บทที่ 299 - เก็บกวาดให้เกลี้ยง (1)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 299 – เก็บกวาดให้เกลี้ยง (1)

ซอลจีฮูฝึกจนกระทั่งถึงกลางดึกเหมือนอย่างเคย แต่ว่าเมื่อเขามาถึงห้องหัวหน้าผู้ดูแลก็ต้องผงะไป มันมีกกระดาษโน้ตแปะเอาไว้อยู่ที่ประตู

-นายจะฝึกจนจบเขตพื้นที่เป็นกลางเลยหรอ? มาคุยกับฉันหน่อย!

มีชื่อ ‘จิ้งจอก’ ถูกเขียนเอาไว้ด้านล่างด้วยลายมืดงดงาม

ทันทีที่เปิดประตูซอลจีฮูก็ระเบิดหัวเราะออกมา พอมาคิดดูแล้วนับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึก เขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเขตพื้นที่เป็นกลางเลยสักนิด

นับตั้งแต่ที่เขตพื้นที่เป็นกลางเปิดขึ้นก็ผ่านมานับสิบสัปดาห์แล้ว เพราะงั้นจึงเหลือเวลาอยู่อีกแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ การที่มันใกล้จบลงแล้ว ทำให้เป็นธรรมดาที่คิมฮันนาห์อยากจะคุยกับเขา

และเพราะงั้นคืนนี้ซอลจีฮูจึงได้นอนหลับสบายหลังผ่านมานาน และออกไปจากห้องในเช้าวันรุ่งขึ้น แผนของเขาในวันนี้คือไปคุยกับคิมฮันนาห์ และดูรอบๆเขตพื้นที่เป็นกลาง ยังไงแล้วเขาก็เป็นตัวแทนที่ดูแลองค์กรอยู่

เขตพื้นที่เป็นกลางยังคงคึกคักเช่นกัน เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมมีมาก ทำให้การค้าขายเป็นไปได้ด้วยดี ในบรรดาร้านต่างๆ มีอยู่ร้านหนึ่งที่น่าจับตาที่สุดเพราะมีคนมากมายไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น

‘ซอลอากับซังจินเป็นคนดูแลร้านค้าทั่วไป…’

เมื่อซอลจีฮูเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปได้…

“ล๊าา ล๊าา ล๊าาาา~”

เสียงฮัมเพลงได้ดังออกมาให้ได้ยินจากไกลๆ

“ยินดีต้อนรับสู่ร้านคู่พี่น้อง~”

ซอลจีฮูแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ยี่ซอลอากำลังยืนเต้นรำอยู่ที่หน้าร้านค้าอย่างมีชีวิตชีวิต

“สวัสดี~ ยินดีที่ได้รู้จัก~ นี่คือชั้นที่สองของเขตพื้นที่เป็นกลาง~ ฉันคือพี่สาวของซังจิน~ ยี่ซอลอา!”

เธอได้กระโดดซ้ายขวาสลับไปมาพร้อมยกแขนขึ้นลงไปด้วย

“ล๊าา ล๊าาา ล๊าาา! โพชั่น! น้ำยารักษา!”

พอดูให้ดีแล้วเธอยังถือขวดโพชั่นไว้อีกด้วย ทุกๆครั้งที่เธอโบกมือไปมา เขาก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบกัน

การที่ยี่ซอลอาขยับตัวเต้นไปมาตามจังหวะคงจะดูน่ารักมาก จนทำให้มีเสียงหัวเราะดังออกมา ต่อจากนั้นเมื่อมีคนหนึ่งปรบมือเบาๆ คนที่เหลือก็เริ่มปรบมือตาม

“ขอบคุณ! ขอบคุณนะทุกคน! ฉันรักคุณ!”

ยี่ซอลอาได้กางแขนออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส

“อย่าลืมมาใช้บริการร้านคู่พี่น้องเยอะๆนะค้าาา~!”

