ฮูหยินฮั่วมีท่าทีตื่นตะลึง พลันมีเสียงความคิดอีกอย่างหนึ่งปรากฏก้องอยู่ในหัว…
ฉู่สวินหยาง! ฉู่สวินหยาง! ฉู่สวินหยาง!
หรือจะไม่ใช่เจิ้งเยียน แต่เป็นฉู่สวินหยาง?
แม้ว่าเจิ้งเยียนจะเคยร่วมคิดลงมือกับฮั่วชิงเอ๋อร์มาก่อน แต่ทั้งสองสกุลกลับไม่ได้มีตวามเคียดแค้นพยาบาทอันใดถึงขนาดนั้น แต่กับฉู่สวินหยาง…
นางชิงชังฮั่วกังถึงเพียงนั้น ทำให้สามีของตนตายอย่างไร้ที่กลบฝัง หากกล่าวว่านางยังแค้นเคืองอยู่ จึงตั้งใจที่จะทำร้ายพวกนางสองแม่ลูก…
นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ขณะที่ฮูหยินฮั่วครุ่นคิด ใจก็คล้ายกับถูกแช่แข็ง
หลังจากที่ได้มีประสบการณ์เห็นฉู่สวินหยางใช้แผนรับมือกับฮั่วกัง นางก็รู้ดีว่าพวกนางสองแม่ลูก เมื่อได้อยู่ตรงหน้าฉู่สวินหยางแล้วก็ไร้ทางที่จะต่อกรโดยสิ้นเชิง
เต๋อเฟยยิ่งชะงักกึกในใจ…
เรื่องนี้ไฉนจึงเชื่อมโยงไปถึงฉู่สวินหยางได้เล่า?
เรื่องราวที่ชวนซับซ้อนงุนงงคล้ายกับจะยิ่งดูยุ่งยากขึ้นมาแล้ว
เต๋อเฟยเผยใบหน้าเคร่งขรึม มองไปทางฉู่เยว่ซิน “ท่านหญิงสวินหยางล่ะ? เหตุใดจึงไม่อยู่กับเจ้า?”
แม้ว่าจะเพียงเห็นแก่หน้าของฉู่อี้อัน แต่อย่างไรนางก็ไม่โง่ถึงขนาดจะไปกล่าวคาดโทษฉู่สวินหยางได้หรอก
“ข้า…” ฉู่เยว่ซินกัดริมฝีปาก มีท่าทีรู้สึกลำบากใจ ตะกุกตะกักไปสักพัก ก่อนจะหลบสายตาพวกเต๋อเฟยทั้งกดเสียงต่ำกล่าวอย่างจนใจ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเพคะ หลังจากเข้าวังพวกเราก็แยกย้ายกันไป ข้าอยู่กับคุณหนูเจิ้งตลอดเวลา สวินหยาง…นางน่าจะไปเดินเที่ยวเล่นในสวนที่ไหนสักแห่งแหละเพคะ!”
ที่นางพูดล้วนเป็นความจริง ไม่ได้บิดพลิ้วเกินจริงสักคำเดียว แม้ว่าฉู่อี้อันจะสาวเรื่องมาก็คงเอาอะไรกับนางไม่ได้
ขณะที่ฉู่เยว่ซินพูด ก็ขมวดคิ้วหลุบตาลงเล็กน้อย
ในใจของเต๋อเฟยคล้ายมีคลื่นโหมกระหน่ำพัดขึ้นมา…
แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของฉู่สวินหยาง ทว่าฮูหยินฮั่วกลับนิ่งเงียบ แม้ว่าบนใบหน้าจะเผยท่าทีเคียดแค้น กระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความตื่นตกใจและกระวนกระวาย…
หากนางคิดจะเอาเรื่องจริงๆ เกิดฉู่สวินหยางเปิดเผยเรื่องน่าอับอายที่ฮั่วกังทำไว้พวกนั้นต่อหน้าผู้คนขึ้นมา เรื่องที่นางสูญเสียสามีและลูกสาว ก็แทบจะไม่มีความหมายอันใด ทั้งแม้แต่ชื่อเสียงสกุลฮั่วของนางก็คงจะมิอาจหลงเหลือไว้ได้อีกแล้ว
ฮูหยินฮั่วไม่ปริปากพูดอันใดออกมาอีก แต่เต๋อเฟยที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงทำได้เพียงฝืนกล่าวกำชับกับสาวใช้คนสนิทไปเท่านั้น “แม่นางฮั่วอยู่กับท่านหญิงสวินหยางงั้นรึ? เด็กสองคนนี้ไปเที่ยวหลบที่ไหนกัน? รีบตามไปดูเสียสิ!”
