไป
เดินถึงนอกห้องขังมองเห็นลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ที่นี่ เท้าของจูจั้นหยุดชะงักลง ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ได้เอ่ยห้าม ร่างกายถอยกลับไปหลีกทางให้ มองจูจั้น
จูจั้นไม่มองเขาสักหนเดินผ่านไปแล้ว
“ใต้เท้า…” หัวหน้ากองร้อยเจียงมองจูจั้นเดินออกไป ไม่ยินดีอยู่บ้าง “จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือขอรับ? เรื่องนี้จะแล้วกันไปอีกหรือขอรับ?”
ลู่อวิ๋นฉีขานอือ
“คนเล่า?” เขาเอ่ยถาม
หัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งไปนิดหนึ่ง ยื่นมือชี้ประตูห้องขัง
“ไปแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
“ข้าหมายถึงคุณหนูจวิน” เขาเอ่ย
ที่แท้ยืนอยู่ตรงนี้คิดถึงคุณหนูจวินอยู่ตลอดหรือ? หัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ออกจากเมืองหลวงแล้วขอรับ” เขารีบร้อนเอ่ย ชะงักนิดหนึ่ง “คนของพวกเราก็ตามไปแล้ว จะหาโอกาสจับนางไว้ ใต้เท้าโปรดวางใจ”
“ไม่ต้องหาโอกาส” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย มุมปากขยับนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้ม “ใครก็รู้ว่าเป็นข้าทำ แล้วอย่างไร”
ทำให้คนผู้หนึ่งหายไปหาไม่พบ องครักษ์เสื้อแพรย่อมทำได้
ไม่ยอมรับ ไม่มีหลักฐาน ใครจะทำอย่างไรได้?
หัวหน้ากองร้อยเจียงขานรับ เพิ่งถอยออกไปก็มีองครักษ์เสื้อแพรรีบร้อนเข้ามา สีหน้าเขาวิตกอยู่บ้าง สีหน้าลังเลครู่หนึ่ง เดินมาถึงหน้าร่างหัวหน้ากองร้อยเจียงกระซิบแผ่วเบาหลายประโยค
สีหน้าหัวหน้ากองร้อยเจียงเปลี่ยนไปทันที ด่ามารดามันเสียงเบาคำหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปากกับลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีก็เอ่ยปากก่อน
“เป็นจูจั้นสินะ?” เขาเอ่ย
คำพูดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงที่คุ้นชินแล้วกลับฟังเข้าใจ
“ใช่ขอรับ” เขาเอ่ย “เป็นหลี่ซานปิงพาคนมาขวางคนของพวกเรา ต้องเป็นเขาจัดการแน่ แต่ใต้เท้าวางใจ พวกเราจะส่งคนไปเพิ่ม…”
“ช่างเถอะ” ลู่อวิ๋นฉียกมือขัดเขา สีหน้านิ่งสนิท “ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อย ไม่รีบร้อนตอนนี้”
…
รองเท้าหนังข้างหนึ่งเตะหินก้อนหนึ่งทีหนึ่ง
เพราะหลายวันก่อนฝนตกดินอ่อนนุ่ม ก้อนหินจึงกลิ้งลงไปทันที
เสียงสบถทีหนึ่ง ซื่อเฟิ่งลุกขึ้นยืน ถ่มหญ้าก้านหนึ่งในปากออกมา หมุนตัวมองบรรดาพี่น้องด้านหลัง
“เจ้าพวกไม่ได้เรื่องฝูงนั้นกลัวแล้ว” เขาเอ่ย “ถอยหลับไปหมดแล้ว”
จางเป่าถังโคลงศีรษะ ขยับหัวไหล่แขนนิดหนึ่ง ส่งเสียงใสกังวาน
“นี่ก็คือแข็งนอกอ่อนในอะไรนั่นใช่ไหม?” เขาเอ่ย
ซื่อเฟิ่งยื่นมือผลักหัวเขาทีหนึ่ง
“บอกแล้วให้เจ้าอ่านหนังสือมากเข้า แข็งนอกอ่อนในอะไรเล่า” เขาเอ่ย
จางเป่าถังยิ้มซื่อบื้อลูบศีรษะ
“พวกเรายังเฝ้าอีกไหม?” เขาเอ่ยถาม
ซื่อเฟิ่งมองไปยังทิศของเมืองหลวง ตบร่างกายลุกขึ้นมา
“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย “พี่รองบอกว่าหากคนของลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงถอยกลับไปแล้ว นั่นก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว พวกเขาต้องไปคิดวิธีอื่นแล้วแน่นอน”
……………………………………….