แน่นอนว่าเธอก็ยังไม่ลืมที่จะโฆษณาร้านตัวเอง ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนจำนวนมากกรูเข้าไปในร้าน ของต่างๆที่มีขายต่างก็มีความจำเป็นต่อภารกิจอยู่แล้ว และยิ่งได้เห็นความกระตือรือร้นของยี่ซอลอาได้ทำให้พวกเขาอยากจะช่วยสนับสนุนสาวน้อยแสนน่ารักคนนี้อีกด้วย

ซอลจีฮูรู้สึกชื่นชม เขาประทับใจมาก

‘ใครจะไปคิดว่าเธอจะทำได้ดีแบบนี้กันนะ’

เขาได้สบตากับยี่ซอลอาที่กำลังเช็ดเหงื่อออกจากบนหน้าผาก เธอได้ยิ้มขึ้นและโบกมือออกมา

“สวัสดีค่ะ~”

“น่าทึ่งจะเลยนะ”

“คุณพี่ที่เคารพ~ สวัสดีค่า~”

“ฮ่าฮ่า เอาล่ะ ใจเย็นก่อนนะ ซังจินอายแย่แล้ว”

“ไปกันยี่ซอลอา~! มาเต้นกัน~ พวกเราคือครอบครัว~ พาราไดซ์และวัลฮาลา~!”

พอมาถึงขนาดนี้ซอลจีฮูก็เริ่มอายขึ้นมาแล้ว

“โอเคๆ พอได้แล้วล่ะ”

แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดส่งไปไม่ถึงเธอเลย…

“ทำไมพี่~ ไม่เข้าใจฉันเลย~?”

ยี่ซอลอาได้หลับตาลงและยกแขนเหนือหัวทำเป็นรูปหัวใจ

“…ฟู่ว…”

ยี่ซังจินที่เห็นพี่สาวทำแบบนี้ก็ถอนหายใจออกมา ยี่ซอลอาเป็นคนที่ร้องเพลง แต่กลับเป็นยี่ซังจินที่รู้สึกอายแทนเธอ

‘เอาเถอะนะ อย่างน้อยธุรกิจของเธอก็รุ่ง’

ซอลจีฮูยิ้มแห้งๆโดยสาบานไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้ยี่ซอลอาเข้าไปในงานจัดเลี้ยง เขารู้สึกเหมือนเธอจะหมกหมุ่นกับด่าน 1 จนเกินไป

ย้อนกลับมาที่เป้าหมายเดิม คิมฮันนาห์ได้รับหน้าที่ดูแลร้านอาวุธอยู่ด้านขวาของร้านของทั่วไป เธอกำลังนั่งไขว้ห้างมองดูซอลจีฮูเดินเข้ามา และลุกขึ้นยืน

“ตัวแทนซอล! คุณมาแล้ว!”

บางทีอาจจะเพราะอยู่ในที่สาธารณะทำให้เธอใช้คำพูดเป็นทางการ ซอลจีฮูได้พูดออกมาพร้อมมองไปรอบตัวเห็นคนกำลังเลือกดูอาวุธอยู่

“ฉันควรมาทีหลังไหม?”

“ไม่ค่ะ ไม่มีปัญหา พวกเราต่างก็มีงานพาร์ทไทม์อยู่จำนวนมาก”

พอมาคิดดูแล้ว ร้านอาวุธก็มีครูฝึกอยู่เป็นจำนวนมาก

“ด้วยครูฝึกเยอะแบบนี้ เธอคงได้คะแนนเอาชีวิตรอดไม่เยอะใช่ไหม?”

“ฟุฟุ ไม่จริงเลย”

คิมฮันนาห์ยกมือขึ้นเท้าเอว และยิ้ม

“ทุกๆคะแนนที่ลูกค้าใช้ที่นี่จะเป็นของฉัน ครูฝึกคนอื่นจะได้รับส่วนแบ่งก็ต่อเมื่อลูกค้าที่พามาซื้อของเท่านั้น”

“…สร้างธุรกิจขั้นบันไดงั้นหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่ใช้งานให้มีประสิทธิภาพเท่านั้นเอง”

คิมฮันนาห์พูดอย่างมั่นใจก่อนจะถามหายใจออกมา

“ยังไงก็เถอะนะ ในที่สุดฉันก็ได้เจอหน้าคุณสักที การตั้งใจฝึกก็เป็นเรื่องดี แต่รบกวนช่วยโผล่ออกมาให้เห็นเป็นระยะจะดีกว่านะคะ”

หัวหน้าผู้ดูแลของเขตพื้นที่เป็นกลางมีหน้าที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรต้องทำเลย แต่ซอลจีฮูก็แค่โยนหน้าที่ทั้งหมดนั่นไปให้กับคิมฮันนาห์เท่านั้นเอง

‘ถ้าเธอพูดแบบนี้ทั้งๆที่…’

ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้จะมาบ่นเรื่องความยากของงาน เพราะงั้นแล้วเธอแค่คงต้องอยากจะได้คำอนุมัติจากตัวแทนเท่านั้นเอง

“โอเค บอกมาสิ มีเรื่องอะไรหรอ?”