บ่าวหญิงคนนั้นรับคำสั่ง ก็ปลีกตัวออกไปจากฝูงชนอย่างรีบเร่ง
เจิ้งเยียนที่เช็ดน้ำตา อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงเบาขึ้นมา “แม่นางฮั่ว นางน่าจะไม่ได้อยู่กับท่านหญิงสวินหยางแล้ว ตอนเย็นที่พวกเราบังเอิญพบทั้งสองคน พวกนางดูเหมือนว่าจะเพิ่งทะเลาะกันเสร็จ ทั้งแม่นางฮั่วก็ยังเดินออกไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำอีกด้วย!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ใจของฮูหยินฮั่วก็คล้ายกับถูกกระแทกเข้าอย่างจัง
เต๋อเฟยปราดตามองนางอย่างไม่ยินดี ทำเอาเจิ้งเยียนตกใจจนต้องก้มหลบสายตาลงไป
หากว่าฮั่วชิงเอ๋อร์และฉู่สวินหยางเกิดขัดแย้งกัน เช่นนั้นก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ฉู่สวินหยางจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน
ทุกคนต่างก็พากันเงียบเชียบ สถานการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าเกิดเป็นความเงียบวังเวงอย่างแปลกประหลาด
ลมยามราตรีพัดโชยมาอ่อนๆ พาดผ่านพื้นผิวน้ำขึ้นมาจนเกิดเป็นความเย็นเล็กน้อย
และในเวลานี้ จู่ๆ ด้านหลังฝูงชนก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา
ทุกคนเหลียวมองไปตามเสียง อาภรณ์ที่หรูหรา ใบหน้าที่ดูเด่นสง่า ผู้ที่ก้าวเข้ามา…
กลับเป็นเฟิงเหลียนเซิ่ง องค์รัชทายาทหนานฮวา
“เต๋อเฟย!” เฟิงเหลียนเซิ่งสาวเท้าเข้ามา ก็ก้มศีรษะเล็กน้อยทักทายเต๋อเฟย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณที่นี้ พินิจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างคร่าวๆ เอ่ยขึ้น “ข้าและท่านหญิงสวินหยางรออยู่ด้านหน้างานตั้งนานกลับไม่พบขบวนเสด็จของพระชายา ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ?”
เต๋อเฟยฟังจบ ก็ประกายตาสุกสกาวขึ้นมา ก่อนจะคารวะ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นหรือ? ที่นี่เกิดเรื่องนิดหน่อย มีคนพลัดตกน้ำ!”
ขณะที่นางกล่าว คนอื่นๆ ต่างก็เพ็งความสนใจไปที่นาง บ้างก็มองด้วยสำรวจ บ้างก็มองด้วยสงสัย โดยเฉพาะตอนที่กล่าวถามกับเฟิงเหลียนเซิ่ง “เมื่อครู่ฝ่าบาทกล่าวว่าอยู่ด้วยกันกับท่านหญิงสวินหยางงั้นรึ? พวกท่านอยู่ด้วยกันตลอดทั้งเวลาหนึ่งชั่วยามใช่หรือไม่ หรือว่า…”
“แค่ก…” เฟิงเหลียนเซิ่งคล้ายกับป้องปากกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อที่จะกลบเกลื่อน “หากที่นี่ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดแล้วพระชายาก็ไปเข้าร่วมงานทางด้านนั้นก่อนเถิด ฝ่าบาทได้คอยอยู่ที่นั่นแล้ว!”
คำพูดนี้ของเขาดูคลุมเครือ แต่ดูแล้ว เหมือนว่าฉู่สวินหยางกับเขาจะอยู่ด้วยกัน ทว่าเขากลับไม่อาจพูดออกมาชัดเจนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ได้
ฮูหยินหลัวกั๋วกงค่อยคลายใจลงได้เล็กน้อย กล่าวอย่างประนีประนอม “ในเมื่อภายหลังท่านหญิงก็อยู่กับองค์รัชทายาท เช่นนั้นย่อมไม่อาจปลีกตัวมาทำเรื่องด้านนี้ได้แน่ ฟ้าก็เพิ่งมืดได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หากเรื่องเกิดขึ้นตอนกลางวัน ก็ต้องมีคนพบอย่างแน่นอน”
“ฮูหยินกั๋วกงพูดมีเหตุผล…”เต๋อเฟยกล่าวคล้อยตามนางเพื่อที่จะได้หลุดออกไปจากเรื่องนี้เสียที
เจิ้งเยียนเห็นเช่นนั้น ก็นั่งไม่ติดกับที่ เอ่ยปากพูดลอยๆ ออกไปคล้ายไม่ใส่ใจ “ผู้คนด้านนอกล้วนพูดว่า รัชทายาทหนานฮวาประสงค์ที่จะอภิเษกกับท่านหญิงสวินหยาง คำพูดนี้ของเขา…อาจจะจงใจปกป้องนางก็เป็นได้!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั้งยังไปตรงกับใจของใครหลายคน
ทุกคนจึงใช้สายตาวิบวับลอบสังเกตมองไปที่เฟิงเหลียนเซิ่ง
เฟิงเหลียนเซิ่งประกายตาเยียบเย็นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะทำอะไรสักอย่าง กลับได้ยินเสียงใสแจ๋วดังขึ้นมาจากด้านหลังฝูงชนเสียก่อน “ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามนี้ข้าอยู่กับเสด็จปู่มาโดยตลอดหรือคุณหนูเยียนจะสงสัยเช่นกันว่า ที่เสด็จปู่เป็นพยานให้ข้าก็เพราะว่าลำเอียงเหมือนกัน?”
น้ำเสียงของฉู่สวินหยางแฝงไปด้วยความหยอกเย้า ขณะที่พูดก็ได้เดินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
สายตาของผู้คนทั้งหมดล้วนพุ่งเป้าความสนใจไปที่ร่างของนางอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่านางกลับไม่สนใจใครทั้งนั้น เดินเข้าไปอยู่ด้านหน้าเฟิงเหลียนเซิ่ง กล่าวมองเขาด้วยยิ้มที่คล้ายจะไม่ยิ้ม “ข้าต้องขอขอบคุณฝ่าบาทที่กล่าวอย่างเป็นธรรม ชี้แจงอธิบายแทนข้า ดูแล้ววันนี้ข้าและท่านพี่ช่างเข้าไปถวายพระพรเสด็จปู่ในวังถูกเวลาเสียจริง หากไม่ใช่ว่าเจอรัชทายาท คล้อยหลัง แม้จะเป็นท่านพี่ที่มาเป็นพยานให้ข้า ก็คงจะไม่มีใครยอมเชื่อยิ่งไปกว่าท่านที่เป็นคนนอกอีกแล้ว!”