“ก็นะ ฉันอยากจะถามคุณว่าอยากจะรับสมาชิกเข้าทีมเพิ่มใหม่ แน่นอนว่าเป็นเหล่าคนหน้าใหม่ในเขตพื้นที่เป็นกลางนี่แหละ”

ซอลจีฮูเบิกตาขึ้นกว้าง

“ฉันคิดว่านอกจากคุณอึนยูริแล้วไม่มีใครที่ทำสัญญา หรือถูกเชิญจากเราแล้วนะ”

“นั่นก็ใช่ แต่ว่าหากการรับคนเข้าทีมต้องเป็นผู้ทำสัญญาหรือผู้ถูกเชิญจากเราเท่านั้นนี่”

ซอลจีฮูได้จ้องคิมฮันนาห์อยู่นานพร้อมคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

‘คนจากแก๊ง… แล้วก็โอมินยองสินะ?’

ย้อนกลับไปก็มีคนที่ไม่สามารถจะทำสัญญากับองค์กรได้หลังจากจบเขตพื้นที่เป็นกลาง ถึงในตอนนั้นซอลจีฮูจะยุ่งอยู่กับการกดดันจากซินยองจนไม่ได้สังเกต แต่สัญญาสามารถโอนให้กันได้หากทั้งสององค์กรตกลงกัน

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ? มีอึนยูริคนที่สองงั้นหรอ?”

“…ไม่หรอกค่ะ”

คิมฮันนาห์ยิ้มแห้งๆ

“ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าดูจะไม่มีเหล่าคนผิดปกติโผล่มาเลนย ผู้รอดชีวิตอย่างตัวแทนกับคุณอึนยูริไม่ใช่คนที่จะโผล่ออกมาง่ายๆนะคะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็ตามด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย

“ถ้างั้นแล้ว?”

“พูดตามตรงเลยนะคะ ฉันคิดที่จะดึงตัวคุณปาร์ควูรีกับคุณยูยอลมูเข้าองค์กร”

ซอลจีฮูรู้สึกตกใจที่ได้ยินสองชื่อนี้

“เธอรู้จักพวกเขาด้วย?”

“ก็ชัดแล้วนี่คะ? ระหว่างที่ตัวแทนกำลังสนใจอยู่กับคุณอึนยูริ ฉันก็ได้สังเกตดูพวกเขาทั้งสองคน”

คิมฮันนาห์กระแอ่มออกมา

“อย่างแรกคุณปาร์ควูรีเป็นคนที่ฉันอยากดึงตัวมาเป็นการส่วนตัว ความสามารถเขาไม่ได้พิเศษหรอกค่ะ แต่ว่าเขามีไหวพริบที่ดีเยี่ยม เขาเป็นคนที่คล่องแคล่วและอ่านสถานการณ์ได้ดี ฉันอยากจะลองฝึกเขาดูค่ะ”

เธอกำลังบอกว่าเธออยากจะสร้างหน่วยข่าวกรอง

ซอลจีฮูผิวปากขึ้น มันชัดเจนมากว่าคิมฮันนาห์เป็นคนช่างเลือก… เขาเริ่มมองปาร์ควูรีใหม่แล้ว

‘เขาค่อนข้างกล้าต่างจากที่เห็นนะ’

คิมฮันนาห์คงจะสนใจเขาในตอนที่เขาสังเกตเห็นถึงเงื่อนไขการโจมตีของโฮมุนครุส และพุ่งเข้ามาส่งกระเป๋าให้ซอลจีฮูในตอนท้ายของบทฝึกสอนด่านที่สอง

“สำหรับคุณยูยอลมู สมาชิกวัลฮาลาต่างก็ประเมินเขาในแง่ดี”

“โอ้ งั้นหรอ?”

“ใช่แล้ว คนอื่นๆต่างก็ชมที่เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักรบทั้งบุคลิก และความอดทนต่อการฝึกของอาจารย์จางโดยไม่บ่นสักคำ คุณจองโชฮงกับคุณริชาร์ด ฮิวโก้ต่างก็ชมเขาเป็นพิเศษ”

“คุณปาร์ควูรีกับคุณยูยอลมูสินะ แล้วองค์กรที่เป็นเจ้าของสัญญาจะยอมส่งพวกเขาให้เขาง่ายๆหรอ?”

“เราไม่มีทางมั่นใจอะไรได้เลย แต่ฉันเชื่อว่ามันมีโอกาสอยู่ อย่างที่รู้กัน กองกำลังที่สามารถจะซื่อตราประทับได้ต่างก็ไม่ได้ขาดนักธนูหรือนักรบ”

แน่นอน สำหรับคลาสของทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเลย จากมุมมองขององค์กรแล้ว แทนที่จะลงทุนทรัพยากรไปกับสิ่งที่มีอยู่แล้วมันไม่คุ้ม การแลกเปลี่ยนเพื่อเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นตราประทับ และเงินจำนวนที่เหมาะสมเพื่อรอคอยโอกาสต่อไปคงจะดีกว่า

ซอลจีฮูไม่คิดนานนัก หากว่าได้ก็ดี แต่ต่อให้ไม่ได้เขาก็ไม่คิดอะไร

ซอลจีฮูได้พยักหน้ายอมรับ

“เอาสิ จัดการได้เลย”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับโดยรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวที่เหมาะกับงานนี้ วัลฮาลายังมีปัญหาเรื่องบุคลากรอยู่เล็กน้อย

“โอ้ จริงสิตัวแทน มันเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนั้นหรอ?”

“เรื่องนั้น?”

“เป้าหมายสุดท้ายที่เขตพื้นที่เป็นกลางไงคะ ฉันมั่นใจว่าคุณอึนยูริจะจัดการให้ได้ แต่ฉันแค่อยากจะยืนยันให้มั่นใจ ตอนนี้เขตพื้นที่เป็นกลางใกล้จะจบแล้วนะคะ”

“อ่อ”

ซอลจีฮูเดาะลิ้นขึ้น

‘พอมาคิดดูแล้ว…’

มันควรจะถึงเวลาแล้วสินะ

***

สัปดาห์ที่สิบสอง และเป็นสัปดาห์สุดท้ายได้เริ่มขึ้นแล้ว

สมาชิกทีมหกคนรวมอึนยูริกำลังอยู่ระหว่างภารกิจระดับยากมาก มันเป็นภารกิจให้กวาดล้างหัวสะพานที่สไปร์ครอบครองอยู่ เป้าหมายหลักของภารกิจนี้อยู่ที่พวกเขาจะฝ่าทะลวงแนวป้องกันไปได้เร็วแค่ไหนโดยที่สูญเสียน้อยที่สุด นั่นก็เพราะว่าสไปร์นั่นมีการโจมตีระยะไกลที่แข็งแกร่ง แต่อ่อนแอกับการต่อสู้ระยะประชิดจนผิดปกติ

ยังไงก็ตามสมาชิกทั้งหกคนไม่ได้ข้ามสะพาน

นั่นเพราะพวกเขามีนักเวทย์

จริงๆแล้วพวกเขาต่างก็ทำภารกิจทั้งหมดในแบบเดิมๆ พวกเขาจะรอจนกว่าอึนยูริร่ายเวทย์เสร็จ และโจมตีก่อน จากนั้นห้าคนที่เหลือก็จะรับหน้าที่จัดการมอนสเตอร์ที่เหลือรอด

นี่ยังสื่อให้เห็นว่าในเขตพื้นที่เป็นกลางแล้วอึนยูริยังเหลือกว่าโอเดลเล็ต เดลฟีนในตอนนั้น จริงๆแล้วอึนยูริเหลือกว่าทั้งทางด้านปริมาณมานา และคุณภาพมานาเลยด้วยซ้ำไป

ปาร์ควูรีได้ยืนระวังอยู่ด้านหลัง และเหลือบมองอึนยูริที่กำลังขยับปาก และมือไปพร้อมๆกัน

‘สอง.. ไม่สิ สี่เท่า?’

หากว่าเป็นในภาพยนต์ ความเร็วปากของอึนยูริที่ขยับมันจะดูเหมือนมีแค่ริมฝีปากที่ขยับเท่านั้น

“–.—.–.—-”

เธอดูเหมือนจะร่ายเวทย์เหมือนกับการพึมพำอย่างรวดเร็ว แต่ว่าปาร์ควูรีไม่ได้ยินเสียงดังออกมาเลยแม้แต่นิด ต่อให้เขาจะพยายามฟังแล้วก็ตาม

เขารู้สึกเหมือนว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในความสามารถของเธอ ในตอนนั้นหลังสัปดาห์ที่เจ็ดความเร็วในการร่ายเวทย์ของอึนยูริได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก

@&$@!&$&.

ขณะที่อึนยูริกำลังจะร่ายเวทย์จบ อีกฝากหนึ่งของสะพานก็ได้ส่งเสียงดังออกมา เหล่าสไปร์ที่สามารถจะใช้เวทย์ได้เล็กน้อยสามารถจะสัมผัสได้ถึงการไหลของมานาจากอีกฝั่งหนึ่ง

พวกมันคงจะตัดสินใจว่าไม่อาจจะปล่อยไว้ได้ทำให้พวกมันเริ่มเคลื่อนไหว

“พวกมันกำลังมาแล้ว!”

ยูยอลมูที่ยืนอยู่ตรงหน้าของกลุ่มได้ตะโกนพร้อมยกโล่ขนาดใหญ่ขึ้น

ในเวลาเดียวกันการร่ายเวทย์ของอึนยูริก็หยุดลง เธอได้ร่ายเวทย์เสร็จสิ้นแล้ว ดวงตาที่หลับของเธอได้ค่อยๆมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอคงจะใช้สมาธิอย่างหนักจนทำให้หยดเหงื่อไหลลงมาเต็มใบหน้า

ไม่นานนักอึนยูริก็เบิกตาโพล่ง และตะโกนออกมา

“เยือกแข็ง!”

วูมมมม! เสียงคลื่นมานาทรงพลังได้ระเบิดออกมา เธอได้ใช้หนึ่งในไม้ท้ายเอกลักษณ์ของโรเซร่า – หนึ่งคำ ความสามารถที่จะเพิ่มพลังให้กับเวทย์ของผู้ใช้ตามต้องการเมื่อผู้ใช้ตะโกนคำสำคัญออกมา

เมื่อคำร่ายของอึนยูริได้ดังก้องด้วยเสียงที่ปกคลุมด้วยมานา สไปร์ที่กำลังเตรียมจะโจมตีจากบนท้องฟ้าได้ตัวสั่นเทา ยังไงก็ตามมันสายเกินไปแล้ว คลื่นพลังงานเยือกแข็งได้กระจายไปตามเสียงผ่านตัวพวกมันไปแล้ว

สไปร์ได้ถูกคลื่นเข้าปกคลุมร่างจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งสีขาว และเริ่มนิ่งไปกับที่ เหล่าคนในทีมที่เห็นสไปร์ตกลงมาบนพื้นหลังจากปีกแข็งไปก็ตะโกนส่งเสียงเชียร์ออกมา

นี่ยังไม่จบ เมื่ออึนยูริยื่นมือซ้ายออกมา สายลมคมกริบก็พวยพุ่งเข้าไปตัดร่างของสไปร์ที่ตกลงมาเป็นชิ้นๆ

“เยี่ยม!”

นักบวชหญิงที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าได้ตะโกนออกมา

“ไปกันเถอะ! เราต้องไม่พลาดโอกาสนี้-”

ทันทีที่เธอออกคำสั่งบุก- ซ่าาาส์! กระแสไฟฟ้าทรงพลังจู่ๆก็พวยพุ่งออกมาจากทะเลสาบใต้สะพาน

สไปร์ที่ตกลงแม่น้ำได้กรีดร้องออกมา และนักบวชก็ผงะไปจนต้องมองกลับไป

“ฮ่าห์… ฮ่าห์…”

อึนยูริได้ยื่นมือขวาออกมาด้วยเสียงหอบหนัก เธอกำลังจ้องลงไปที่ทะเลสาบด้วยสีหน้าที่ดูโกรธเอามากๆ

“…ดะ เดี๋ยวก่อน มันอาจจะอันตราย…”

หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มห้าคนรวมอึนยูริก็ได้เริ่มข้ามสะพานไป สไปร์ส่วนใหญ่ต่างก็ถูกคลื่นเยือกแข็ง และอยู่ในสภาพทำอะไรไม่ได้แล้ว กลุ่มพวกเขาจึงแทบไม่ได้เจอการโจมตีอะไรเลย

ส่วนพวกที่ตกลงไปในทะเลสาบก็ตายไปแล้ว พวกเขาก็แค่ต้องจัดการพวกเป้าหมายที่เคลื่อนไหวไม่ได้เท่านั้นเอง

ขณะที่กำลังจัดการสไปร์ไปทีละตัว ปาร์ควูรีก็เอียงหัวออกมา

‘แปลก’

ตามปกติแล้วอึนยูริจะเก็บเวทย์เอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ในวันนี้เธอกลับปล่อยทุกๆอย่างออกมาโดยไม่เก็บไว้เลย มันเหมือนกับว่าเธอกำลังระบายความโกรธเข้าใส่สไปร์

ปาร์ควูรีได้มอบกลับไปอย่างสงสัย จากนั้นก็ต้องแสดงสีหน้าตกใจออกมา อึนยูริที่กำลังเดินอยู่บนสะพานอย่างช้าๆได้เห็นสไปร์ และวิ่งเข้าไปหามัน แม้ว่าสไปร์ตัวนั้นจะตายไปแล้ว แต่เธอก็สะกิดมันสองสามครั้งก่อนจะเตะมันเหมือนเป็นลูกบอลด้วยสีหน้าหงุดหงิด

เมื่อเห็นหัวของสไปร์ลอยไปไกล ทำให้จู่ๆปาร์ควูรีรู้สึกสงสัยมันขึ้นมา

ไม่นานนักภาพก็ได้ตัดไป หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจพวกเขาก็ได้กลับมาที่เขตพื้นที่เป็นกลาง

“เยี่ยม! ในที่สุดก็ผ่านแล้ว!”

หลังจากที่กระดาษบนแถวที่สองของกระดานภารกิจหายไปจนหมดแล้ว นักบวชสาวก็กำหมัดแน่นอย่างยินดี แบบนี้พวกเขาก็ทำภารกิจที่ทำได้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว

จะมีเหลือก็แต่ภารกิจที่มีระดับเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าตามปกติพวกเขาจะไม่คิดฝันว่าจะทำมันสำเร็จ แต่นักบวชก็ได้มองอึนยูริด้วยสีหน้ามีความหวัง ไม่ใช่แค่เธอ แต่สมาชิกที่เหลืออีกสี่คนต่างก็แสดงสีหน้าทำนองเดียวกัน

“พี่สาวยูริ?”

เมื่อนักบวชสาวได้พูดขึ้นมา อึนยูริที่กำลังจ้องมองอากาศอย่างสับสนก็หันกลับมา

“พี่สาวคิดจะทำภารกิจระดับเป็นไปไม่ได้เมื่อไหร่หรอ…?”

“…ถ้าเธอต้องการ เราทำมันวันเลยก็ได้นะ จริงๆก็ตอนนี้เลย”

อึนยูริพูดขึ้นเบาๆ

“แต่ว่ามีสิ่งที่เราต้องทำก่อน”

“อ่อ เงื่อนไขใช่ไหม? ฉันจำได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ฉันขอโทษด้วยนะ แต่ฉันไม่เชื่อในสัญญาปากเปล่า”

นักบวชที่ตอบด้วยรอยยิ้มได้แต่นิ่งไป เธอเข้าใจผิดไปหรือเปล่าว่าทำเสียงของอึนยูริดูดุแปลกๆ

อึนยูริได้พูดต่อ

“เพราะงั้นฉันอยากจะให้เธอเซ็นต์สัญญา”

“สัญญา”

นักบวชได้กรอกตาออกมา

“อืม… พี่สาว ฉันคิดว่าสัญญาไม่มีอยู่ในเขตพื้นที่เป็นกลางนะ”

“ฉันก็แค่ทำมันขึ้นมา”

“ไม่ ฉันหมายถึงสัญญาที่มีคำสัตย์จากเทพน่ะ มันไม่ใช่ว่าแค่เขียนสัญญาจะทำให้มันแสดงผลได้นะ แต่สำหรับฉันที่เป็นนักบวชสามารถสาบานในนามเทพได้ แต่สำหรับคนอื่นๆ-”

“คุณนักบวช”

อึนยูริได้ขัดเธอไว้

“ฉันบอกว่าฉันจะทำมันขึ้นมา”

นักบวชได้กลายเป็นพูดไม่ออกกับน้ำเสียงเย็นชานี้

“ฉันไม่ได้ชื่อนักบวชนะคะ…”

เธอได้หน้ามุ่ยพร้อมบ่นพึมพำออกมา แต่ว่าอึนยูริได้หยิบกระดาษยันต์ออกมาโดยไม่สนใจเลยสักนิด

เธอได้ฉีกกระดาษยันต์โดยไม่ลังเล และแสงสว่างจ้าก็ปรากฏขึ้นพร้อมก่อตัวขึ้นเป็นแผ่นกระดาษ หลังจากอ่านเนื้อหาภายในด้วยสายตาไม่แยแสแล้ว อึนยูริก็ส่งมันให้กับนักบวช

“สัญญาบังคับตามกฏ…?”

เนื้อหาสัญญาก็เรียบง่ายมาก

-อึนยูริ (นับจากนี้เรียกว่า “A”) และสมาชิกอีกห้าคนที่จะร่วมทำภารกิจระดับเป็นไปไม่ได้ในเขตพื้นที่เป็นกลาง (จะเป็น “B”) จะทำตามสัญญานี้ทันทีที่ภารกิจเสร็จสิ้น A กับ B จะลงนามในสัญญานี้เพื่อเป็นหลักฐานการยอมรับ

-A จะใช้แผ่นยันต์เพื่อทำภารกิจระดับเป็นไปไม่ได้ในเขตพื้นที่เป็นกลาง

-A จะใช้แผ่นยันต์ภายในหกวินาทีหลังจากเริ่มภารกิจ

ยังไงก็ตามหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขัดขวางการใช้แผ่นยันต์ เวลาสำหรับแก้ปัญหานั้นจะไม่ถูกนับ และเวลาจะถูกเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

-เมื่อ A และ B ทำภารกิจระดับเป็นไปไม่ได้สำเร็จ B จะได้รับ ‘คะแนนเอาชีวิตรอด 172,800 เป็นรางวัล’ ซึ่งแบ่งกันตามกฎเขตพื้นที่เป็นกลาง

ยังไงก็ตามสำหรับ ‘คูปองร้านค้า VIP’ จะถูกมอบให้ A เพียงผู้เดียว และต้องทำมันในทันทีที่ภารกิจเสร็จสิ้น

นักบวชได้เลิกคิ้วขึ้นหลังจากที่อ่านเนื้อหาสัญญา สิ่งที่เขียนเอาไว้มันเหมือนกับที่พวกเธอเคยคุยกัน แต่เธอแปลกใจที่จู่ๆสัญญาเวทมนต์ก็โผล่ขึ้นมาแค่ฉีกแผ่นยันต์เท่านั้นเอง

“ฉันมีคำถาม”

ขณะที่เธอกำลังจะถามอึนยูริว่าเธอทำได้ยังไง…

“ถ้าเธอไม่ต้องการก็ไม่ต้องเซ็นต์”

อึนยูริได้ตอบกลับอย่างดุดันจนทำให้นักบวชนิ่งไปอีกครั้ง

“มะ ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

เธอจะไม่อยากได้คะแนนเอาชีวิตรอดฟรีๆ 28,000 ได้ยังไงกันล่ะ?

“มันก็แค่ว่า…”

“ฉันไม่คิดที่จะเปลี่ยนเนื้อหาสัญญานี้ มีคนอื่นที่สนใจเช่นกัน เพราะงั้นอย่าได้มาโน้มน้าวฉัน”

สีหน้าของนักบวชได้เริ่มแดงขึ้น

“ไม่ เดี๋ยวก่อน ฉันบอกว่าจะไม่เซ็นต์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“ถ้างั้นก็เซ็นต์ซะ”

“ขอโทษด้วยนะพี่สาว แต่นี่เกิดอะไรขึ้นหรอ?”

น้ำเสียงนักบวชได้สูงขึ้นเล็กน้อย พวกเธอเป็นพรรคพวกที่ต่อสู้กับภารกิจแลกชีวิตมาด้วยกัน ถึงเธอจะรู้ว่าสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ แต่เธอก็อดจะผิดหวังที่อึนยูริกดดันเธอขนาดนี้ไม่ได้

“เอ๋ ใจเย็นกันก่อนนะ”

เมื่อทีมที่สมบูรณ์แบบเริ่มที่จะแสดงความขัดแย้งภายในออกมา ปาร์ควูรีที่อ่านอารมณ์ของอึนยูริออกนานแล้วได้ขัดขึ้น

“ทำไมจู่ๆคุณเป็นแบบนี้ล่ะ? พี่สาวเกลียดฉันหรอ?”

“เฮ้! เธอแค่อยากมั่นใจเท่านั้นเองนะ ใช่ไหมคุณผู้หญิงครับ?”

ปาร์ควูรีได้ถามอย่างสุภาพ ยังไงก็ตาม

“ฉันบอกว่าอย่าเรียกฉันแบบนั้น”

สีหน้าของอึนยูริได้กลายเป็นเย็นชายิ่งขึ้น

“ฉันไม่ใช่สาวแต่งงาน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายเอาแต่เรียกฉันว่าคุณผู้หญิง”

ปาร์ควูรีได้ผงะไปกับน้ำเสียงเย็นชานี้

“ขะ ขอโทษ…”

“ดูสิๆ! จู่ๆเธอก็เป็นแบบนี้!”

นักบวชได้เริ่มตะโกนออกมาอีกครั้ง และปาร์ควูรีก็ร้องอ๊ะขึ้น

“พอแล้วๆ ใจเย็นก่อนนะคุณนักบวช”

“อะไรนะ ทำไมนายถึงเรียกฉันว่านักบวชล่ะ? ฉันก็มีชื่อนะนายรู้ไหม?”

“ผมเข้าใจๆ หวัหน้า ตอนนี้ใจเย็นก่อนนะ”

ขณะที่นักบวชเริ่มบ่นและปาร์ควูรีได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ ยูยอลมูก็จ้องมองอึนยูริที่ยืนกอดอกอยู่

แม้กระทั่งเขาก็คิดว่าเธอแปลกไป

มันไม่ใช่ว่าไม่มีจุดสังเกตอะไรเลย อึนยูริได้กลายเป็นเอาแต่ใจมากขึ้นในสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา และนับแต่นั้นเธอก็อยู่ในสภาพหดหู่

“ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรอ?”

เมื่อยูยอลมูได้แอบถามออกมา อึนยูริที่ยืนอยู่อย่างสงบก็มองมาที่เขา จากนั้นหลังลังเลอยู่นาน เธอก็เม้มปากออกมา

“…ฉันมีคำถาม”

“ได้สิ ถามมาเลย”

“การที่ผู้ชายสวมแหวนให้ผู้หญิงมันหมายความว่าอะไร?”

“อืมม… มันก็แล้วแต่สถานการณ์นะ มันก็เป็นของขวัญธรรมดาก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดฉันก็บอกได้ว่าเขาก็ชอบเธอ”

“ถ้างั้น-”

อึนยูริสูดลมหายใจออกมา

“ผู้ชายที่มีแฟนแล้วให้แหวนกับผู้หญิงคนอื่นล่ะหมายความว่ายังไง?”

“…อะไรนะครับ?”

“อ่อ แค่ถามเฉยๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันหรอก เพื่อนแค่ฝากถามมา”

ยูยอลมูได้ขมวดคิ้วขึ้น เขาได้แอบมองมือซ้ายของอึนยูริ แต่ว่าเขาก็มองไม่เห็นอะไรเพราะเธอกอดอกอยู่

อึนยูริได้ถามออกมาอีกครั้งหนึ่ง

“แล้วผู้ชายที่มีแฟนแล้วสวมแหวนลงนิ้วนางข้างซ้ายของผู้หญิงอีกคนโดยบอกว่าเป็นของขวัญสำหรับเธอมันหมายความว่าอะไร?”

“เขาเจ้าชู้”

ยูยอลมูได้พูดอย่างหนักแน่น

“การสวมแหวนนิ้วนางข้างซ้ายเป็นธรรมเนียมที่รู้กันดีไม่ว่าจะเป็นที่ไหน การจะหาคนไม่รู้เรื่องนี้มันยากมาก”

“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันคิด”

อึนยูริได้ยอมรับออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อน ยูยอลมูได้กลายเป็นสงสัยและามขึ้น

“เอ่อ คือว่า เป็นเรื่องของใครนะ?”

“…”

ริมฝีปากของอึนยูริได้เริ่มบิดเบี้ยวไป

“ฉันไม่รู้”

เธอได้ส่งเสียงฮึ่ม และหันหน้าไป